รักเหนือฝัน มีฉันต้องมีเธอ 13 : ไว้ใจให้รู้
ความจริงแล้วทิพาธรณ์ไม่ได้ทิ้งชวณัดฐ์หายไปไหน เพียงถอยออกมาดูเขาอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น เธอเห็นเขานั่งหน้าเครียดอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่งจนพนักงานชายคนเดิมเดินถือถาดใส่กาแฟสองแก้วมาถึงโต๊ะ วางแก้วหนึ่งตรงหน้าเก้าอี้ตัวที่หญิงวัยกลางคนเคยนั่ง และอีกแก้วตรงหน้าเขา ก่อนพนักงานจะเดินจากไปเขาก็เอ่ยขึ้น
“คิดเงินเลยครับ” เขาพูดออกมาทั้งที่สีหน้ายังไม่ค่อยดีนัก
พนักงานชายได้ยินอย่างนั้นก็ชะงัก ก่อนจะหันมามองด้วยแววตาไม่แน่ใจ จำได้ว่าลูกค้าตรงหน้ากับหญิงต่างวัยอีกคนเพิ่งมานั่งในร้านได้ไม่นาน ตอนแรกนึกว่าหญิงคนนั้นไปเข้าห้องน้ำ หรือไม่ใช่ แล้วทำไมเขาถึงรีบเช็คบิลนัก
“เช็คบิลเลยครับ” ชายหนุ่มเห็นความสงสัยในตาอีกคู่ของพนักงานชายอย่างนั้นก็บอกซ้ำ พอฝ่ายนั้นได้ยินชัดเจนก็ก้มหัวให้
“รอสักครู่นะครับ” แล้วรีบเดินไปจัดการบิลให้เรียบร้อย จากนั้นจึงกลับมาหาชายหนุ่มอีกครั้งเพื่อแจ้งค่าเครื่องดื่ม
ศัลยแพทย์หนุ่มกลับมาอุดอู้อยู่ในคอนโดฯ คนเดียวอีกครั้ง เวลาเครียดเขามักมาเก็บตัวเงียบ ๆ อยู่ในห้อง ใช้สมองครุ่นคิดถึงปัญหาที่ตนเองเจอ ไม่นานนี้เองเขาเพิ่งคิดไปว่าจะไม่ยอมให้ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรได้อีกแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องตกเป็นเหยื่อของเธอจนได้ ฝ่ายนั้นเอาเรื่องหน้าที่การงานและชื่อเสียงของเขาเป็นเครื่องต่อรอง ซึ่งทำให้ต้องจำใจทำตามที่เธอต้องการด้วยความโกรธสุดขีด
ปัง!
ชวณัดฐ์ง้างหมัดชกเข้าข้างโต๊ะทำงานใกล้โซฟาที่นั่งอยู่อย่างแรงเพื่อระบายความอัดอั้น และขณะที่กำลังง้างกำปั้นจะชกอีกรอบทิพาธรณ์ที่คอยดูเขาอยู่เกือบตลอดเวลาก็รีบเข้ามาห้ามไว้ เพื่อไม่ให้หมัดต่อ ๆ มาของเขากระหน่ำใส่ที่เดิมไม่ยั้งยกใหญ่
พลังของวิญญาณสาวที่รวบรวมเพื่อห้ามเขารั้งไว้ได้เพียงไม่ถึงนาทีเท่านั้น พอฝ่ายถูกขวางสะบัดออกก็สามารถชกผ่านร่างเบาบางของเธอไปได้อย่างง่ายดาย ก่อนตามติดมาอีกหลายหมัดจนคนพยายามช่วยประมวลความคิดแทบไม่ทัน
ทว่าจากประสบการณ์ต้องใช้ความคิดช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้คนจำนวนมากมาก่อน ทั้งกรณีไม่เร่งรีบ และกรณีฉุกเฉิน ดังนั้นภายในไม่กี่วินาทีสมองเธอก็ทำงานรวดเร็ว
“คุณ!” ชวณัดฐ์ฮึดฮัดในใจ เมื่อจู่ ๆ ก็ไม่สามารถบังคับร่างกายตนเองได้อีก
“คุณทำให้ฉันต้องใช้วิธีนี้เองนะคะคุณณัดฐ์” ทิพาธรณ์ดุกลับด้วยความไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“และอย่าต่อต้านฉันนะคะ ไม่งั้นจะพาร่างคุณไปเต้นท่าลิงหน้ากระจก” เธอเตือนเมื่อรู้สึกได้ว่าเขากำลังพยายามขัดขืนการควบคุมของเธอ
แต่ชายหนุ่มในตอนนี้หรือจะยอมเชื่อง่าย ๆ เขาพยายามฝืนบังคับร่างกายตนเองอีกครั้ง และอีกครั้ง แต่วิญญาณสาวก็ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระจากการควบคุมของเธอไม่ได้จริง ๆ เพราะดูท่าวันนี้ผู้ชายที่คอยติดตามมาตลอดเกือบสองเดือนจะหุนหันพลันแล่นเป็นพิเศษจนน่าเป็นห่วง
แต่แล้วทันใดนั้นพลังสายหนึ่งก็พุ่งใส่วิญญาณของเธอ แล้วผลักให้กระเด็นออกมาจากร่างกำยำ ทิพาธรณ์ปลิวห่างออกมาราวสองสามเมตร ก่อนรีบหมุนตัวกลับไปทางคนขาดสติบนโซฟา ดวงตากลมโตสองข้างพยายามมองหาว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ นอกจากชายหนุ่มที่มองตรงมาทางเธอด้วยความไม่พอใจกำลังง้างกำปั้นขึ้น
“อุบ!” ริมฝีปากบางอมชมพูของชวณัดฐ์ถูกประกบด้วยกลีบปากอวบอิ่มของวิญญาณสาวอย่างกะทันหัน จนแวบแรกเขายังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สามสี่วินาทีต่อมาจึงเข้าใจเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายประชิดหน้าเขา พร้อมกับสัมผัสเบาบางบริเวณปาก
เธออาจกำลังจูบเขา แม้จะรับรู้ได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ก็เหมือนมีพลังงานบางอย่างวูบไหวพอให้รู้สึกได้บ้าง ประกอบกับภาพที่เห็นใบหน้าเธอเข้ามาใกล้ขนาดนี้จึงไม่อาจจะคิดเป็นอย่างอื่นได้มาก
เขาปล่อยเธออยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้จูบตอบแต่อย่างใด ไม่ว่าเธอจะทำอะไรในตอนนี้ หัวใจก็ซาบซ่านขึ้นมาอย่างประหลาดจนไม่อยากถอยห่าง กระทั่งหญิงสาวสังเกตว่าชายหนุ่มดูจะสงบลงแล้วจึงรีบขยับออกจากเขาไปสองสามเมตร ตอนนั้นเองที่เขาได้โอกาสยกมือขึ้นจับริมฝีปากตนเองพลางมองเธอด้วยแววตาสงสัย
“ขอโทษค่ะ คุณณัดฐ์มีสติขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ” เธอมองตอบเขาด้วยสีหน้าอธิบายยาก
“คุณจูบเพื่อเรียกสติผมงั้นหรือ” เขาถามเสียงเบา รสหอมหวานที่ยังติดในความรู้สึกทำให้อารมณ์ขุ่นมัวในใจแทนที่ด้วยความพอใจและสับสนกับความรู้สึกปั่นป่วนในอกของตนเองตอนนี้
“ค่ะ” เธอตอบปากสั่นน้อย ๆ พร้อมพยักหน้ารับ สีบนหน้าเธอตอนนี้แดงจนจะเป็นลูกตำลึงผลใหญ่ได้แล้ว
“อย่าทำร้ายตัวเองเลยนะคะ” เธอกล่าวต่อด้วยความอาทร
ดวงตาเรียวสองคู่ยังไม่ละจากใบหน้าของหญิงสาว พยายามพิจารณาคนตรงหน้าอย่างอยากรู้เหตุผลที่อาจจะมีมากกว่านั้นของการกระทำบ้าบิ่นเมื่อครู่ แม้เธอจะเป็นคนดูออกไม่ยาก แต่ทำไมเขากลับไม่อยากแน่ใจในสิ่งที่พบจากการประเมินนั้น
ร่างบางยังยืนนิ่งที่เดิม หากไม่สังเกตดี ๆ จะไม่รู้เลยว่าขาเรียวสมส่วนสั่นน้อย ๆ ด้วยความประหม่า เบี่ยงหน้าหลบสายตาทรงเสน่ห์นั้นไปอีกทางอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านี้ จะแวบหายไปก็ยังไม่ได้ เพราะเป็นห่วงชายหนุ่มตรงหน้าที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร จึงจำเป็นต้องยืนให้เขาจ้องอยู่อย่างนั้นหลายนาที
“คุณเป็นห่วงผม?” ในที่สุดชวณัดฐ์ก็หลุดประโยคแรกออกมาหลังจากที่เงียบไปนานพอควร วิญญาณสาวได้ยินคำถามนั้นก็สะดุ้ง เนื้ออกซ้ายเต้นโครมครามแทบไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าเรียวก้มลงในขณะที่ยังเบี่ยงข้างอยู่อย่างยอมรับ
“ค่ะ” เธอตอบเสียงเบา ทว่าอีกฝ่ายก็ยังพอได้ยิน
“มือคุณณัดฐ์เป็นไงบ้างคะ ถ้ามีแผลก็รีบทำแผลดีกว่าค่ะ” หยุดตรองสักครู่ก่อนทำใจดีสู้เสือเอ่ยต่อ
“ถือว่าฉันขอนะคะ”
ชายหนุ่มไม่ตอบรับเธอทันที เขามองเธออย่างประเมินอีกครั้ง
“ครับ” จากนั้นเขาก็เดินไปหากล่องพยาบาลมาทำแผลตนเอง ก่อนจะมีสายตาคู่หนึ่งหันกลับมาคอยมองตามหลัง
ศัลยแพทย์หนุ่มเดินถือกล่องพยาบาลมานั่งใส่ยาเองที่โซฟาตัวเดิม โดยวิญญาณสาวยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับถูกตรึงไว้ตรงนั้น เธอยังทำตัวไม่ถูกหลังจากทำอะไรแปลก ๆ ลงไป ทำได้ดีที่สุดคือยืนนิ่ง ๆ คอยมองชายหนุ่มเจ้าของห้องไปก่อนเท่านั้น
“เป็นวิญญาณคงไม่เมื่อยสินะครับ” เห็นเธอยืนอยู่อย่างนั้นมาหลายนาทีจึงเย้าเล่น เป็นผลให้คนโดนแซวทำหน้าไม่ถูกขึ้นมาแทบจะทันที
“ก็...ก็ฉันไม่รู้จะทำอะไรนี่คะ” เธอให้เหตุผล
“คอนโดฯ ผมมีเก้าอี้เยอะอยู่นะคุณ”
“ค่ะ เอางั้นก็ได้” แล้วเธอก็เดินไปนั่งโซฟาอีกตัวด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมขึ้นกว่าปกติ
“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”
หย่อนก้นนั่งไม่ทันไรเขาก็เอ่ยขึ้นมาดื้อ ๆ จนคนถูกขอบคุณตั้งตัวไม่ทัน แต่เธอก็หันมาพยักหน้ารับให้เขาแบบงง ๆ
“คุณเคยถามใช่ไหมครับว่าผมมีไอดอลหรือเปล่า และผมก็ตอบคุณว่าเป็นแพทย์หญิงคนหนึ่ง” อยู่ ๆ ชวณัดฐ์ก็พูดถึงเรื่องเก่าที่เคยคุยกับวิญญาณสาวเมื่อเกือบสองเดือนก่อนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคนนั่งฟังประหลาดใจไปชั่วขณะ
แต่แล้วเธอก็ได้คำตอบว่าเขาคงกำลังอยากจะระบายอะไรบางอย่างที่อัดอั้นในใจออกมาให้ฟังเป็นแน่ จึงตัดสินใจเงียบฟัง และรับคำเป็นระยะ ๆ ให้เขารู้ว่าเธอตั้งใจฟังอยู่
“ค่ะ”
“ผมเจอแพทย์หญิงคนนั้นเพราะมีคนส่งตัวผมมารักษาที่โรงพยาบาลวันที่ท่านอยู่เวรพอดีครับ คนที่ส่งผมมาไม่ใช่พ่อแม่หรือญาติคนไหน แต่เป็นน้าแม่บ้านของผม ผมถูกแม่และสามีใหม่ทุบตีจนบาดเจ็บไปทั้งตัว แถมไข้ขึ้นสูงมาก ไม่มีใครสนใจผมนอกจากน้าแม่บ้านคนนั้นที่คอยดูแลผมอยู่ตลอด จนเห็นว่าอาการผมหนักมากเกินไปจนเอาไม่อยู่เลยรีบพามาโรงพยาบาลกับลุงคนสวนกลางดึก”
ขณะเขาเล่าถึงตรงนี้ภาพเหตุการณ์ที่เธอเคยเห็นในหัวของชายหนุ่มเมื่อตอนที่เพิ่งมาอยู่กับเขาใหม่ ๆ ก็แล่นกลับเข้ามาฉายในสมองอีกครั้ง ภาพหญิงสาวและชายหนุ่มกำลังทุบตีชกเตะเด็กชายวัยราวสิบเอ็ดขวบอย่างไม่ปรานี
คนตัวกระจ้อยไม่ยอมแพ้ ขัดขืนต่อสู้สุดกำลัง หากนั่นยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟโทสะให้กับสองสามีภรรยาคู่นั้นเข้าไปอีก เด็กชายไม่ร้องไห้ ยอมสู้ยิบตาเพื่อปกป้องตนเอง แต่สู้ไปก็เหมือนกับหนูต่อกรกับราชสีห์ นี่ถ้าไม่ได้น้าแม่บ้านเข้ามาห้ามสองคนนั้นไว้ก่อน เขาก็คงอยู่ในสภาพไม่พิการก็ตายอย่างน่าสังเวช
“พ่อแท้ ๆ ของผมกับแม่แยกทางกันตอนผมน่าจะประมาณสามสี่ขวบ ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่แม่เกลียดหน้าผมมาก ตอนที่ยังไม่มีผู้ชายคนใหม่เข้ามาแม่ก็แค่ชอบเหวี่ยงใส่ผมเวลาผมเข้าใกล้ และทิ้งผมอยู่กับบ้านคนเดียว แต่ดีหน่อยที่ยังนึกฝากน้าแม่บ้านช่วยดูผมระหว่างท่านไม่อยู่ ท่านไม่เคยพูดกับผมดี ๆ ไม่เคยชมเวลาผมเรียนได้คะแนนอันดับหนึ่งของชั้น ไม่ว่าผมจะทำอะไรดีแค่ไหนก็ไม่เคยถูกใจท่านสักครั้ง” พูดไปหัวของเขาก็หวนนึกถึงวันวานไปด้วย ความเจ็บปวด ความไม่เข้าใจในวันนั้นยังตกค้างในอกตลอดมา
“หลังจากพ่อเลิกกับแม่วันนั้นพ่อก็ไม่เคยติดต่อหาผมหรือมาเยี่ยมเลยสักครั้ง มีแต่น้าแม่บ้านที่คอยอธิบายให้ผมฟังว่าท่านต้องทำงานหนักมาก จึงไม่มีเวลามาหาผม พอนานเข้าผมก็เลิกถาม เพราะรู้ดีว่ายังไงพ่อก็ไม่มาหาหรอก” เขาเว้นวรรคนิดหนึ่ง หัวเราะขื่น ๆ แล้วจึงเล่าต่อ
“แล้ววันหนึ่งแม่ก็พาผู้ชายคนนั้นเข้ามาในบ้าน แรก ๆ เขาก็ไม่มีอะไรมาก อาจจะมีปากเสียงกับแม่บ้างเท่านั้น แต่พอผ่านไปปีกว่าเขาก็เริ่มทำร้ายร่างกายแม่ ช่วงแรกผมก็เข้าไปช่วย แต่สุดท้ายกลับโดนทั้งแม่และเขาพากันรุมทำร้าย น้าแม่บ้านก็เลยบอกให้ผมอย่าเข้าไปยุ่ง ผมโดนตีบ่อยเข้าก็เริ่มเข้าใจที่น้าแม่บ้านเตือน และเวลาพวกเขาทะเลาะกันน้าแม่บ้านก็จะรีบมาพาผมออกไปอยู่ด้วยในครัวบ้าง หลังบ้านบ้าง คุณว่าไหมคนไม่ใช่สายเลือดเดียวกันกลับดีกับผมมากกว่าซะอีก” เขาหันมายิ้มแก้มบุ๋มให้กับวิญญาณสาวที่นั่งฟังเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ แต่สายตาที่ฝ่ายนั้นรับรู้ได้คือความหม่นมัวจากส่วนลึกในใจของชายหนุ่ม
“นั่นนับว่าเป็นความโชคดีของคุณนะคะ อย่างน้อยทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายมากจนเกินไป ฉันคิดว่าน้าแม่บ้านคนนั้นต้องรักและเอ็นดูคุณหนูน้อยของแกบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ” ทิพาธรณ์พยายามปลอบโยน
“จนวันนั้นแหละที่ผมต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน น้าแม่บ้านออกไปทำธุระข้างนอก ประจวบกับพวกเขาทะเลาะกันใหญ่โต ผมอดไม่ได้ที่จะต้องไปแอบดู เพราะได้ยินเสียงแม่ร้องไห้โวยวายจากชั้นบนดังมาถึงห้องที่ผมอยู่ คุณทายสิครับว่าผมเห็นอะไร”
“แม่คุณโดนทำร้ายอย่างรุนแรง จนคุณอดเข้าไปช่วยไม่ได้ใช่ไหมคะ”
“ครับ วันนั้นเขาทำร้ายแม่หนักกว่าปกติมากจนผมทนไม่ไหว แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ต่างจากเดิมเลย” ชายหนุ่มเว้นจังหวะหายใจก่อนจะเล่าต่ออย่างติดลม
“เหตุการณ์วันนั้นทำให้น้าแม่บ้านทนไม่ไหว ร่วมกันสองคนกับลุงคนสวนหาช่องทางติดต่อพ่อ จนพ่อเข้ามาจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้ พอดีขึ้นก็รับตัวผมไปอยู่ด้วย ส่วนน้าแม่บ้านก็กลับไปอยู่กับแม่เหมือนเดิม แต่ไม่นานก็มาหาผม และบอกว่าท่านจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด” แล้วเขาก็หยุดเล่าไปดื้อ ๆ
“คุณคงเศร้ามาก” คนเงียบฟังถามขึ้นด้วยความเห็นใจ
“นอกจากน้าแม่บ้านคนนั้น ผมก็ไม่คิดว่าใครจะหวังดีกับผมจริง ๆ ได้อีก” เขาบอกออกมาตามตรง พลางเหลือบมองหน้าวิญญาณสาวด้วยแววตาบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น
“น้าแม่บ้านมีส่วนสอนให้ผมเป็นคนดี และสอนให้รู้จักความอ่อนโยน ส่วนแพทย์หญิงคนนั้นทำให้ผมมีความฝันอยากจะช่วยเหลือคนอื่นให้ได้อย่างท่าน ผมเคยถามท่านว่าถ้าคนที่เคยทำร้ายท่านเจ็บป่วยมาให้ท่านรักษาท่านจะช่วยเขาไหม”
ทิพาธรณ์มองหน้าเขาอย่างรอคำตอบ
“ท่านตอบผมกลับมาว่าหน้าที่ของหมอคือการช่วยเหลือ ไม่มีหน้าที่ตัดสินว่าใครดีหรือชั่วกับเราหรือกับใครมาก่อน ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจแค่ไหน แต่ผมชอบประโยคนั้น”
คำว่า ‘เขาชอบประโยคนั้น’ ตอนที่ชายหนุ่มกล่าวออกมา หญิงสาวสัมผัสได้ถึงพลังศรัทธาในอะไรบางอย่างของเขาทะลักล้น จนเธอขนลุกซู่ไปทั้งตัว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1107
ความคิดเห็น
บางทีที่เด็กมีปัญหามันไม่ใช่เพราะตัวเด็ก แต่มันอยู่กับคนเลี้ยงดูด้วยนั่นแหละ
บางคนมีจิตใจเข้มแข็ง ก็โตมาเป็นคนดีได้ (เหมือนตัวเอกในเรื่องนี้)
แต่บางคนจิตใจมันเจออะไรมาเยอะ จนตรรกะความคิดมันพัง สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาของสังคม
แสดงความคิดเห็น