เฟรนด์ชิพ
ความชื้นจากเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่อยู่ผสมกับความแออัดของคนในขบวนรถไฟฟ้าตอน 6 โมงเย็น ยิ่งทำให้อยากจะตะโกนคำหยาบคายออกมา แถมด้วยชูนิ้วกลางใส่คนทั้งขบวนตั้งแต่หัวจนท้ายขบวน พร้อมกับหันไปยิ้มใส่อย่างไม่ใยดี...มันคงเป็นได้แค่ในความคิด
ความเป็นจริงผมเพียงทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับชะตาพนักงานออฟฟิศที่ต้องแย่งกันกลับบ้านยืนเบียดในขบวนรถไฟใต้ดินต่อไป ยิ่งโดยเฉพาะในเย็นที่ฝนตกหนักขนาดนี้
"ขอโทษนะคะ!"
ยังไม่ทันที่ผมจะหันหลบแรงดันจากข้างหลัง ผมก็โดนผู้หญิงคนหนึ่งเบียดผมจนแทบล้มก่อนที่เธอจะเดินออกจากขบวนรถไฟไปพร้อมกับคนนับสิบที่เดินแทรกเบียดตามเธอไปเหมือนพวกเขาไม่เห็นผม
แต่เอาเถอะ! ผมจะไม่บ่นอะไรไปมากกว่านี้ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ภายในขบวนมีพื้นที่เหลือให้หายใจมากขึ้น และในอีกไม่กี่สถานีผู้โดยสารก็ค่อยๆ เบาบางลงจนเหลือที่นั่งอยู่บ้าง ผมเดินตรงไปยังที่นั่งริมสุดที่ว่างไร้ผู้คน ทิ้งตัวลงเหมือนร่างไร้วิญญาณก่อนที่จะเผลอหลับหัวพิงที่กั้นไปด้วยความอ่อนล้า
บ่ายวันหนึ่งที่รู้สึกเหมือนโลกจะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์กว่าทุกวัน ผมนั่งหลังเปียกโชกอยู่ในห้องเรียนเพราะเมื่อพักเที่ยงผมเพิ่งไปเตะบอลมา ดวงตาผมหนักอึ้งจนมันพร้อมจะปิดได้ทุกเมื่อ ภาพของสาวใหญ่กับกระดานดำที่บนนัั้นมีแต่สูตรทางคณิตศาสตร์ที่ผมไม่เข้าใจมันแม้แต่น้อย มันเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่ผมจะยอมแพ้ให้กับความร้อนและความง่วงช่วงบ่าย
"มึง! กูขอนั่งด้วยนะ"
ผมสะดุ้งตื่นจากความฝันเรื่องในอดีตสมัยผมอยู่ ม.5 เพราะผมได้ยินเสียงเรียกและรู้สึกถึงสายตาใครบางคนกำลังจับจ้องมาทางผม แต่เมื่อผมหันมองไปตามสายตานั้น หัวใจผมก็แทบหยุดเต้น ดวงตาผมเบิกโพลง เพราะตอนนี้ที่นั่งว่างเปล่าข้างๆ ผมได้ถูกคนคนหนึ่งจับจองพร้อมกำลังสบตากับผม พวกเราเหมือนถูกกดหยุดเวลาอยู่ชั่วหายใจเข้า ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะหัวเราะออกมา
"หน้าผมมีอะไรติดเหรอ?"
ผมรีบดึงสติตัวเองกลับมา ก่อนจะถามคำถามเขากลับ
"โทษครับ! เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ"
เขายิ้มตาหยีพร้อมกับพยักเพยิดใบหน้าไปที่นั่งข้างๆ ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยชานมไข่มุกที่หกเลอะไปทั่ว
"ผมบอกว่าขอนั่งด้วยนะ พอดีเมื่อกี้คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเขาทำชานมไข่มุกหก เลอะมาถึงที่นั่งผมเลย"
ผมหันหน้ามองรอบข้างพยายามปิดบังความตระหนกของตัวเอง แน่นอนว่ารอบข้างที่นั่งทุกที่นั่งเต็มไปด้วยผู้คนยกเว้นที่นั่งที่เลอะชานมไข่มุก และที่นั่งตัวข้างๆ ของอดีตชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้
มุมปากผมยกยิ้มเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบตกลงคำขอของชายหนุ่ม (แม้ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องขอผมเลยก็ตาม) แล้วเราทั้งสองก็กลับสู่โลกของตัวเองกันเหมือนก่อนหน้านี้ ผมแอบชำเลืองมองการกระทำของเขา ยิ่งผมมองสมองผมก็ยิ่งปั่นป่วน ความคิดมากมายถาโถมเข้ามา และผมก็พยายามอย่างมากที่สกัดกั้นไม่ให้มันหลุดออกมาแม้เพียงคำเดียว
"เราเคยเจอกันมาก่อนมั้ยครับ?"
สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ให้กับตัวเอง ผมหลุดปากถามคำถามในใจผมออกไป แต่ก็เหมือนว่าชายหนุ่มข้างๆ เขาไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อะไร เขายกมุมปากเผยฟันขาว
"คิดว่า...ไม่นะครับ"
แล้วบทสนทนาของเราก็ถูกขัดด้วยเสียงตามสายของรถไฟฟ้าที่ประกาศชื่อสถานีต่อไป ซึ่งมันคือสถานีปลายทางของผม เพราะหอผมอยู่ที่นี่ แม้ขาทั้งสองข้างจะพาร่างกายผมมายืนอยู่หน้าประตู แต่ใจผมยังคงอยู่บนที่นั่งข้างชายหนุ่มคนนั้น ความคิดต่างๆ วุ่นวายมากขึ้นและมากขึ้น จนผมเผลอถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับตัดสินใจที่่ผมจะเลิกคิดถึงเรื่องนี้เสียที มันคงเป็นแค่ความบังเอิญบ้าๆ ที่เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน
ในวินาทีที่ประตูรถไฟเปิดออกผมก้าวเท้าออกไป เท้าผมสัมผัสกับพื้นของสถานีจุดหมาย และผมก็ยืนค้างอยู่เช่นนั้น แต่อยู่ๆ ในขณะที่เสียงสัญญาณเตือนว่ารถไฟฟ้ากำลังจะปิดประตู ด้วยปีศาจหรือนางฟ้าตนใดไม่แน่ใจ มันทำให้ผมรีบวิ่งกลับเข้าไปในรถไฟขบวนนั้นพร้อมกับตรงดิ่งไปนั่งลงที่นั่งเดิม
ผมเงียบอยู่กับความคิดตัวเอง จนชายหนุ่มข้างๆ กำลังจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผมปวดใจ
"ลืมของเหรอ-"
"คุณชื่ออะไร?"
ผมพูดแทรกคำถามของเขาออกไป ทั้งๆ ที่ในใจผมรู้ดีอยู่แก่ใจ
"ผมคงไม่ใช่คนที่คุณรู้จักหรอก"
ชายคนนั้นไม่รอเวลาให้ผ่านเลยไปแม้แต่น้อย เขาพูดสวนกลับมาอย่างปกติที่สุด
"ผมไม่ได้ถามเรื่องนั้น ผมถามว่าคุณชื่ออะไร?"
ผมเผลอน้ำเสียงแข็งกับคู่สนทนาอย่างไม่ตั้งใจ จนเดาว่าผมคงได้น้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างที่ผมเพิ่งพูดกลับมาแน่ แต่ผิดคาดผมดันได้เสียงหัวเราะที่ดูเหมือนเขาพยายามกลั้นไม่ให้เสียงดังมากเกินไปกลับมาแทน ตอนนี้ผมไม่เข้าใจอะไรแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาทำนั่นหมายถึงอะไรกัน?
"เดี๋ยวสถานีต่อไปผมก็จะลงแล้ว คุณไม่ต้องรู้ชื่อผมหรอก เราคงไม่น่าจะได้เจอกันอีกแล้ว"
เย็นวันนั้นในทางกลับบ้าน ผมกับ 'เฟิร์ส' เราเดินเพื่อไปขึ้นรถเมล์ด้วยกัน เพราะผมเพิ่งรู้ว่าบ้านเราอยู่ทางเดียวกัน แม้ว่าผมกับมันจะคุยกันจนเกือบสนิทมาจะอาทิตย์แล้ว ผมคิดว่าเหตุผลที่ผมกับมันเข้ากันได้ดี เพราะเราเป็นคนประเภทที่สังคมไม่ต้องการเหมือนกัน ผมเด็ก 'เนิร์ด' ประจำห้อง ส่วนมันเด็กที่ย้ายมากลางภาคเรียนตอน ม.5 แน่นอนพวกคุณฟังไม่ผิดหรอก มันย้ายโรงเรียนตอน ม.5 เพราะงานที่บ้านมัน และทุกคนก็รู้ว่ามันคงจ่ายให้โรงเรียนหนักพอสมควรแน่
"พรุ่งนี้มึงไปเตะบอลกับกูตอนเที่ยงป่าว?"
"กูไปเดี๋ยวพวกมึงก็ไม่สนุกกัน"
เงาของเราทอดทับกันบนสะพานข้ามแม่น้ำ ผมรู้สึกได้ถึงความอุ่นจากแขนของผมที่ท้าวสัมผัสกับราวสะพาน พร้อมทอดสายตามองตรงไปยังสายน้ำสีเกือบส้ม เพราะแสงของดวงอาทิตย์ยามใกล้ลับขอบฟ้า
"ที่จริงกูก็มีประโยชน์กับพวกมัน แค่ให้ทีมครบคนเท่านั้นแหละ"
ผมแค่นหัวเราะออกมาจากลำคอ แม้ว่าใจผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยก็ตาม
"แต่อย่างน้อยมึงก็ยังพอมีบางเวลาที่รู้สึกว่ามึงคู่ควรกับคนอื่นๆ อยู่นะ...แม้จะแค่ตอนพักเที่ยงก็เถอะ"
แล้วไอ้เฟิร์สมันก็ถอดกระเป๋าเป้นักเรียนลงกับพื้น มันย่อตัวนั่งลงใกล้ๆ กับกระเป๋าเหมือนมันกำลังหาอะไรบางอย่าง ผมไม่ได้ถามอะไรมันเพียงยืนมองมัน จนในที่สุดมันก็ยิ้มพร้อมกับหยิบสมุดปกแข็งหน้าปกสีดำเล่มหนึ่งออกมา และปากกา 1 ด้าม
"อะไรวะ?"
แล้วไอ้เฟิร์สมันก็ส่งทั้งสองอย่างนั่นมาให้ผม
"มึงเขียนชื่อมึง เบอร์โทร ที่อยู่ไว้ในนี้ให้กูหน่อย"
"ห้ะ!"
แต่ผมก็รับสมุดกับปากกามาอย่างงงๆ ผมเปิดมันออก ข้างในมีรอยปากกาสีน้ำเงินบ้าง สีดำบ้าง สลับกันไป แต่หน้าที่มีรอยปากกาก็ไม่ได้มีเยอะมาก เรียกได้ว่ายังไม่ถึง 1 ใน 4 ของทั้งเล่มนี้เลย ผมเดาว่ามันคือสมุดเฟรนด์ชิพของไอ้เฟิร์ส
"มึงให้กูทำไม หรือมึงจะย้ายอีกแล้วเหรอ?"
คราวนี้มันหัวเราะเสียงดัง พร้อมหันมามองผมเต็มสายตาของมัน
"คงยังหรอก แต่ใครจะรู้ อยู่ๆ กูอาจย้ายไปตอนไหนก็ได้ ชีวิตกูมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับกู"
ท้ายประโยคจากเสียงหัวเราะเมื่อตอนต้น ดวงตามันกลับมาเศร้าเหมือนเคย
"กูเลยอยากให้มึงเขียนไว้ให้กูหน่อย กูไม่ได้มีเพื่อนมาก วันนึงถ้าหากกูต้องไปที่ใหม่ เวลากูกลับมาเปิดมัน กูยังพอชื่นใจว่าอย่างน้อยกูก็ยังมีเพื่อน"
ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่มองตามันในตอนนี้ คงอาจเพราะผมเข้าใจมัน และผมไม่อยากเห็นสายตานั้นของไอ้เฟิร์สที่จะทำให้ตาของผมชุ่มไปด้วยน้ำใสๆ ผมบรรจงเขียนชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และที่อยู่อย่างบรรจงทุกตัวอักษร ผมเพียงอยากให้มันตอนกลับมาอ่านอย่างน้อยมันต้องเห็นชื่อผมชัดกว่าชื่ออื่น และมันต้องจำผมให้ได้ว่ามันก็มีผมเป็นเพื่อน
"มึงย้ายโรงเรียนบ่อยขนาดนี้ พ่อมึงเป็นมือปืนเหรอ?"
ผมยื่นสมุดให้มันหลังผมเขียนเสร็จ แต่ก็ไม่วายที่อยากหยอกมันให้มันกลับมามีรอยยิ้มบ้าง
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว และผมกับไอ้เฟิร์สก็ยังไม่ได้ขึ้นรถเมล์กันเสียที เพราะเราเอาแต่เอ้อระเหยวิ่งไล่เตะตูดกันบนสะพาน ทำเหมือนกับว่าเราเป็นเด็กมอต้น มันอาจฟังดูไร้สาระแต่เย็นวันนั้นผมจำได้ทุกรายละเอียด แม้แต่กลิ่นของบรรยากาศในตอนนั้น
"มึงห้ามอ่านสิ่งที่กูเขียนนะ รอให้มึงไม่อยู่โรงเรียนนี้ก่อน"
"ทำไม มึงสารภาพรักกับกูเหรอ?"
"กวนตีน!"
แล้วหลังจากนั้นยังไม่จบ ม.5 ดีไอ้เฟิร์สมันก็หายไป จนครูประจำชั้นได้มาบอกว่ามันลาออกไปแล้ว
รู้ตัวอีกทีผมก็มายืนส่งชายปริศนาอยู่ที่ประตูทางออกของสถานีปลายทางของชายคนนั้นแล้ว ผมมองแผ่นหลังของเขาที่กำลังเดินห่างไป ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เย็นวันนั้นหลังจากที่ผมวิ่งกลับเข้ามาในขบวนรถไฟ ผมก็พูดคุยกับชายแปลกหน้า เอาเข้าจริงผมแทบจำเรื่องที่เราคุยกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผมจำได้เพียงความรู้สึก มันเหมือนเย็นวันนั้นบนสะพานของเด็กหนุ่มทั้งสองคน
"คุณ!"
ผมตะโกนเรียกชายคนนั้น มันทำให้เขาหยุดชะงักพร้อมกับหันกลับมาทางผม ระยะห่างระหว่างเรามันเริ่มไกลขึ้นจนผมเริ่มหวั่นใจ
"พรุ่งนี้คุณจะกลับบ้านเวลานี้อีกมั้ย เผื่อเราจะได้เจอกันอีก?"
"ผมไม่รู้ ชีวิตผมมันกะอะไรไม่ได้หรอก"
ประโยคนั้นมันยิ่งทำให้หัวใจผมหล่นวูบมากกว่าเดิม
"งั้น...ลาก่อน"
มันยากเหลือเกินที่ผมจะสามารถพูดคำนั้นออกไปได้ แต่เมื่อมันได้หลุดออกมาจากปากผมแล้ว มันก็น่าสมเพชยิ่งดี มันทั้งสั่นเครือและไม่มีความน่าฟังแม้แต่น้อย ผมยกมือขึ้น โบกมือลาชายหนุ่มคนนั้น แล้วเขาก็ยกมือโบกกลับมา และในวินาทีนั้นผมก็ดันเห็นว่าในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตเขามีปากกาดำและปากกาน้ำเงินเสียบอยู่
ชายหนุ่มแตะบัตรโดยสารออกประตูอัตโนมัติไป ความเลือนลางของระยะห่างระหว่างเรากำลังเข้ามาทำหน้าที่ของมัน ผมตัดสินใจตะโกนคำถามสุดท้ายที่ผมพอจะมีแรงพูดออกไป
"สรุปคุณชื่ออะไร ตอบผมหน่อย!"
เขาหยุดนิ่งหลังคำถามนั้น ก่อนจะหันมาด้วยแววตาที่ผมคุ้นเคย จนคำตอบนั้นมันก็กระจ่างชัดโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อ
"รู้ไหมทำไมนักเดินทางถึงโดดเดี่ยว...เพราะถ้าโดดคู่มันไม่เท่เท่าไง!"
หยดน้ำตาผมร่วงหล่นหลังจากคำพูดนั้นของเขาในทันที ตอนนี้ผมไม่มีคำถามอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมเพียงยอมรับและมองเขาค่อยๆ ห่างออกไป เหมือนที่เขามักจะทำในทุกที่ที่เขาไป
ประโยคที่ชายหนุ่มคนนั้นพูดมันคือประโยคที่ผมเขียนไว้ในสมุดเฟรนด์ชิพของไอ้เฟิร์ส ที่จริงผมลืมประโยคนั้นไปแล้ว แต่ล่าสุดที่งานศพของมัน ที่บ้านของไอ้เฟิร์สได้เอาสมุดเล่มนั้นมาตั้งไว้หน้าโลงเพื่อให้คนที่มางานร่วมเขียนถึงมันเป็นครั้งสุดท้าย และผมก็เจอหน้าที่ผมเคยเขียน
มันป่วยหนักตอนที่ผมเริ่มทำงาน โดยไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย จนในถึงวันสุดท้ายของมัน มันกำชับให้แม่มันช่วยโทรหาทุกคนที่มีเบอร์อยู่ในสมุดเล่มนี้ พวกผมจึงรู้เรื่อง
ผมยืนร้องไห้อย่างไม่อายใครอยู่ที่ทางออกของสถานนีรถไฟฟ้า โดยที่ข้างล่างสถานีนั่นเป็นป้ายรถเมล์บ้านเก่าของผม ที่ผมกับไอ้เฟิร์สเคยลงรถเมล์ตรงนี้ด้วยกัน ก่อนที่จะแยกกันกลับบ้าน
- 👁️ ยอดวิว 955
แสดงความคิดเห็น