ความพยายาม จากหญิงนิรนามผู้สาบสูญ
ความพยายาม จากหยิงนิรนามผู้สาปสูญ
“ทักษะการช่วยเหลือตนเองของเธอมันอ่อนมากถ้าเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ”
“เดี๋ยวแม่ทำให้นะลูก หนูมองไม่เห็น”
“ทำไมคนอื่นเขาทำกันเองได้ล่ะคะ”
“ก็พวกเขาไม่มีแม่ดูแลเหมือนหนูไง อย่าคิดมากนะลูก”
“ทำงานแล้วยังต้องให้แม่มารับมาส่งอีกหรอหัดกลับบ้านเองได้แล้ว”
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะมองไม่เห็น แต่พวกเราก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ด้วยตนเองได้ เดินทางเอง ทำกับข้าวเอง ไม่เหมือนเธอ”
หญิงสาววัยทำงาน อายุเลขสองปลายๆ ทอดกายนั่งลงบนโขดหิน ยินเสียงซู่ซ่าแผ่วๆ จากเบื้องหน้า ละอองฝอยเม็ดกลมเล็กๆ ตกกระทบผิวแก้มผ่องนวล สายลมพัดหวืดหวือ หมู่มวลวิหปขับประสานคลอเสียงใบไม้ ที่พลิวไหวตามสายลมอ่อน ความเจ็บแปลบลึกๆ ในหัวใจ แล่นปราดจากทรวงอก ใจสั่นกระตุกวูบ ก้อนแข็งๆ เคลื่อนจากบริเวณอกข้างซ้ายตีบขึ้นลำคอ บีบคั้นน้ำใสจากดวงตา ไหลเรื่อยอาบหน้านวลขาว
เสียงสะอื้นฮักๆ เล็ดลอดออกมาจากกายที่โน้มเอน
‘สิ่งที่พยายามมาตลอด มันยังไม่พออีกหรือ”
เธอรำพึงรำพันออกมาเบาๆ บรรยากาศรอบข้างเย็นลง กลิ่นไอดินชุ่มน้ำปะทะจมูกโด่งสวย
บรรยากาศรอบข้างเย็นลง หรีดหริ่งเรไรระงมแซ่แม้ดวงตาทั้งสองข้างจะมืดมิด แต่ก็รับรู้ได้ว่านี่คือเวลาที่ควรอยู่ในบ้าน
“บ้าน … แม่… คิดถึง…”
ปล่อยให้อดีตอันแสนเจ็บปวดถาโถมเข้ามา ประหนึ่งพายุร้าย
หญิงสาวผู้สูญเสียดวงตาตั้งแต่กำเนิด ใช้ชีวิตอยู่กับมารดา ผู้ซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว
บ้านของเธอนั้นจัดว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ในระดับปานกลาง ด้วยความรักลูก แม่จึงมักจะทำทุกอย่างให้ลูกเสมอ ตั้งแต่เด็กจนเติบโตมากระทั่งทุกวันนี้ ส่งผลให้ทักษะการดำรงชีวิตของเธอเป็นศูนย์ ปัจจุบัน
เธอทำงานอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง ที่เปิดโอกาสให้ผู้กบกพร่องทางการเห็นเข้ามาเป็นพนักงานที่นี่ หลายครั้ง เธอมักถูกเปรียบเทียบกับกลุ่มเพื่อนร่วมงาน ในเรื่องทักษะการช่วยเหลือตนเอง
อยู่มาวันหนึ่ง เธอตัดสินใจลุกขึ้นมาปฏิวัติชีวิต
“แม่คะ วันนี้ไม่ต้องไปรับหนูที่ทำงานนะคะ หนูอยากลองเดินทางกลับเองดูค่ะ”
“ทำไมล่ะลูก การมีแม่ไปรับมันผิดตรงไหน”
“ไม่ผิดหรอกค่ะ แต่หนูอยากลองฝึกฝนตนเองดู แม่ให้หนูลองนะคะ”
สวัสดีค่ะ ฉันผู้ซึ่งมาฝึกทุกอย่างวัยทำงาน คิดว่าสายไปเสียแล้ว วันนี้จะมาเขียนบันทึกเรื่องราวความพยายามในการฝึกฝนและพัฒนาตนเอง ให้ได้อ่านกันค่ะ
วันแรกของการเดินทางกลับบ้านเอง เสียงนาฬิกาแขวนผนังบอกเวลา 16.00 น. ฉันเก็บของใส่กระเป๋าลวกๆ กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากสำนักงานกางไม้เท้าขาวแบบสไลด์ออก เลาะเลียบริมทางบนบาทวิถี
พื้นหนังที่ห่อหุ้มเท้าน้อยๆ ค่อยๆแตะลงบนผิวสัมผัสขรุขระที่มีลักษณะเป็นเส้นตรง อันเป็นสัญลักษณ์ทางเดินสำหรับคนตาบอด มือกำไม้เท้าคู่ใจไว้มั่น ราวกับเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว
หูทั้งสองข้างเอี้ยวฟังเสียงรถวิ่งสวนกันบนถนน สัญญาณแตรรถระคนกลิ่นควันเจือน้ำมันเครื่องพวยพุ่งแตะจมูก วัตถุอะลูมิเนียมในมือเป็นเครื่องนำทางชั้นดี มันกวัดแกว่งซ้ายขวาตามจังหวะก้าวอย่างเชื่องช้า เมื่อกระทบสิ่งกีดขวางตรงหน้าคราใด เจ้าของอาวุธวิเศษนี้ก็จะใช้มันสำรวจหาช่องว่างเพื่อเบี่ยงตัวหลบ
ฉันพาตัวเองมาถึงสะพานลอย ด้วยท่าทางการเดินที่ไม่คล่องแคล่วนัก ไม้เท้าคู่ใจสัมผัสพื้นผิวแตกต่างออกไปจากเดิม มันถูกยกขึ้นอัตโนมัติ เมื่อสัมผัสกับพื้นปูนที่มีลักษณะเป็นขั้นบันได ฉันก้าวขึ้นตามระดับพื้นซีเมนต์เบื้องหน้า จนถึงขั้นบนสุด ตัวสะพานแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ซ้าย ขวา ขวา ซ้าย … จะไปทางไหนดีนะ ยืนคิดอยู่ครู่ใหญ่
“จะไปไหนคะ”
เสียงหวานใสฟังดูใจดีเอ่ยทักจากด้านขวา เจ้าของเสียงคงช่วยนำทางไปสู่ที่หมายได้
“ป้ายรถเมล์ค่ะ”
“ทางนี้ค่ะ” มือคู่อ่อนโยนประคองไหล่ทั้งสองข้างของฉันให้หันไปทางซ้าย
“ขอบคุณมากค่ะ จะไปทางเดียวกันมั้ยคะ” หวังว่าคำตอบนั้นจะทำให้ฉันอุ่นใจที่ได้มีเพื่อนร่วมทาง
“อ๋อ พอดีจะลงฝั่งนี้ค่ะ แต่เดินไปส่งได้นะคะ เดินถูกมั้ย ให้ไปส่งมั้ยคะ”
นิ่ง เมื่อคำตอบไม่ได้เป็นไปตามที่หวังไว้ แต่ก็ดีนะ ไม่มีพี่สาวใจดีเดินไปส่ง จะได้ฝึกเดินเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ ไปถูกค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
การโกหกมันไม่ดี แต่ก็ไม่มีทางเลือกนี่นา ลองฝึกเดินคนเดียวก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร มาครั้งหน้าจะได้จำทางได้
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ” ฉันยิ้มเป็นคำตอบ เบี่ยงตัวมายืนริมสะพาน เพื่อให้พี่สาวใจดีเดินลงได้สะดวก
ทันทีที่เสียงฝีเท้าเบาๆ ค่อยๆห่างออกไปตามความสูงของบันได ฉันก็รีบเดินมุ่งตรงไปยังทิศที่เธอบอกเมื่อครู่
ขาทั้งสองข้างเหยียบลงบนพื้นสะพานสั่นระริกด้วยความกลัว ถ้าตกลงไปจะเป็นอย่างไร แต่ละก้าวที่เท้าย่างไปนั้นช่างหวาดหวั่นยิ่งนัก ก้าวไป กลัวไป ขาก็สั่นไม่หยุด หลายครั้งแทบทรงตัวไม่อยู่ เสียงรถวิ่งด้านล่างยิ่งทำให้ใจกระตุกวูบ เดินตามทางมาเรื่อยๆ ในที่สุด ไม้เท้าก็สัมผัสกับระดับพื้นที่ต่ำลงเป็นขั้น ฉันก้าวลงบันไดตามการนำทางของเจ้าอะลูมิเนียมไร้น้ำหนัก จนมาถึงป้ายรถเมล์ ได้ยินเสียงเครื่องยนต์และท่อลมของรถเมล์ผ่านไป
คันแล้ว คันเล่า ฝีเท้าหนักเบา อีกเสียงคนเดินคุยกันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ได้แต่เหลียวซ้ายแลขวา ชะเง้อมองขึ้นไปบนรถทุกคันที่จอดนิ่งอยู่ตรงหน้า ทั้งที่สายตาก็ไม่อาจจับภาพใดๆ ได้เลย เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที
หากยังยืนงงอยู่เช่นนี้ เห็นทีคงจะไม่ได้กลับบ้านเป็นแน่ ฉันตัดสินใจถามคนที่เดินสัญจรไปมา
“ขอโทษนะคะ มีรถเมล์สายสิบสองผ่านมาทางนี้บ้างมั้ยคะ” เสียงเดินหยุดกึ้กอยู่ข้างขวาของฉัน
“มีผ่านไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ”
คำตอบนั้น ทำเอาฉันรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย หากกล้าถามมากกว่านี้ คงได้กลับบ้านแล้ว
“โน่นค่ะ มาอีกคันแล้ว มาค่ะ เดี๋ยวพาขึ้นนะคะ”เสียงเดิมตอบ พลางคว้าแขนของฉันวิ่งให้ทันรถที่ขับเคลื่อนมาจอดตรงป้ายพอดี ฉันไม่ลืมที่จะขอบคุณพี่สาวคนสวยคนที่สองของวันนี้ โชคดีที่มีกระเป๋ารถเมล์อำนวยความสะดวกให้จนถึงปลายทาง วันนี้ ฉันทำได้แล้ว ก้าวแรกของการออกเดินทางด้วยตนเอง ต่อมา ฉันก็ได้ลองเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ บ่อยขึ้น จนทำให้แม่เริ่มหายห่วง และยอมปล่อยให้ฉันเดินทางคนเดียวบ้าง แต่ก็ยังคงไปรับไปส่งบ้านกับที่ทำงานอยู่เช่นเคย
“วันนี้หนูกลับบ้านเองได้มั้ย”
“ทำไมล่ะลูก ไม่ต้องกลับเองหรอก บ้านอยู่ใกล้แค่นี้เอง”
“แต่หนูไม่อยากให้ใครมาว่าหนูอีกแล้ว”
“หนูสนใจความรู้สึกคนอื่น แล้วความรู้สึกแม่ล่ะ”
“หนูไม่เข้าใจค่ะ”
“ตอนนี้แม่ยังมีแรงอยู่ ให้แม่ขับรถไปรับหนูเถอะนะ แม่ทำไหว แม่อยากทำ”
คำพูดของแม่ ทำให้ฉันยอมให้แม่ไปรับไปส่งที่ทำงานเหมือนเดิม ไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าความรู้สึกของแม่อีกแล้ว แต่การที่มีแม่ไปรับไปส่งอีกครั้ง ก็มีคำพูดมลพิษมาเข้าหูอีกจนได้
“รู้มั้ย ว่าทำไมมันถึงให้แม่มารับอีกแล้ว”
“ทำไมหรอ ก็เห็นกลับรถเมล์เองอยู่พักนึงนี่”
“เพราะมันเคยนั่งรถเมล์เลยป้ายไง หลงทางร้องห่มร้องไห้ใหญ่เลย”
“โธ่เอ๊ย นึกว่าจะทำได้สักกี่น้ำ ไม่แน่จริงนี่หว่า”
‘ฉันไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เพราะคนที่รู้เหตุผลเรื่องนี้ดีที่สุด ก็คือตัวฉันเอง ฉันไม่เคยนั่งรถเมล์เลยป้าย ไม่เคยหลงทาง ไม่เคยร้องไห้ แต่ฉันเลือกที่จะถนอมน้ำใจแม่มากกว่า’
ความภูมิใจ
สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่ใครหลายคนสามารถทำได้ และแน่นอนว่าทำได้ดีกว่าฉัน แต่ฉันนั้นกลับภูมิใจกับความสำเร็จเหล่านั้น มากกว่าคนอื่นๆ แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่มันก็เป็นกำลังใจสำคัญ
ให้นึกชื่นชมตนเองในใจ
ตู้น้ำวิเศษ
มือสองข้างสำรวจตู้สูงใหญ่ มีช่องสำหรับใส่เหรียญและธนบัตรอยู่ริมขวา ฉันหยอดเหรียญขนาดใหญ่สุด มีจุดกลมโต ทั้งสองด้าน ใช้ปลายนิ้วชี้สัมผัสจุดนูนที่ผุดขึ้นบนสติกเกอร์ใต้ปุ่มกดน้ำแต่ละปุ่ม เมื่อเลือกน้ำที่ต้องการได้แล้ว ก็กดปุ่มค้างไว้ ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กด้านล่างพร้อมกับเสียงเหรียญ เป็นสัญญาณว่ากดน้ำออกมาได้แล้ว ฉันปล่อยมือจากปุ่มกดน้ำ แล้วหยิบขวดน้ำออกจากช่องด้านล่าง เป็นครั้งแรกที่กดน้ำตู้เองได้สำเร็จ
ฝีมือรสทิพย์
ยามดึกที่เงียบสงัด ฉันนั่งทำงานอยู่ในห้อง ท่ามกลางความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ช่วยคลายความกังวลจากงานตรงหน้าลงไปได้บ้าง ความหิวเริ่มมาเยือน แต่แม่ก็หลับแล้ว คงไม่มีใครทำอาหารให้ทานตอนนี้
ฉันปิดโปรแกรมเสียง พับหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพาลง แล้วเดินเข้าห้องครัวไป ได้เวลานำความรู้วิชางานบ้านในสมัยเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษามาใช้แล้ว ฉันหยิบไส้กรอกแท่งออกมาจากตู้เย็น เตรียมเขียงกับมีดพร้อม เริ่มหั่นไส้กรอกทีละแท่ง โดยวางไส้กรอกลงกับเขียงในแนวนอน จับมีดด้วยท่าทางที่หากใครเห็นเป็นต้องกลัว แต่ฉันไม่กลัวนะ เพราะฉันจะไม่ยอมให้นิ้วตัวเองหายแน่นอน
มือซ้ายจับของที่ต้องการหั่น มือขวาจับมีด กะระยะความหนาของชิ้นไส้กรอกโดยใช้ปลายมีดกำหนดความยาวในแนวขวาง แล้วหั่นออกให้มีลักษณะกลมเป็นแว่นๆ เมื่อหั่นได้แต่ละชิ้น ก็หยิบใส่จานอย่างชื่นชม
ในจานมีไส้กรอกหลากขนาด ชิ้นเล็กบ้างใหญ่บ้าง บางชิ้นเว้าแหว่ง แต่ก็สวยในความคิดของเรานะ
ฝีมือตัวเองหั่น ก็ต้องสวยน่าทานอยู่แล้ว เมื่อได้ไส้กรอกปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ
ก็หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกจากชั้นวางของในครัว ฉีกซองห่อถ้วยกระดาษออก ฉีกเครื่องปรุงเทใส่ถ้วย ตอนนี้ มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยผงเครื่องปรุงและน้ำมันเจียว เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้ลองทำเอง กดกาน้ำร้อนเทใส่ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รอให้เส้นนิ่ม พร้อมเสิร์ฟคู่กับไส้กรอก เมนูยามดึกวันนี้ เป็นมื้อที่อร่อยมากที่สุดอีกมื้อหนึ่งก็ว่าได้ เพราะเป็นฝีมือตัวเองทั้งหมด
ของว่างบันดาลใจ
บ่ายวันหนึ่ง นึกอยากทำของว่างทานเอง จึงหยิบเมนูของว่างทำง่ายอย่างบลูเบอรี่ชีสพายและนมเย็นมาทำ
บลูเบอรี่ชีสพาย เป็นขนมชิ้นแรกและชิ้นเดียวที่ทำเป็นตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ทำง่าย ไม่ต้องใช้เตาอบ
ขั้นแรก นำขนมปังกรอบเอบีซีใส่ถุงซิปล็อค บีบและทุบให้แหลก เทใส่ชามพลาสติกใบใหญ่ลักษณะคล้ายกะละมัง ใส่เนยเค็มลงไป 6 ก้อน ด้วยวิธีที่หากอธิบายแล้วคงไม่มีใครกล้าชิมฝีมือฉันแน่ วิธีนั้นก็คือ ฉีกฟอยล์เนยออก ใช้มือข้างหนึ่งบีบปลายฟอยล์เข้าหากัน ให้ก้อนเนยโผล่ขึ้นด้านบน แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งหยิบก้อนเนยใส่ลงในชาม ก้อนเหลวๆ ติดมือเหนียวหนึบ จนต้องล้างมือเป็นระยะ เมื่อใส่เนยลงในชามแล้ว ก็คนเนยกับขนมปังให้เข้ากันด้วยไม้พาย จากนั้น ตักขนมที่คลุกเคล้ากับเนยจนเข้ากันแล้วใส่ถ้วยพลาสติกใบเล็ก
คล้ายถ้วยไอศกรีม กดขนมปังให้แน่นติดกับถ้วย ใส่ครีมชีส ตบท้ายด้วยแยมบลูเบอร์รี่ จากนั้นปิดฝาถ้วย นำไปแช่ช่องฟิตรอให้แข็งตัว จะได้บลูเบอรี่ชีสพายที่ไม่ต้องอบให้ยุ่งยาก
การทำนมเย็น
เทน้ำแดงลงในแก้วน้ำแข็งบดพลาสติกทรงสูง กะปริมาณโดยนับ 1-10 บีบนมข้นหวานจากหลอด กะปริมาณเช่นเดียวกันกับน้ำแดง จากนั้น ใช้ปลายแหลมของหลอดเจาะรูกล่องนม คว่ำกล่องนมให้สนิทมิดแก้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้นมไหลออกนอกแก้ว ใช้ช้อนเล็กคนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน จะได้นมเย็นพร้อมดื่ม
เสร็จแล้ว ชุดของว่างที่น่าภูมิใจ
วันที่ฉันลืมไม้เท้า
ช่วงเย็นของวันหยุดสุดสัปดาห์ ฉันนัดกับเพื่อนว่าจะไปทานหมูกระทะ ด้วยความตื่นเต้นและดีใจ ทำให้ลืมเอาไม้เท้าคู่ใจไปด้วย ขาไปไปกับเพื่อนจึงไม่มีปัญหา แต่ขากลับนี่สิ โชคดีที่บนรถไฟฟ้ามีพี่พนักงานรักษาความปลอดภัยคอยดูแล เมื่อเพื่อนส่งฉันขึ้นรถไฟฟ้าและต้องแยกกันกลับ เนื่องจากบ้านอยู่คนละทาง การผจญภัยมหาโหดก็เริ่มขึ้น ‘Next station’ เสียงประกาศบนรถไฟฟ้าบอกสัญญาณให้เตรียมตัวลง ฉันตั้งใจฟังว่าประตูรถจะเปิดด้านไหน ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด ฉันรีบเดินไปทางด้านที่เป็นแหล่งกำเนิดของเสียง เมื่อถึงช่องว่างระหว่างชาญชรา ด้วยความกลัวตกลงไปในช่องโหว่นั่น ฉันจึงก้าวขากว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ มีไม้เท้าก็ระวังอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีไม้เท้ายิ่งต้องระวังมากกว่าเดิมหลายเท่า ทันทีที่เท้าข้างหนึ่งสัมผัสกับพื้น เท้าอีกข้างก็ก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับ นี่รปภ. นะครับ ผู้โดยสารจะไปไหนครับ”
“ทางออกสามค่ะ นี่ตั๋วนะคะ”
พี่พนักงานรักษาความปลอดภัยนำฉันไปยังจุดหมาย
“ถึงแล้วครับผู้โดยสาร”
‘หมดหน้าที่ของพี่รปภ. แล้ว ได้เวลาเผชิญความจริงแล้วสินะ เราจะกลัวความจริงไปถึงไหนกัน เดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว’
ทันทีที่ก้าวพ้นประตูสถานี หยาดฝนเม็ดเป้งก็ตกกระทบผิวกาย เสียงซู่ซ่าดังระงมทั่วอาณาบริเวณ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็ไม่อาจหลบได้
“ฝนตกหนักครับ ผู้โดยสารเข้าไปหลบข้างในก่อนมั้ยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรียกรถแป๊บเดียวรถคงมา ขอบคุณมากนะคะ”
“นั้นเข้ามาหลบตรงนี้ก่อนครับ”
พี่พนักงานรักษาความปลอดภัยพาฉันเข้ามายืนหลบใต้หลังคาผ้าใบ ที่มีฉากกั้นมุมถนน
“ผู้โดยสารอยู่ได้นะครับ”
“ดะ..ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”
“ครับ นั้นผมไปก่อนนะครับ พอดีต้องไปรับพิเศษตาข้างบนอีกคนครับ”
‘พิเศษตา เพื่อนเราหรอ ใครกันนะ’ นาทีนี้ ฉันอยากเจอใครสักคนที่เรียกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับ จะกลับบ้านยังไง
คิดได้ดังนั้นก็ไม่รอช้า รีบหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ออกมาจากกระเป๋าสะพาย เข้าแอพพลิเคชั่นกดเรียกรถทันที ความหนาวเหน็บแล่นปราดถึงขั้วหัวใจ สั่นสะท้านไปทั้งร่าง น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ตัวสั่นโยนจากแรงสะอื้น ยืนรอเรื่อยๆ จนผิวมือเริ่มซีด เสื้อผ้าที่ใส่อมน้ำพองโต ไม่รู้ว่ายืนรออยู่นานเท่าใด
จนโทรศัพท์ในมือสั่น กดดูการแจ้งเตือนเป็นข้อความว่า
“คนขับรถของคุณมาถึงแล้ว โปรดอยู่ที่นั่นภายใน 10 นาที เพื่อหลีกเลี่ยงการยกเลิก!”
ปัญหาต่อมาคือ ไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหนของถนน ไม่รู้ว่าจะบอกคนขับรถอย่างไร เสียงโทรเข้าจากคนขับดังอยู่หลายครั้ง แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่รับสาย เพราะแม้แต่สีเสื้อตัวเอง ยังจำไม่ได้เลย ยืนอยู่นานจนได้ยินเสียงเครื่องยนต์จอดนิ่งอยู่ตรงหน้า คิดว่าต้องใช่รถที่เรียกไว้แน่ๆ ถ้าไม่ได้ถามก็ไม่ได้ขึ้น เอาละนะ ต้องกล้า
ฉันก้าวขาลงจากทางเท้าริมถนน เคาะกระจกรถรัวๆ อย่างไร้สติ ปากพลันตะโกนถามออกไป
“ใช่รถที่เรียกมั้ยคะ”
เสียงตอบมาผ่านกระจกฝั่งคนขับที่เลื่อนออก
“ใช่ครับ ผู้โดยสารขึ้นได้มั้ยครับ”
ต้องได้ ไม่มีอะไรต้องกลัว มือสั่นเทาลูบไล้กระจกรถที่เปียกชุ่มด้วยน้ำ คลำจนเจอที่เปิดประตู ฉันเปิดมันออก แล้วพาตัวเองขึ้นไปนั่งบนเบาะปลอดภัย… ได้กลับบ้าน… ไม่ต้อง ตากฝนอีกแล้ว
เคยคิดมาตลอดว่า จะเดินทางได้เองโดยไม่มีอุปสรรค เพราะก็ถึงบ้านอย่างปลอดภัยทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้… มันทำให้รู้แล้วว่า ถนนทุกสายไม่ได้ราบเรียบเสมอไป บทเรียนจากเรื่องนี้ คือไม่ควรประมาทและชะล่าใจ
เพื่อน ป้องกันภัย
ฉันฝึกเดินทางเองมาได้ระยะหนึ่ง จนเริ่มคล่องแคล่วขึ้น มีไม้เท้าขนาดพกพานำทางอยู่เบื้องหน้า มีหูไว้ฟังเสียงรถราบนท้องถนน ฉันกับไม้เท้า ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน การเดินในซอยเล็ก ก็ต้องระแวดระวังไม่แพ้บนถนนใหญ่เลย ยิ่งพื้นที่ถูกจำกัดด้วยความแคบของตรอก ยิ่งทำให้รถกับคนแย่งกันจับจองครองซอยมากขึ้น
วิธีป้องกันอุบัติเหตุได้ดีที่สุด คือเดินชิดริม ยึดฝั่งใดฝั่งหนึ่งของถนน ให้ไม้เท้าสัมผัสแนวขอบกำแพงอยู่เสมอ รถยนต์คันหนึ่ง ขับมาด้วยความเร็วปานกลาง ฉันรู้สึกว่ารถยนต์คันนี้เบียดชิดฝั่งที่ฉันเดินอยู่มาก ทันทีที่แกว่งไม้เท้าไปฝั่งรถ ไม้เท้าก็ถูกล้อใหญ่ๆของรถทับเสียงดังกรอบแกรบ สิ่งนั้นทำเอาหัวใจหล่นวูบ
เสียงล้อสัมผัสไม้เท้า ยังคงดังก้องอยู่ในหัว รถคันเดิมค่อยๆ แล่นจากไป ทิ้งไว้เพียงฉันที่ยืนก้มหน้างุด คิดไปว่าหากนั่นไม่ใช่ไม้เท้า แต่เป็นขาของเรา จะเป็นอย่างไร ฉันยกไม้เท้าขึ้นมาสัมผัส ถ้าเธอมีชีวิต คงจะเจ็บมากสินะ แรงจากการบีบอัด ทำให้ไม้มีรอยถลอก งองุ้ม หักด้ามปลายจนถึงตัวไม้ด้านบน ได้เวลาอวสานไม้เท้าคู่ใจ
ต้องซื้อใหม่ตามระเบียบ แต่ไม้เท้าที่หักงอนี่ ก็จะเก็บเอาไว้เตือนใจ ว่ามันเคยช่วยชีวิตฉันเอาไว้
ทุกการเดินทาง ทุกความภูมิใจ คือความพยายามที่ตั้งใจทำมาตลอด ต้องการพัฒนาทักษะการดำรงชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น แต่… ความพยายาม… ก็ทำให้รู้ว่า… ไม่ต้องพยายาม ที่จะ พยายาม
“ทักษะการช่วยเหลือตัวเองของเธอมันน่ากลัวมากเลย เธอต้องไปพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้นะ”
“ไม่รู้ว่าครอบครัวเขาเลี้ยงเขามายังไงเนาะ เปราะบางมากเลย ทำงานมาสี่ปีแล้ว ยังทำตัวเหมือนเด็ก นี่เรียกว่า พ่อแม่รังแกฉัน”
“ถ้าทำได้แค่นี้ มันไม่พอกับการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวหรอก หมดแม่แล้วเธอจะรู้สึก”
“นั่นสิ ถ้าไม่มีแม่แล้วจะทำยังไง เธอคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ”
‘กรี๊ดดดดด’ คำพูดทุกคำล้วนถิ้มตำใจ ที่ยอมเจ็บตัว ยอมเหนื่อย อดทนพิสูจน์ตัวเอง พัฒนาตัวเองทุกอย่าง มันยังไม่พออีกหรือ ถ้าโลกนี้มันอยู่แล้วต้องเหนื่อยขนาดนั้น ก็ขอไปอยู่ที่อื่นดีกว่า อย่างน้อย… ที่นั่นก็คงไม่ใจร้ายกับฉัน
ลาก่อน… โลกที่แสนโหดร้าย ฉันจะหายไปตลอดกาล ทุกคนที่นั่น พร้อมโอบกอดฉันเสมอ ฉันพร้อมแล้ว พร้อมทิ้งความพยายาม ไปอยู่ในโลก… ที่ไม่ต้องพยายาม จำไว้ อย่าดูถูกความพยายามของใครอีก ขอให้ฉัน เป็นคนสุดท้าย ที่จะถูกโลกทำร้าย… อย่างแสน สาหัต
เจ้าของร่างระหงผุดลุกจากโขดหิน ทิ้งกระเป๋าสัมภาระทุกอย่างไว้เบื้องล่าง ในมือกำวัตถุอะลูมิเนียมทรงกระบอกไว้แน่น ก่อนจะหายลับไปพร้อมอาทิตย์อัสดง จากนั้น ก็ไม่มีใครพบเธอ อีกเลย
จดหมายจากผู้สาปสูญ
สวัสดีชาวโลก ตอนนี้ ฉันอยู่ในที่ที่ไม่มีใครตามเจอ ที่นี่สุขสบาย และไม่ต้องพยายามทำอะไรที่ไม่เป็นตัวเอง หวังว่าทุกคนคงสบายดีนะ ฉันมองตัวเองผ่านกระจกย้อนเวลา โลกใบนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวัง คนตาบอด เมื่อสูญเสียดวงตา ก็ต้องหาสิ่งอื่นมาทดแทน พวกเขาเก่งมากเลยนะ ที่ใช้ชีวิตได้เหมือนคนสายตาปกติ
ฉันมองว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ทุกคนมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป
เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะคิดและกระทำได้ ในสังคมไทยปัจจุบัน แทบไม่มีข้อแตกต่างระหว่างคนตาบอดกับคนสายตาปกติในด้านการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ความเหลื่อมล้ำอันมิน่าพิรมย์นี้ เกิดจากคนตาบอดด้วยกันเองเสียส่วนใหญ่ ที่เรียกกันว่า “เพื่อน” ต่างแข่งขัน แก่งแย่ง พยายามดึงศักยภาพตัวเองออกมา
กดเพื่อนให้อยู่ภายใต้กรอบความคิดเดิมๆ หากทุกคนเลือกมองจุดดี และยอมรับขีดจำกัดของผู้อื่นได้ ก็คงไม่มีใครต้อง “พยายาม” เปลี่ยนแปลงจนไม่มีที่ยืนบนโลกใบนี้ อย่าง ฉัน…
อย่าคิดว่า คนอื่นไม่ “พยายาม” อย่าดูถูกความ “พยายามของใคร” แล้วบอกว่า เขายัง “พยายาม” ไม่มากพอ สุดท้าย อยากขอให้จดหมายน้อยฉบับนี้ เป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังฝึกฝนตนเอง อย่า “พยายาม” จนลืมรักตัวเองนะหวังว่า จะไม่มีใครได้มาอยู่ในดินแดนเดียวกับฉัน เนื่องจากขาดการยอมรับจากสังคมอีก ลาก่อน
หญิงนิรนาม ผู้สาปสูญ
- 👁️ ยอดวิว 672
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น