บทที่ 189: เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากในทุ่งหญ้า
“พวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ?”
เสียงของหูเจียวเจียวดังมาจากด้านหลังหลงโม่กับหูชิงหยวน พวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นทันที
ผู้เป็นพี่ชายพร้อมที่จะตอบน้องสาวโดยไม่ต้องคิด
“หลงโม่บอกว่า—”
“ไม่มีอะไร”
ทว่ามังกรหนุ่มพูดขัดจังหวะด้วยเสียงที่เข้มงวด พร้อมกับก้าวไปข้างหน้าหูชิงหยวน “เจ้าอยากมาช่วยสร้างบ้านหินใช่ไหม? ข้าบอกหูชิงหยวนว่าข้าจะมาช่วยเหมือนกัน”
ชายหนุ่มร่างสูงพูดในขณะที่เอื้อมมือไปจับมือของหญิงสาวแล้วจูงเธอเดินไปอีกด้านหนึ่ง โดยพยายามรักษาระยะห่างจากพี่ชายคนที่ 4 และไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้คุยกัน
“เจ้าจะอยู่ช่วยด้วยหรือ? แต่เจ้ายังต้องออกไปล่าสัตว์ เจ้าจะเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า?” หูเจียวเจียวยังไม่คลายความสงสัย น้ำเสียงของเธอจึงฟังดูลังเลเล็กน้อย
เธออดสงสัยไม่ได้ว่าหลงโม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่สี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกทั้งเขายังเสนอความช่วยเหลือเองด้วยซ้ำ
“ข้าไม่เหนื่อย ในการล่าสัตว์ข้าใช้เวลาครึ่งวันก็พอแล้ว” มังกรหนุ่มตอบอย่างเฉยเมย “และตอนนี้ในเผ่ามีกำลังคนไม่เพียงพอด้วยใช่ไหม?”
ยามที่คู่สามีภรรยาตระกูลหลงเดินปลีกตัวออกไป หูชิงหยวนที่อยู่ข้างหลังก็เกาหัวพลางทำหน้าฉงน
เมื่อกี้เขาพูดแบบนั้นไปหรือ? ทั้ง ๆ ที่…
เดิมที หูเฉียงและลูกชายทั้ง 4 คนสามารถช่วยกันสร้างบ้านหินได้ 1 หลัง แต่ตอนนี้มีหู่จิงเพิ่มขึ้นมา พวกเขาจึงต้องสร้างบ้านหิน 2 หลังบวกกับเวลาที่กระชั้นชิด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเร่งดำเนินการให้เร็วยิ่งขึ้น
หลังจากที่ทุกคนหารือกัน ในที่สุดครอบครัวจิ้งจอกก็ตัดสินใจว่าหูเฉียงและลูกชายคนที่ 2 กับ 3 จะสร้างบ้านหินให้หูหมิน แต่หูชิงเกาจะต้องไปทำถ่านทุกวันด้วย
ส่วนหูชิงซาน พี่ชายคนโตจะช่วยหูชิงหยวนกับหู่จิงสร้างบ้านหิน แล้วมีหลงโม่ที่รับปากว่าจะมาช่วยด้วยอีกแรง
ทางด้านหูเจียวเจียวยังไม่ทราบว่าข้อตกลงระหว่างหลงโม่กับหูชิงหยวนจริง ๆ นั้นคืออะไร แต่เธอก็รู้สึกโล่งใจมากที่เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้น
อย่างน้อยก็ยังดีกว่าแยกเขี้ยวใส่กันทันทีที่พวกเขาเจอหน้ากัน
…
วันถัดมา
ทั้ง 2 ครอบครัวเริ่มลงมือสร้างบ้านหิน ทางด้านหูเจียวเจียวเดินทางไปตามหาหัวหน้าเผ่าหลังจากดูแลลูกทั้ง 5 ในตอนเช้าเสร็จ
จากนั้นจิ้งจอกสาวบอกชายสูงวัยเกี่ยวกับแผนการของตนที่จะเลี้ยงกระต่ายเอาไว้กินเป็นอาหาร
เมื่อท่านผู้เฒ่าได้ยินคำพูดของหูเจียวเจียว เขาก็ทำหน้าประหลาดใจ
“เราเลี้ยงกระต่ายได้ด้วยหรือ เลี้ยงแบบไหนล่ะ? นอกจากนี้ กระต่ายยังตัวเล็กมาก เราต้องใช้อาหารจำนวนมากเพื่อเลี้ยงมันกว่าจะโต แถมระหว่างนั้นยังลำบากและใช้เวลานานอีก...”
คนเป็นหัวหน้าเผ่าขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดถึงข้อเสียที่นึกได้
ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะจับเหยื่อเป็น ๆ กลับมาไม่ได้ แต่เหยื่อที่จับได้นั้นดุร้ายและดื้อด้าน พอถึงฤดูหนาวพวกมันจะผอมจนเหลือแค่เนื้อให้กินไม่เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นการจับสัตว์เหล่านี้กินซะคงจะดีกว่าการที่ต้องมาคอยเลี้ยงพวกมัน
ในความคิดของพวกภูต การไปล่าสัตว์ในป่าเป็นสิ่งถูกต้องแล้ว อีกทั้งป่ายังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ดีที่สุด
กระต่ายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ เป็นเหยื่อของสัตว์ป่าหลายชนิด ดังนั้นในป่าจึงมีกระต่ายไม่มากนักแม้ว่าพวกมันจะขยายพันธุ์ได้เร็วก็ตาม หัวหน้าเผ่าคิดเพียงว่ากระต่ายไม่ต่างจากสัตว์ป่าส่วนใหญ่ที่อยู่จุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร
“ท่านผู้เฒ่า กระต่ายขยายพันธุ์เร็วมาก ถ้าเราเลี้ยงพวกมันไว้ 2-3 เดือน กระต่ายจะขยายพันธุ์เร็วกว่าเดิม และเราไม่จำเป็นต้องให้อาหารอะไรกับพวกมันมากนัก เราก็แค่สร้างรั้วรอบบริเวณที่กระต่ายอยู่ แล้วเลี้ยงพวกมันไว้ข้างใน”
หูเจียวเจียวยังคงอดทนอธิบายให้ผู้นำสูงสุดฟังต่อไป
หากไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ จำนวนกระต่ายจะขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ด้วยวิธีนี้ เมื่อถึงฤดูหนาวปีหน้า ทุกคนจะได้กินเนื้อสัตว์สด ๆ โดยไม่ต้องเข้าป่าไปล่าสัตว์อีก”
กระต่ายมีขนาดเล็กก็จริง แต่หากขยายพันธุ์พวกมันได้จำนวนมากก็จะเพียงพอเลี้ยงดูคนในเผ่า
เดิมทีภูตชอบกินเนื้อ แม้ว่าในฤดูหนาวจะมีมันฝรั่ง แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของพวกเขาอยู่ดี
การที่หูเจียวเจียวบอกว่าจะได้กินเนื้อสดในฤดูหนาวทำให้หัวหน้าเผ่าตื่นเต้นมาก
“แล้ว...เราจะเลี้ยงมันที่ไหน?” ชายชราถามออกมาทันที
“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องกังวล ข้าพบสถานที่ที่เหมาะสมแล้ว”
จิ้งจอกสาวเลิกคิ้วขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มมั่นใจ
ขณะนี้ผู้นำสูงสุดในเผ่าที่ยังลังเลอยู่เมื่อครู่แทบรอไม่ไหวที่จะเรียกภูต 2-3 คนให้มาหาตน แล้วพากันไปยังจุดหมายพร้อมกับหูเจียวเจียว
เวลาผ่านไปไม่นาน ภูตกลุ่มหนึ่งก็มาถึงสถานที่ปลูกมันฝรั่ง
“เจ้าอยากเลี้ยงมันที่นี่ใช่ไหม กระต่ายจะไม่กินผลไม้ดินไปหมดก่อนหรือไง?” หัวหน้าเผ่ารู้สึกลังเลเมื่อเห็นทุ่งผลไม้ดิน
เนื่องจากผลไม้ดินเหล่านี้คือเลือดที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตของทุกคนในเผ่า
“แน่นอนว่าไม่” จิ้งจอกสาวส่ายหัวก่อนจะชี้ไปที่อีกฝั่งของแม่น้ำซึ่งอยู่ไม่ไกล “ทางโน้นต่างหาก”
สถานที่ที่เธอชี้ไปคือทุ่งหญ้าแห้งแล้งอีกฝั่งของแม่น้ำ ที่ซึ่งหลงเหยาเกือบจะถูกฝูงหมาป่ากระหายเลือดทำร้าย
ทุ่งหญ้าอีกฝั่งของแม่น้ำนั้นกว้างใหญ่มาก ยกเว้นสัตว์เล็ก ๆ บางชนิดที่ลงมากินน้ำจากแม่น้ำ สัตว์ป่าตัวใหญ่ก็แทบจะไม่เข้าใกล้ที่แห่งนี้เลย อีกทั้งหญ้าที่ขึ้นจนรกครึ้มก็เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ตามธรรมชาติของกระต่าย
แน่นอนว่าสิ่งที่คนในเผ่าต้องทำก็คือขังกระต่ายไว้ที่นี่ให้ได้ รวมถึงหาวิธีเพื่อป้องกันไม่ให้กระต่ายหลบหนี
“แต่กระต่ายสามารถขุดโพรงได้ แค่ผนังไม้ไม่สามารถขวางพวกมันไว้ได้แน่นอน แต่เจ้าพวกนี้ก็ยังขุดกำแพงหินหนีไปได้เช่นกัน” หัวหน้าเผ่าคิดถึงความเป็นจริงที่ต้องเกิดขึ้น
“นี่ไม่ใช่ปัญหา โพรงกระต่ายมักจะลึกไม่ถึง 1 เมตร และลึกที่สุดเพียง 3 เมตร ถ้าเราสร้างกำแพงที่ลึกลงไปในพื้นดิน 3 เมตร กระต่ายจะหนีไปไหนไม่ได้”
หูเจียวเจียวอธิบายด้วยความมั่นใจ
แน่นอนว่าเธอไม่มีความรู้นี้จากในความทรงจำก่อนจะทะลุมิติเข้ามาในนิยาย ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ แต่ข้อมูลจากโลกมนุษย์ก็ไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงในโลกของภูตได้ ดังนั้นความรู้นี้จึงมาจากหนังสือในมิติของเธอ
หลังจากหญิงสาวกลับมาจากบ้านของหูหมินเมื่อวานนี้ เธอพบว่ามีหนังสือมากมายอยู่ในมิติ เดิมทีเธอคิดว่าหนังสือเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ในโลกของภูต เธอเลยทำแค่พลิกดูผ่าน ๆ แต่เธอไม่คาดคิดว่าหนังสือทั้งหมดเป็นความรู้ในโลกภูต
ตอนที่จิ้งจอกสาวได้อ่านเรื่องนี้ เธอแทบรอไม่ไหวที่จะไปหาท่านผู้เฒ่าเพื่อถ่ายทอดวิธีการเลี้ยงกระต่ายให้อีกฝ่ายฟัง
ปัจจุบันสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเผ่าคือการแก้ปัญหาเรื่องอาหารและที่พักในฤดูหนาว
เมื่อชายสูงวัยได้ยินคำอธิบายของอีกฝ่าย ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยก็สว่างขึ้น “ถูกต้อง! ทำไมข้าคิดไม่ถึงมาก่อน เจียวเจียว เจ้ารู้อะไรมากมายเลย”
“เร็วเข้า ทำตามที่เจียวเจียวบอกแล้วเรียกคนมาจัดการเดี๋ยวนี้”
ถัดมา หัวหน้าเผ่าตบไหล่จิ้งจอกสาวด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งออกคำสั่งให้ผู้ชายที่มาพร้อมกันเรียกภูตคนอื่นมาทำงานทันที
เมื่อเร็ว ๆ นี้ในเผ่ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งพวกมันทำให้สถานการณ์ในเผ่าดีขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่นั้นมาปากของผู้นำสูงสุดแทบไม่เคยหุบยิ้มเลย
ในไม่ช้าหัวหน้าเผ่าก็จัดให้ภูต 10 คนมาทำงานตามที่พูดคุยกันไว้
เนื่องจากกระแสน้ำในแม่น้ำไหลเร็วมาก ทุกคนจึงต้องพึ่งพาภูตนกเพื่อพาพวกเขาข้ามแม่น้ำไปอีกฝั่ง
แต่ในบรรดาทั้ง 10 คนนั้นมีภูตนกเพียงแค่คนเดียว
ปัจจุบันจำนวนภูตนกในเผ่ามีน้อยมาก มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ทางเผ่าจะจัดให้ภูตนกทั้งหมดมาทำงานตรงนี้
หูเจียวเจียวเองก็สังเกตเห็นข้อบกพร่องดังกล่าวเช่นกัน
ในอนาคตทุกคนคงไม่สามารถรอภูตของเผ่านกมาแบกพวกตนเพื่อข้ามแม่น้ำได้ตลอด
“ดูเหมือนว่าเราต้องสร้างสะพานก่อน...”
จิ้งจอกสาวทอดสายตามองไปที่แม่น้ำแล้วนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะวางแผนว่าเธอจะต้องเข้าไปในมิติเพื่อดูว่ามีหนังสือเกี่ยวกับวิธีการสร้างสะพานอยู่ข้างในนั้นหรือไม่ แต่เสียงเรียกของท่านผู้เฒ่าดังขัดจังหวะเธอขึ้นมาเสียก่อน
“เจียวเจียว มานี่หน่อยสิ เจ้าต้องการปิดล้อมที่ดินกว้างแค่ไหน?”
หูเจียวเจียวดึงสติตัวเองกลับมาสนใจงานที่อยู่ตรงหน้า เธอแหวกหญ้าสูงด้วยมือทั้ง 2 ข้างเพื่อเดินไปที่ด้านข้างหัวหน้าเผ่า
“เราปิดล้อมพื้นที่ทั้งหมดได้ไหม?”
สำหรับภูต การจับกระต่ายในทุ่งนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่าการล่าสัตว์ในป่ามาก
ตามนิสัยของกระต่าย พวกมันชอบอยู่แบบเงียบสงบและไม่ชอบถูกรบกวน ถ้าพื้นที่ปิดล้อมมีขนาดเล็กเกินไป เวลาจับมันจะทำให้กระต่ายตกใจง่าย
“ได้ แต่อาจต้องใช้เวลานานหน่อย” ผู้เป็นหัวหน้าเผ่าลูบคางพลางตอบอย่างจริงจัง
“เราจะสร้างเสร็จก่อนฤดูหนาวหรือเปล่า?”
ในโลกภูต ฤดูหนาวยาวนานถึง 6 เดือน ซึ่งเพียงพอที่กระต่ายจะได้มีเวลาเติบโตและผสมพันธุ์กันในปีหน้า ดังนั้นหูเจียวเจียวเลยไม่อยากพลาดช่วงเปลี่ยนผ่านที่ดีเช่นนี้ไป
“แน่นอน” หัวหน้าเผ่าพยักหน้ารับนิ่ง ๆ
“งั้นดีเลย” หญิงสาวผงกหัวพร้อมยิ้มกว้าง จากนั้นเธอหยิบห่อหนังสัตว์ที่ตนนำมาด้วยแล้วมอบให้ชายชรา
“ท่านผู้เฒ่า รบกวนท่านสั่งให้พวกเขากระจายของในนี้ให้สม่ำเสมอทั่วพื้นที่ทุ่งหญ้าแห่งนี้”
“ไม่มีปัญหา”
เนื่องจากผู้นำสูงสุดของเผ่าเชื่อมั่นในตัวของหูเจียวเจียวมาก เขารับห่อหนังสัตว์มาแล้วส่งให้ภูตนกโดยไม่ถามสักคำว่ามันคืออะไร
หลังจากที่หัวหน้าเผ่าหันหลังเดินกลับไป จิ้งจอกสาวก็มองไปรอบ ๆ เพื่อสังเกตสภาพของทุ่งหญ้าแห้งแล้งแห่งนี้
ระหว่างนั้นเธอไม่รู้ตัวว่าใช้เวลาเดินไปตามทางนานเท่าไหร่ พอเธอรู้สึกตัวว่าตนเองเดินออกมาไกลแล้วตั้งท่าจะกลับทางเดิม ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นไกล ๆ
“ช่วยด้วย ช่วยเราด้วย...”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 200
แสดงความคิดเห็น