Chapter 4 คำให้การจาก คนรัก
“ใคร? …ผมไม่รู้จัก ผิดคนหรือเปล่า?”
แสงแดดช่วงบ่ายอาบแก้มด้านขวาของชายหนุ่มนักกีฬาในขณะที่ผมเพิ่งถามคำถามเขาไป คิ้วดกหนา ริมฝีปากบางชมพู ต้องใช่เขาคนนี้ไม่ผิดคนแน่ หลังจากที่ผมได้เก็บข้อมูลจากนางโชว์เพื่อนสนิทของชายหนุ่มที่สาบสูญ ผมก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าชายผู้สาบสูญมีคนรักและยังเป็นผู้ชายเหมือนกันด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลทำให้ผมมาที่สนามกีฬาแถบชานเมืองช่วงบ่ายเช่นนี้ ทั้งสนามกีฬามีผู้คนบางเบาเพราะเป็นสนามกีฬาแบบปิด อนุญาตให้เฉพาะนักกีฬาเข้ามาฝึกซ้อมก่อนลงสนามจริงกันเท่านั้น ในตอนที่ผมมาถึงมีกลุ่มนักกีฬากลุ่มหนึ่งอยู่ในสนามนี้ก่อนอยู่แล้ว พวกเขากำลังฝึกซ้อมวิ่งรอบสนามอย่างขยันขันแข็ง ไม่รอช้าผมเดินเข้าไปถามนักกีฬากลุ่มนั้นพร้อมยื่นภาพคนที่ผมตั้งใจมาหา ก่อนจะได้ความว่าคนที่ผมตั้งใจมาหาเขายืนยืดกล้ามเนื้อเตรียมพร้อมซ้อมใหญ่อยู่ข้างสนามทางทิศเหนือ
ในตอนแรกหนุ่มนักกีฬาคนที่ผมตั้งใจมาเก็บข้อมูลเขาดูสับสนเมื่อผมเดินตรงดิ่งเข้าไปหา แต่เมื่อผมเล่าว่าผมกำลังสืบคดีคนหายพร้อมกับยื่นรูปชายหนุ่มที่ผมกำลังตามหาอยู่ เขาก็จ้องมองรูปนั้นอย่างตั้งคำถาม ก่อนที่ผมจะจับสังเกตุเห็นใบหน้าเขาซีดเผือดในวินาทีต่อมา
“คุณลองคิดให้ดีๆ เพื่อนสนิทของเขาบอกว่าคุณสองคนรู้จักกันสมัยช่วงเรียนหนังสือ”
ชายหนุ่มรูปร่างดีเพราะเป็นนักกีฬายืนท้าวเอวเงยหน้าครุ่นคิดกับท้องฟ้า เท่าที่ผมมองจากมุมนี้เขาดูสง่างามคล้ายกับรูปปั้นกรีกที่หาความไม่สมบูรณ์แบบไม่ได้
“เขาบอกว่าคุณสองคนเป็นคนรักกัน”
ในที่สุดผมก็สามารถพูดสิ่งที่ผมตั้งใจจะพูดออกมาอย่างแท้จริงได้เสียที
ชายหนุ่มนักกีฬาเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขากลับพรืดเสียงหัวเราะออกมาแม้ว่าสายตาเขายังจับจ้องอยู่บนท้องฟ้า ผมคาดว่าเขาคงนึกถึงชายหนุ่มผู้สูญหายคนนี้ออกแล้ว ขาค่อยๆ ลดใบหน้าต่ำลงก่อนจะยิ้มร่าอย่างกับเรื่องที่ผมพูดมันเป็นเรื่องไร้สาระ
“คุณตำรวจคงโดนหลอกแล้ว ผมกับมันเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”
แล้วชายนักกีฬาก็ตั้งท่าจะเดินจากไป แต่ไม่ทันไรร่างกายที่สมบูรณ์แบบดั่งรูปปั้นของเขา น่องขาข้างซ้ายก็เกิดรอยปริแตกคล้ายรูปปั้นที่ถูกกัดกร่อนด้วยลมและสายฝนเป็นเวลาหลายปี ชายหนุ่มนักกีฬาเซจนเกือบล้มผมจึงรีบพุ่งตัวไปประคองตัวเขาแต่ก็ดันถูกมือหนาปัดตัวผมออก ชายนักกีฬาพยายามกระเสือกกระสนนำร่างกายคล้ายกับรูปปั้นพร้อมรอยปริแตกไปนั่งอยู่บนสแตนเชียร์ด้านข้างด้วยตัวเอง
ผมจ้องมองไปที่รอยปริแตกนั้นของหนุ่มนักกีฬาอย่างไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้เช่นไร ก่อนจะเห็นว่าระหว่างรอยปริแตกมันถูกเชื่อมด้วยน้ำทองคำบริสุทธิ์อยู่ ดูไปมาก็คล้ายกับ ‘คินสึงิ’ หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆ มันก็คือการซ่อมแซมจานชามที่แตกด้วยน้ำทองคำนำมาประสานกันให้คงรูปเช่นเดิม คำถามและความสงสัยผมเกิดขึ้นมากมายในหัวจนมันคงแสดงออกมาทางสีหน้าจนหนุ่มนักกีฬารู้สึกได้
“มองอะไร!”
“ขาคุณ?”
แล้วหนุ่มนักกีฬาก็หันใบหน้าหนีพร้อมพรูลมหายใจออกด้วยความไม่สบอารมณ์
“ผมว่าคุณไปถามจากคนอื่นเถอะ ผมไม่มีอะไรต้องพูดถึงมันอีก”
“แสดงว่าคุณรู้จักกับชายหนุ่มคนนั้น”
“แล้วมันจะสำคัญตรงไหน?”
รอยปริแตกที่น่องของชายหนุ่มนักกีฬาตอนนี้ผมสังเกตุเห็นว่ามันมีมากกว่าเมื่อครู่ จากที่รอยปริแตกสีทองมีอยู่แค่น่อง ตอนนี้มันลุกลามมาที่ต้นขาเหนือกางเกงวิ่งสั้นสีน้ำเงินเข้มที่เขาใส่อยู่
“รอยที่ขาคุณ?”
ผมชี้อย่างสงสัยไปที่รอยปริแตก และมันก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่หนุ่มนักกีฬาพยายามเบี่ยงขาหลบ คล้ายกับเขาไม่อยากให้ใครเห็นมัน
“คุณไปเถอะ! ผมไม่มีข้อมูลอะไรให้คุณหรอก”
เมฆบนท้องฟ้าในช่วงบ่ายแก่ๆ เริ่มตั้งเค้าจนทองฟ้าที่ต้องเตรียมตัวเป็นสีส้มยามอาทิตย์ตกดิน มันเริ่มผิดเพี้ยนจนกลายเป็นสีไปในโทนม่วงแกมชมพู ผมว่าเรื่องของชายหนุ่มผู้สูญหายคงต้องเกี่ยวข้องกับรอยปริแตกของหนุ่มนักกีฬา เขาจึงมีท่าทีไม่สบอารมณ์ยามที่ผมพูดถึงชายหนุ่มคนนั้น
“รอยปรินั่นเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นเหรอ?”
“ไม่!”
หนุ่มนักกีฬาตะหวาดเสียงดัง ความเกรี้ยวกราดของเขาเริ่มตั้งเค้าไม่ต่างจากเมฆฝน
“มันไม่ได้สำคัญกับผมขนาดนั้น ไม่ใช่แค่มัน พวกมันทั้งหมดแหละ ที่ต้องไม่สำคัญอะไรกับผมเลย”
แล้วรอยปริแตกมันก็ลามจนทั่วขาข้างซ้าย หนุ่มนักกีฬารีบก้มหน้าพร้อมกับเอามือปิดบังใบหน้า ผมว่าผมได้ยินเสียงร้องไห้มาจากใต้มือนั่น เสียงร้องไห้ที่ต่อให้จะยกภูเขาทั้งลูกมาปิดบังก็ไม่มีทางปิดมิด เวลาผ่านไปลมหอบใหญ่ได้พัดพาเอาน้ำตาและอารมณ์โกรธเคืองพัดหายไปในอากาศ ตอนนี้เท่าที่ผมรู้สึกได้จากหนุ่มนักกีฬามีเพียงความผิดหวัง ทอดถอนใจกับเรื่องราวของอดีต หนุ่มนักกีฬาในขณะที่เขานั่งอยู่บนสแตนเชียร์ เขาเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง
สำหรับเขาชายผู้สาบสูญไม่ได้พิเศษไปกว่าใคร เขาก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาสมัยมัธยม แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนุ่มนักกีฬากลับยิ่งรู้สึกเปลี่ยวเหงากับความไม่พอดีที่เขามีต่อโรงเรียนแห่งนี้ เขาแทบไม่มีเพื่อนสนิทหรือกลุ่มเพื่อนที่ทำกิจกรรมต่างๆ อย่างที่เด็กมัธยมต้องทำ เวลาเรียนหรือเวลาเล่นเขาก็มักจะเป็นเศษเหลือในห้องตลอด จนกระทั่งชายหนุ่มผู้สาบสูญเข้ามาในวงโคจรชีวิตของเขา เขาจึงรู้สึกมีตัวตน
หนุ่มนักกีฬารับรู้ในทันทีว่าชายหนุ่มผู้สาบสูญคิดกับเขาเกินเพื่อน แต่นั่นมันก็ไม่ได้กระทบกับชีวิตเขาเท่าไร ในเมื่อความรู้สึกนั้นมันอยู่เพียงในใจของชายหนุ่ม และมันก็ไม่ได้รบกวนทำให้เขาลำบากใจแม้แต่น้อย ดีเสียอีกเขาจะได้มีคนไปกินข้าวหรือทำงานกลุ่มด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็รู้สึกถึงการข้ามเส้น ชายผู้สาบสูญเริ่มทำตัวเป็นเจ้าของเขามากขึ้นเรื่อยๆ คอยพูดเรื่องของเขา กล่าวถึงเขาในบทกวี ยกย่องบูชาเขาดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทั้งหมดเขาไม่ต้องการ เขาต้องการเพียง ‘เพื่อน’ ต้องการปฏิบัติกับเขาแบบเดิม ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่ง และเขาดีพอที่จะอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้
“ผมไม่เคยต้องการคำนั้น มันไม่ควรหลุดออกมาจากปากมันด้วยซ้ำ”
หนุ่มนักกีฬาทอดมองตรงไปกลางสนาม ในขณะที่ความคิดเขาหลุดลอยไปยังอดีต
เขาเล่าต่อว่าตั้งแต่วันที่คำว่า ‘รัก’ หลุดออกจากปากชายหนุ่มผู้สาบสูญ ทุกอย่างมันก็ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม หนุ่มนักกีฬาตัดสินใจถอยออกมาจากความสัมพันธ์แล้วยอมกลับไปอยู่ในโลกที่โดดเดี่ยวของเขาเช่นเดิม เขารู้ว่าคนในโรงเรียนไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไรนัก จะด้วยเหตุผลใดก็ตามซึ่งเขาก็เลิกที่จะสนใจมันไปแล้ว แต่ความย้อนแย้งในตัวหนุ่มนักกีฬาก็ดันเล่นงานตัวเขาเองอย่างจัง เขาดันคิดถึงการถูกรัก การมีตัวตนในสายตาของใครคนหนึ่ง การถูกจดจำและจะไม่มีวันลืมเขา อย่างที่ชายหนุ่มผู้สาบสูญเคยทำ จนความสับสนต่างพรุ่งตรงเล่นงานเขาคล้ายกับสารเสพติดที่ต้องการและเกลียดมันในเวลาเดียวกัน
“มันสมควรที่ไม่ได้รับความรัก! คนอย่างมันควรอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้ค่า และไม่มีใครจดจำ”
หลังจากนั้นจนจบชีวิตมัธยมชีวิตหนุ่มนักกีฬาก็ต้องเผชิญกับความแตกร้าว ทั้งจากการไล่ล่าจากความเกลียดชังในสังคมโรงเรียน การไล่ล่าจากคนที่รักเขา และการไล่ล่าจากความสับสนของเขาเอง จนรู้ตัวอีกทีจากรอยร้าวที่เริ่มต้นเพียงแค่กลางอกตอนนี้มันกระจายอยู่ทั่วร่างกายของเขาเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นหนุ่มนักกีฬาก็สาปส่งชีวิตมัธยมของเขาไปตลอดกาล และไม่มีวันให้อภัยกับสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนนั้นอีก
ไม่มีสิ่งใดที่จะคงทนถาวร รอยแตกร้าวบนตัวเขาเช่นกัน หลังจากที่เขาจบจากโรงเรียนเขาก็ได้พบกับคนที่เข้ามาซ่อมแซมรอยแตกร้าวบนตัวเขาด้วยความรัก เธอเป็นเพียงหญิงสาวที่หาได้ทั่วไป ไม่มีสิ่งใดพิเศษกว่าใครๆ แต่ทุกครั้งที่หนุ่มนักกีฬาอยู่ใกล้เธอ ความรักของเธอเป็นเสมือนน้ำทองคำบริสุทธิ์ที่เชื่อมรอยแตกร้าวชิ้นต่อชิ้นให้กลับมาผสานกันได้อีก แม้มันจะไม่สวยงามเหมือนรูปร่างที่ดุจรูปปั้นกรีกเช่นเดิม แต่มันก็สวยงามเพราะความไม่สมบูรณ์แบบซึ่งเขาพอใจกับมัน
“มันไม่เคยมีค่าพอที่ทำให้ผมเจ็บปวด แต่ชื่อของมันต่างหากที่ทำให้ความทรงจำในช่วงที่ผมอยากลืมที่สุดมันกลับมา”
ตอนนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีชมพูแกมม่วงเรียบร้อยแล้ว กลิ่นของเกลือจากมหาสมุทรจากแห่งใดก็ไม่ทราบ มันลอยมาตามสายลมจนผมรู้สึกฉุนที่ปลายจมูก สายตาของผมจับจ้องไปที่รอยแตกร้าวที่ตอนนี้มันกระจายตัวสมบูรณ์แบบทั่วตัวของชายหนุ่มนักกีฬาเรียบร้อยแล้ว เขาเพียงนั่งเหม่อจ้องมองไปที่สนามโล่งข้างหน้า โดยที่ผมเองไม่รู้เช่นกันว่าในใจเขามันกำลังล่องลอยไปที่แห่งใด
“คุณไม่น่ามาที่นี่เลย”
หนุ่มนักกีฬาพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ผมขอโทษ”
ผมไม่มีคำพูดใดที่จะพูดนอกจากประโยคสั้นๆ นี้ แล้วหลังจากนั้นผมก็เดินละออกมา พร้อมกับความหวิวโล่งเหมือนเครื่องบินยามตกหลุมอากาศ บางทีการที่ผมสืบเรื่องชายผู้สาบสูญคนนี้ มันกำลังทำลายผม เรื่องของเขาพาผมไปไกลมากกว่าที่ผมจะรับไหว ผมค่อยๆ หันกลับไปมองชายหนุ่มนักกีฬาในขณะที่ผมเดินมาถึงอีกฝั่งของสนาม
ชายหนุ่มนักกีฬาหอบพยุงร่างกายที่แตกร้าวเป็นชิ้นๆ ปีนขึ้นไปที่ชั้นบนสุดของสแตน เขานั่งลงอย่างเรียบง่าย สายตายังคงมองตรงไปไม่ไหวติงต่อสิ่งใด ในขณะที่เศษส่วนของร่างกายแต่ละชิ้นของเขาจะค่อยๆ แตกสลายและปลิวไปพร้อมสายลม ในขณะที่ท้องฟ้าด้านหลังเขาเป็นสีชมพูแกมม่วงที่เศร้าที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 74
แสดงความคิดเห็น