คำมั่นที่คนเป่าขลุ่ยให้ไว้
คำมั่นที่คนเป่าขลุ่ยให้ไว้ ( the piper promise me)
ชายเป่าขลุ่ยและคณะเด็กเดินเป็นแถวออกไปจากเฮเมลิน เด็กนับร้อยๆเดินไปตามเส้นทางโดดเดี่ยวข้ามเนินเขาไป ทุกคนดูยินดียิ้มย่องที่จะได้ออกไปจากเมืองเก่าแห่งนี้ หนีไปจากพ่อแม่ที่คดโกง ขี้เกียจและไร้สัจจะ เด็กหญิงและเด็กชายจับมือกันเป็นแถว ล้วนแต่ยิ้มแย้มและหัวเราะร่า ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ แม้แต่เด็กน้อยที่สุดอย่าง เดียร์ดอที่เพิ่งเกิดก็ได้พี่ชายอุ้มไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินตามคนเป่าขลุ่ยไป เขากระซิบกับน้องสาว ”มาเถอะน้องพี่ ตอนเจ้าเกิดพี่สงสารเจ้า เจ้าเกิดมาในยุคสมัยที่ผิด ดอกไม้บอบบางไม่ควรขึ้นบนพื้นหิน แต่ตอนนี้เจ้ารอดพ้นแล้ว พอกันทีดินแดนของผู้ใหญ่ แดนแห่งเงินตราและภาษี น้องพี่ พอทีทุกข์โศกโรคภัย เพราะที่ที่เรากำลังจะไป คนเป่าขลุ่ยสัญญาไว้ เป็นป่าไพรไร้โศกาดูร ”
เด็กชายคนหนึ่งในเมืองได้ยินเช่นนั้น เขาชื่อเจมส์และเขาเองก็อยากจะตามไป เขาได้ยินคำสัญญาของชายเป่าขลุ่ยแต่ขาของเขาพิการทั้งสองข้างจากโรคร้ายที่ต่อมาได้ชื่อโปลิโอ และน้องสาวของเขา เอมีเลียก็หูหนวกไม่อาจได้ยินคำสัญญาของชายเป่าขลุ่ย เขามองดูกลุ่มเด็กท้ายแถวหายไปที่ริมขอบฟ้า เมื่อเด็กคนสุดท้ายข้ามเนินเขาไป แสงอาทิตย์ก็หมดไปจากโลก หมู่บ้านกลับสู่ความเงียบสงัด เหล่าผู้ใหญ่ที่เมื่อครู่หยุดนิ่งไม่ไหวติงต่างล้มลงกับพื้น วาจาเอ่ยคำสาปแช่งพระเป็นเจ้า เด็กชายค่อยๆใช้ไม้ค้ำเดินกลับเข้าบ้าน น้องสาวก็เกาะชายเสื้อพี่ชายเข้าบ้านไปด้วย เสียงร้องไห้ของพ่อแม่ระงมไปทั้งเมือง ไม่มีที่ใดที่จะไม่ได้ยินเสียงร้องของแม่ผู้สูญเสียลูกไป แต่ก็เพียงวันเดียวเท่านั้น วันรุ่งขึ้นทุกคนก็กลับมาใช้ชีวิตตามเดิม และต่างรู้สึกดีซะอีกที่กำจัดภาระชีวิตไปได้ ในวันนั้นเจมส์เองก็ยังคงตื่นแต่เช้าไปเก็บหัวผักกาดมาต้มให้น้องสาว พ่อแม่ของพวกเขาจากไปนานมาแล้วกับกาฬโรคครั้งก่อน ซุปผักกาดจืดชืดกินคู่กับขนมปังแห้งแข็งฝืดคอ เขาห่มผ้าให้น้องสาวที่นอนอยู่ก่อนจะออกไปวาดรูปให้กับทางโบสถ์ ระหว่างทางเขามองไปรอบเมืองเฮเมลิน เมืองนี่ดูเงียบเหงานับตั้งแต่เพื่อนๆจากไป และเธอคนนั้น คลาร่า ยอดรักของชีวิตเขา เธอเองก็จากไปด้วย เด็กชายไม่อาจลืมว่าถูกพรากดวงใจ เมื่อมองดูภาพที่เคยได้ยล นั่นคือคำมั่นที่คนเป่าขลุ่ยให้ไว้ เธออยากจากเมืองนี้ไปเสมอและนั่นคือสิ่งที่คนเป่าขลุ่ยเสนอเธอ เธอจึงตามเขาไป ใจของเด็กชายไม่เป็นสุขยามที่วาดภาพ ด้วยความไม่สงบล่องลอยเขาทำให้รูปของอดัมดูพิกลพิการจนโดนหลวงพ่อไล่ตะเพิดออกมา คนงานคนอื่นๆโยนเขาออกมานอกโบสถ์ หนึ่งในนั้นคือเจ้าวอร์ด วอร์ดหักไม้ค้ำของเจมส์และปาลงพื้นข้างตัวเขา ก่อนจะหัวเราะร่ากลับเข้าไปในบ้านของพระเจ้า เจมส์คว้าเศษไม้ค้ำ น้ำตาคลอเต็มดวงตาสีฟ้าซีด แต่ถ้าจะมีสักอย่างที่เขาเรียนรู้จากการทำงานร่วมกับคนชั้นเดียวกับเจ้าวอร์ด คืออย่าให้พวกมันเห็นน้ำตา เขาคลานไปถึงแนวต้นไม้เพื่อลุกขึ้นยืนลากสังขารตัวเองกลับบ้านไป น้องสาวกำลังเก็บผักกาดรอเขาอยู่ เมื่อน้องสาวผู้แสนดีเห็นสภาพอันสาหัสของพี่ชายผู้แสนดี เธอก็รีบวิ่งเข้ามา พยุงพี่ชายให้เข้าไปในบ้านอย่างปลอดภัย เขาขอบคุณน้องสาวก่อนจะหยิบไม้ค้ำสำรองออกมาจากใต้เตียง เขามองมันและน้ำตาที่อดกลั้นไว้ก็ล่วงหล่นลงสู่เนื้อไม้สีเข้มที่พ่อของเขาแกะให้เมื่อนานมาแล้ว พ่อของเขานั่งลงบนเนินหญ้านอกเมืองขณะแกะมันจากไม้สนที่พ่อค้าต่างถิ่นเอาขายให้ ตอนนี้มันสั้นไปมากแต่เขาก็ใช้มันต่างไม้เท้าได้ เขามองออกไปเห็นน้องกำลังต้มผักกาดในหม้อดินเผา เขามองปอยผมสีแดงของเธอที่ถูกซ่อนไว้ใต้หมวก มองดูความลำบากของเด็กน้อยที่ต้องมาดูแลพี่ชายพิการใกล้ถึงฆาตอย่างเขา เขายิ้มน้อยๆทั้งที่น้ำตายังอาบแก้ม พ่อบอกเสมอว่า ไม่มีอะไรล้ำค่าไปกว่าการเห็นลูกของตนเองเติบโต ตอนนี้เขากำลังมองน้องสาวที่เขาต้องดูแลเหมือนลูกของเขาเอง เขาอยากให้ชีวิตเธอสบายกว่านี้ เขาพยายามหางานที่ไม่ต้องใช้ขา ตำแหน่งคนคิดภาษีถูกลูกหลานและเพื่อนๆของเจ้าเมืองยึดไว้ งานดีสุดที่เขาหาได้คือวาดรูปให้กับโบสถ์ ซึ่งตอนนี้เขาถูกไล่ออกมา เขาจะทำอย่างไรดีเพื่อให้บ้านหลังนี้ยังคงรอดฤดูหนาวไปได้ เพื่อให้เสียงหัวเราะยังคงสถิตอยู่กับบ้านหลังนี้ หากเป็นไปได้เขาจะอุ้มเธอขึ้นหลังแล้วตามชายเป่าขลุ่ยไป แต่เขาทำไม่ได้ เขาพยายามเลิกคิดมาก ค่อยๆใช้ไม้ค้ำเดินออกมาจากกระท่อมไม้ และแล้วเขาก็เห็นเงาหนึ่งในเงามืด เขาเห็นชายร่างสูงในชุดหนังสีแดงและเหลืองซ่อนอยู่หลังต้นไม้ ที่ข้างเอวเขามีขลุ่ยยาวอยู่ในซองหนังดังฝักดาบ ชายเป่าขลุ่ยนั่นเอง เขากวักมือเชิญเจมส์เข้าไป เมื่อเขาเข้าไปใกล้ใต้ร่มไม้เดียวกัน ชายเป่าขลุ่ยเดินเข้ามาใกล้ตัวเขา มือของเขายื่นมาเพื่อพยุงตัวเจมส์ เจมส์จ้องเข้าไปในแววตาอันดำสนิทแต่เปี่ยมดวงความใจดีและเมตตา ริมฝีปากบางเฉียบบนใบหน้าเรียวของชายเป่าขลุ่ยเริ่มขยับ
“ ฉันให้คำมั่นไว้แล้วว่าทุกคนจะได้ไปกันหมด ” เขาพูดอย่างแผ่วเบาแล้วก็เป่าขลุ่ยเงินของเขา เจมส์ล้มลงกับพื้นเมื่อรู้สึกเหมือนถูกไฟไหม้ที่ขาและต้นคอ มันแผดเผาเขา มันเป็นปวดเหลือแสนเกินกว่าที่เขาเคยประสบมาแต่เมื่อมันหยุดลง เขากลับรู้สึกถึงขาของเขาอีกครั้ง
“ ยืนขึ้นหนุ่มน้อย” ชายเป่าขลุ่ยบอกเขา เจมส์ทำตามและมันเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้เขายืนได้เช่นคนอื่นและไม้ค้ำหายไปแล้ว เจมส์มองเข้าไปในป่า หายใจหนักหน่วงด้วยความตื่นเต้นและเริ่มออกวิ่ง เขาวิ่งไปรอบชายป่า เขาวิ่งเช่นที่เคยทำเมื่อยังเด็ก ก่อนโรคร้ายจะพรากมันไปจากเขา เมื่อเขาวิ่งกลับมายังที่เดิม เขาเห็นชายเป่าขลุ่ยนั่งอยู่ที่เดิมใต้ร่มไม้ เจมส์จึงรวบรวมความกล้าแล้วถามคนเป่าขลุ่ย
“ ผมมีน้องสาว เธอหูหนวกและเป็นใบ้ คุณช่วยเธอได้ไหม” ชายหนุ่มถามขณะจ้องมองตาสีดำเรียวเล็กของชายเป่าขลุ่ยใบหน้าของชายเป่าขลุ่ยเศร้าหมองลงแล้วกล่าวเรียบๆ “ ใครที่ไม่อาจฟังบทเพลงของฉัน ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้หรอกนะ” แต่เมื่อเขาเห็นแววตาผิดหวังในดวงหน้าของเจมส์ ชายเป่าขลุ่ยเงยหน้าขึ้นยิ้มอีกครั้งแล้วพูดว่า “ แต่เธอไปกับเราได้แน่นอน พาเธอมาเลยหนุ่มน้อยแล้วเราจะเดินทางไปเย็นนี้เลย สู่ป่าไพรไร้โศกาดูร” ได้ยินเช่นนั้น เจมส์รีบกลับไปบ้านเก็บข้าวของ เขาอุ้มน้องสาวขึ้นบนหลังและเริ่มเดินตามชายเป่าขลุ่ยไป พวกเขาเดินไปเรื่อยๆตลอดคืน ข้ามขอบฟ้า ข้ามเนินเขาหลายแห่ง จนเขาเห็นผืนป่ากว้างใหญ่ที่เส้นขอบฟ้าไกลลิบ ชายเป่าขลุ่ยบรรเลงเพลงของเขามาตลอดทาง เมื่อเข้าไปถึงในป่า สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเจมส์ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจ เหล่าเสียงเพลงจากเครื่องดนตรีง่ายๆที่พวกเด็กทำขึ้น เหล่าเด็กๆที่เล่นกันอยู่ตามต้นไม้ และตามรอบกองไฟเต็มไปด้วยของกินหอมกรุ่น ทั้งเค้กและเนื้อย่าง เด็กๆหลายคนกำลังเล่นในแม่น้ำสายเล็กๆ และคลาร่า ที่รักของเขาเต้นรำอยู่รอบต้นวิลโลร่วมกับสาววัยรุ่นคนอื่นๆ ทุกอย่างดูงดงามและแสนดี ยกเว้นแต่น้องสาวของเขา เธอพยายามตะโกนโดยไร้เสียง พยายามร้องเรียกห้ามพี่ชายไว้ แม้เจมส์ไม่ทันสังเกตแต่ดวงตาเธอเบิกกว้างนับตั้งแต่เข้ามาในป่าแล้ว เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นไม่เหมือนที่เจมส์เห็น เธอเห็นเพียงป่าร้างมืดทึมเต็มไปด้วยซากศพและเลือด เธอพยายามสุดกำลังเพื่อฉุดพี่ชายที่กำลังเข้าไปหาร่างชุ่มเลือดของหญิงสาวที่กำลังอ้าปากเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลม แต่ทันใดนั้นชายเป่าขลุ่ยจับแขนเธอไว้ มือสีขาวซีดกลายเป็นสีดำเหี่ยวแห้ง จ้องมองหน้าเธอด้วยตาสีแดงก่ำใบดวงหน้าไร้อารมณ์ มีเขากวางงอกออกมาจากหมวกสีแดงของเขา เสื้อหนังสีแดงเหลืองหายไป เหลือเพียงลำตัวผอมแห้งสีดำ ชายเป่าขลุ่ยวางนิ้วเรียวยาวลงบนริมฝีปากเธอและพูด “ ชู่ว...”
- 👁️ ยอดวิว 1466
แสดงความคิดเห็น