รักเหนือฝัน มีฉันต้องมีเธอ 11 : อดีตกลับมาหลอกหลอน
ภายในครัวขนาดพอดีของคอนโดฯชวณัดฐ์ ขณะนี้กำลังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารสองสามชนิดฝีมือเจ้าของห้อง หากเจ้าของสูตรแท้จริงกลับเป็นวิญญาณสาวที่เปลี่ยนใจจากที่จะยืมร่างชายหนุ่มทำอาหารให้เขารับประทาน กลายมาเป็นบอกขั้นตอนการทำให้เขาแทน
บนโต๊ะวางของในครัวตอนนี้นอกจากวัตถุดิบเหลือใช้ต่าง ๆ เต็มไปหมด ก็ยังมีถ้วยเล็ก ๆ สามใบใส่อาหารต่างชนิดกันวางอยู่ ด้านหนึ่งของโต๊ะทิพาธรณ์กำลังใช้มือเรียวบางของเธอหยิบช้อนตักอาหารในถ้วยเล็ก ๆ ใบหนึ่งจากสามถ้วยที่ชายหนุ่มตักแบ่งให้ลองชิม และอนุญาตให้เธอทานได้เข้าปากเพื่อเช็กรสชาติ หลังจากลิ้นสัมผัสกับน้ำแกงเธอก็ทำตาโตอย่างตื่นเต้น
การที่เธอได้รับอนุญาตจากเจ้าของอาหารให้สามารถรับประทานได้ เป็นผลให้เธอสามารถแตะต้องอาหารและถ้วยชาม ช้อนส้อม อันเป็นอุปกรณ์เกี่ยวข้องกับอาหารนั้นได้
“แกงสะแลก็อร่อย สรุปที่ชิมมาทั้งหมด ไม่ว่าไข่ป่าม น้ำพริกอ่อง และยังแกงสะแลอีก คุณณัดฐ์ทำได้ดีมาก ๆ เลยค่ะ” เธอชมด้วยรอยยิ้มจากใจจริง
“ครั้งแรกเลยที่ผมทำเมนูไทยรายการใหญ่แบบนี้กินเอง” ชวณัดฐ์ออกตัวด้วยรอยยิ้ม
“งั้นตักออกไปกินข้างนอกดีกว่าค่ะ”
กว่าจะจัดการตัวเองเสร็จ แล้วมาทำอาหารที่ตนเองไม่คุ้นเคย ทั้งหมดก็ใช้เวลาผ่านไปจนเก้าโมงเช้า ชายหนุ่มและวิญญาณสาวจึงได้เริ่มกินมื้อเช้าร่วมกันภายใต้บรรยากาศเบิกบานใจ
วันหยุดของศัลยแพทย์หนุ่มเวียนมาอีกครั้ง อยู่กับวิญญาณสาวเกือบสองเดือนแล้วเขายังไม่รู้เลยว่าจะช่วยให้เธอเข้าร่างได้อย่างไร ถามฝ่ายนั้นก็ตอบเพียงว่าท่านผู้นั้นบอกเมื่อถึงเวลาจะรู้เองทุกครั้งจนเขาเลิกสนใจไปแล้ว ตอนนี้ก็รู้เพียงว่ายิ่งได้รู้จักชิดใกล้มากเท่าไร หัวใจก็รู้สึกดีกับเธอขึ้นเรื่อย ๆ มากขึ้นเท่านั้น
หัวใจของเขาไม่ได้ลืมแฟนเก่า แต่คนที่อยู่ข้างกายทำให้ความทุกข์เกี่ยวกับเรื่องนั้นเบาบางลงมาก การที่ยังจำใครอีกคนคงไม่จำเป็นต้องรักษาความเศร้าในเรื่องของเขาหรือเธอคนนั้นไว้ตลอดหรอกกระมัง อย่างไรชีวิตคนเราก็ต้องเดินหน้าต่อไป แม้สิ่งที่เสียไปอาจจะไม่มีวันได้คืนอีกเลยก็ตาม
“ผมทำอร่อยขนาดนี้เลยหรือเนี่ย โอ้ว! ประสบการณ์ใหม่แห่งชาติ” หลังจากกินเข้าไปได้สี่ห้าคำเขาก็เอ่ยชมตนเองอย่างไม่เกรงใจใคร พลางก็ตักนั่นนี่เข้าปากตามด้วยข้าวเหนียวอุ่น ๆ ปั้นใหญ่ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ทิพาธรณ์ได้ยินอย่างนั้นก็ส่งยิ้มสวยให้แล้วกล่าว
“ถ้าคุณณัดฐ์เป็นคนไม่ขี้เบื่ออาหาร ตอนเที่ยงน่าจะกินได้อีกมื้อนะคะ” เธอออกความเห็น
“ผมกินได้ครับ ดีเหมือนกันประหยัดเงินด้วย” เขาบอก
“คุณณัดฐ์ได้ลองสูตรฉันแล้ว ตามที่เคยคุยกันไว้ คุณณัดฐ์ต้องทำอาหารฝรั่งเมนูที่คิดว่าทำอร่อยที่สุดให้ฉันกินด้วยนะคะ” เธอทวงสัญญา
“ครับ เอาเป็นเมื่อไรดีล่ะ”
“อาทิตย์หน้าเลยดีไหมคะ” หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น
“ถ้าไม่ติดอะไรนะครับ ผมจะทำให้กินครับ รับรองเลย คุณต้องอยากกินอีกเรื่อย ๆ แถมหากินที่ไหนไม่ได้ด้วยนะคุณ” ชายหนุ่มอวดตัวเองไม่จริงจังนัก
“งั้นถ้าคุณณัดฐ์สนใจอยากจะทำหรือลิ้มรสชาติอาหารไทยพื้นเมืองสูตรฉันอีกก็บอกได้นะคะ ถือว่าแลกสูตรกันเป็นไง” เธอกล่าวอย่างนึกสนุก
“ตกลงครับ”
“วันนี้คุณองุ่นติดธุระ ไม่ได้แวะมาหา คิดถึงหรือเปล่าคะเนี่ย” จัดการมื้อเช้ากันไปสักระยะจู่ ๆ หญิงสาวก็นึกอะไรขึ้นได้จึงลองถามทีเล่นทีจริงหยั่งเชิงชวณัดฐ์ดู
สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาศัลยแพทย์สาวสวยแวะเวียนมาหาชวณัดฐ์บ่อย ๆ ไม่ว่าที่ห้องทำงาน ที่คลินิก หรือคอนโดฯ ก็ตาม มาหาทีไรก็ต้องมีอะไรมาฝากเสมอ ไม่ว่าจะของกินหรือของใช้ ของที่ระลึกต่าง ๆ แถมชอบชวนเขาคุยนั่นนี่เป็นประจำ ดูแรก ๆ เหมือนชายหนุ่มจะรำคาญบ้าง แต่หลัง ๆ เห็นเขาไม่ค่อยมีสีหน้าอะไร ไม่รู้ว่าเริ่มพอใจที่ผู้หญิงคนนั้นมาหา หรือชินแล้วก็ไม่ทราบได้
ทิพาธรณ์ก็ไม่แอบอ่านใจใครนานแล้วด้วย หลังจากที่เคยถูกศัลยแพทย์หนุ่มที่เธอติดตามโมโหไปครั้งล่าสุด ประกอบกับคิดว่าอ่านใจใครต่อใครไปก็พลอยให้ตนเองไม่สบายใจไปเท่านั้นจึงเลิกเสีย
“ก็นิดหน่อยครับ” ชวณัดฐ์ตอบตามตรง ถึงแม้ไม่อยากจะผูกพันอะไรกับฝ่ายนั้นมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีสาวหน้าตาดีมาคอยเอาใจทำให้ชุ่มชื่นหัวใจอย่างไร พอเธอหายไปก็ต้องอดคิดถึงไม่ได้เป็นธรรมดาหรือเปล่า
วิญญาณสาวยังปั้นหน้ายิ้มเหมือนเดิม ทั้งที่ในใจรู้สึกหงอยลงไปมากพอควรเลยแท้ ๆ แต่การแสดงออกไปให้อีกฝ่ายรู้ตอนนี้คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในความคิดของเธอ
ทั้งคู่กินข้าวด้วยกันต่ออีกพักใหญ่ ๆ ก็อิ่ม ชวณัดฐ์กำลังลุกจะหยิบจานชามไปไว้ในครัวเสียงสมาร์ทโฟนบนโต๊ะทำงานของเขาก็ดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน ทำให้ต้องปล่อยมือจากจานชามแล้วเดินไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์ ตัวเลขสิบหลักเด่นหราบนหน้าจอ ชื่อที่บันทึกกำกับไว้คือเกสรินทร์ แม้ตัวไม่ได้มาหา ขนาดบอกว่าติดธุระเธอก็ยังอุตส่าห์ปลีกเวลาโทร.หาเขาสักหน่อยจนได้
“ครับ” ชวณัดฐ์ยกสมาร์ทโฟนขึ้นแนบหู แล้วกรอกเสียงทักทายไปตามสาย
[สวัสดีค่ะณัดฐ์ ทำอะไรอยู่คะ] เกสรินทร์ถามเสียงใส
“ผมเพิ่งกินข้าวเสร็จครับ”
[เหงาไหมคะ ขอโทษนะคะที่ไม่ได้ไปหา]
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ได้ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง” เขาตอบตามมารยาท
[เอางี้ ถ้าเสร็จธุระแล้วมันยังไม่ดึกมาก เดี๋ยวองุ่นจะแวะเข้าไปหานะคะ]
“ไม่เป็นไรครับ คุณกลับบ้านพักผ่อนจะดีกว่า กลับบ้านมืดค่ำที่บ้านคุณจะเป็นห่วงเอา”
[เอางั้นหรือคะ ก็ได้ค่ะ แต่ว่าที่โทร.มานี้มีอีกเรื่องที่จะคุยกับณัดฐ์นะคะ]
“ครับ ผมฟังอยู่”
[มีผู้หญิงมาถามหาณัดฐ์ค่ะ เขาเข้าไปหาที่คลินิก แต่วันนี้คลินิกปิด เจอแต่ รปภ.ที่เฝ้าอยู่ เธอจึงให้ รปภ.ติดต่อหาองุ่น ให้บอกว่าคุณสร้อยสวรรค์ สิทธิโชติ แม่แท้ ๆ ของคุณมาหา ให้รีบติดต่อหรือไปหาท่านที่คลินิกด่วนค่ะ ณัดฐ์รู้จักไหมคะ]
ชื่อที่หลุดออกจากปากคนปลายสายเป็นผลให้คนฟังนิ่งตะลึงงันไปเกือบหนึ่งนาที สร้อยสวรรค์ สิทธิโชติ ชื่อนั้นเป็นชื่อแม่ของเขาจริง ๆ ตอนที่ได้ข่าวผู้หญิงคนนั้นล่าสุดเมื่อสิบกว่าปีก่อน พ่อเขาบอกว่าเธอถูกจับคดียาไอซ์พร้อมกับสามีใหม่ อาจต้องโทษเป็นสิบ ๆ ปี
ตอนที่ทราบข่าวก็อดตกใจไม่ได้ อย่างไรก็เคยอยู่และเห็นท่านเป็นแม่ที่รักมากที่สุด แต่ไม่กี่นาทีต่อมาสิ่งที่ได้รู้ก็ทำให้รู้สึกสะใจไม่น้อย ในที่สุดคนที่ทำร้ายเขาก็ได้รับบทลงโทษสักที
ตั้งแต่พ้นมาจากบ้านหลังนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้มายุ่งกับเขาอีก และเขาก็ไม่คิดจะติดตามข่าวเธอเช่นกัน แม้จะได้รู้ข่าวร้ายของแม่ ก็ไม่ได้ทำให้คิดสำนึกไปเยี่ยมเยียนเลยแม้แต่น้อย หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนเป็นบุพการีก็เงียบลงไปตลอดมา จนกระทั่งวันนี้เธอติดต่อหาเขาเพื่ออะไร
[ณัดฐ์คะ ยังได้ยินองุ่นอยู่ไหมคะ] เห็นชายหนุ่มเงียบไปหญิงสาวจึงท้วงขึ้น เสียงนั้นทำให้เขาได้สติกลับมาอีกครั้ง
“ครับ” เขาตอบสั้น ๆ
[ณัดฐ์รู้จักคุณสร้อยสวรรค์หรือเปล่าคะ ณัดฐ์จะติดต่อกลับหาท่าน หรือจะให้องุ่นทำยังไงดีคะ] เกสรินทร์ขอความเห็น เรื่องนี้คาใจเธอไม่น้อยเหมือนกัน
นับแต่รู้จักผู้ชายคนนี้มาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่เคยพูดถึงแม่ของตนเองมาก่อน แล้วจู่ ๆ วันนี้ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มา บอกว่าเป็นแม่เขาเสียอย่างนั้น เท่าที่เคยสืบประวัติตามนิตยสารที่เคยสัมภาษณ์ชายหนุ่มมาหลายฉบับ ก็ไม่เคยเห็นฉบับไหนเอ่ยถึงแม่เขาเลย รู้เพียงว่าตระกูลฝั่งพ่อเป็นเศรษฐีพันล้านเท่านั้น
“ผมจะติดต่อหาท่านเองครับ ยังไงรบกวนขอเบอร์ รปภ.คนนั้นด้วยครับ” หยุดคิดนิดหนึ่ง เมื่อคิดรอบคอบดีแล้วเขาก็บอกออกไป
[ค่ะ องุ่นจะส่งให้ทางไลน์นะคะ งั้นยังไงองุ่นคงต้องขอตัวก่อน แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้ค่ะณัดฐ์] เพราะธุระที่ยังสะสางไม่เรียบร้อย และรู้ว่าชายหนุ่มเป็นคนไม่ชอบให้ใครละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเขา ดังนั้นเธอจึงยอมตัดใจไปทำธุระตรงหน้าต่อโดยไม่ซักไซ้ถามอะไรอีก
พอวางสายจากเกสรินทร์ไปรอไม่นานนักไลน์เขาก็เด้งขึ้น เปิดอ่านดูก็พบว่าหญิงสาวส่งเบอร์ติดต่อ รปภ.มาให้แล้ว จึงคัดลอกไปใส่ในช่องโทร.ออกทันที
[สวัสดีครับ] เสียงชายหนุ่มคนหนึ่งรับสาย
“ผมชวณัดฐ์ครับ จะขอคุยกับคุณสร้อยสวรรค์หน่อยครับ”
[อ๋อ ครับ คุณณัดฐ์ รอสักครู่นะครับ] รปภ.เจ้าของโทรศัพท์รับคำแล้วสายก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเขาจะได้ยินเสียงคนคุยกันดังแว่วเข้ามา
[คุณสร้อยสวรรค์ครับ คุณณัดฐ์ครับ] ตามด้วยเสียงกุกกักก่อนจะมีเสียงที่ห่างหายไปนาน ทว่าติดอยู่ในใจเขาไม่รู้ลืมดังขึ้นมาแทน
[ฉันเอง แกคงจำแม่ของแกได้นะตาณัดฐ์] เสียงที่ดังมาตามสายเรียบเฉยและเย่อหยิ่ง
มือแข็งแรงกำโทรศัพท์แน่นขึ้นด้วยความไม่ค่อยชอบใจนัก ขนาดไม่เจอกันนานแม่ก็ยังแสดงออกเย็นชากับเขาไม่เปลี่ยนแปลง
“คุณมีธุระอะไรกับผม” เขาพยายามถามอย่างใจเย็น
[หึ! คุณงั้นหรือ ฉันจะรอแกที่นี่ รีบออกมารับฉันแล้วออกไปคุยกันข้างนอก] สร้อยสวรรค์ออกคำสั่งอย่างไม่เกรงใจ ชายหนุ่มเป็นลูกของเธอ ฉะนั้นจะทำอะไรกับเขาก็ได้ ทว่าเป็นลูกที่เธอเกลียดขี้หน้าที่สุด อันที่จริงหากไม่มีความจำเป็นใด ๆ ก็ไม่คิดจะข้องเกี่ยวด้วย แต่นี่เธอไม่มีที่ไปแล้ว ดังนั้นเขาในฐานะคนที่เธออุ้มท้องและคลอดออกมาจะต้องดูแลเธอตอนที่กำลังลำบากให้สุขสบาย
สั่งเสร็จหญิงวัยกลางคนก็ตัดสายทิ้ง ไม่เปิดโอกาสอะไรให้อีกฝ่ายได้โต้แย้งเลยสักนิด แล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ รปภ.หนุ่มไป จากนั้นเดินกลับไปที่รถสปอร์ตหรูรุ่นสิบปีก่อนของตนก่อนเข้าไปนั่งรออย่างใจเย็น
ศัลยแพทย์หนุ่มวางสมาร์ทโฟนลงบนโต๊ะอย่างอารมณ์เสีย แม่เขายังเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ลางสังหรณ์กระตุ้นเตือน การกลับเข้ามาในชีวิตเขาครั้งนี้ต้องพาเรื่องวุ่นวายมากมายมาให้อีกแน่ ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดใจ ยิ่งได้กลิ่นเรื่องมากมายที่จะตามมาก็ยิ่งเครียด
ทำไม? เขาควรจะหลุดพ้นจากผู้หญิงคนนั้นไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเธอกลับมาทำไม จะเข้ามาทำลายชีวิตเขาอีกอย่างนั้นหรือ ไม่! ตอนนั้นเขายังเด็ก แต่ตอนนี้เขาโตมากพอจะสามารถปกป้องตนเองได้แล้ว นับแต่นี้ต่อไปจะไม่ยอมให้ใครคนนั้นทำร้ายเขาง่าย ๆ อีก ถึงสมองจะคิดอย่างนั้น แต่ส่วนลึกในใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ ภาพเมื่อหนหลังกลับขึ้นมาฉายชัดในมะโนสำนึกของชวณัดฐ์อีกครั้ง
“คุณณัดฐ์คะ” ทิพาธรณ์ที่ยืนดูตลอดเห็นชายหนุ่มจู่ ๆ ก็นั่งนิ่งไปจึงเข้ามาแตะแขนเรียก แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากอีกฝ่าย สัมผัสได้เพียงคลื่นหม่นมัวที่แผ่ออกมาจากร่างกำยำแล้วค่อย ๆ เข้มขึ้น เข้มขึ้น จนอดเป็นห่วงไม่ได้
เธอนึกออกเพียงพลังเมตตาที่เคยใช้บรรเทาทุกข์ทางใจให้เขามาตลอดเท่านั้น จึงรีบแผ่กระแสความปรารถนาดีให้ยกใหญ่ ก่อนคนตกภวังค์ไปจะค่อยมีสติกลับมา แล้วหันตามสายพลังอบอุ่นมาเห็นวิญญาณสาวยืนหลับตาพนมมืออยู่ใกล้ ๆ
“คุณกะทิ” เขาเรียกเสียงเรียบ ก่อนฝ่ายนั้นจะลืมตาขึ้นมอง
“เกิดอะไรขึ้นคะ” วิญญาณสาวถามด้วยความสงสัย เพราะก่อนหน้านี้ก็ยังเห็นเขาปกติดีอยู่เลย เขามองตอบเธอด้วยสายตายากอธิบายแล้วเอ่ย
“ผมต้องออกไปหาคนคนหนึ่งครับ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1870
ความคิดเห็น
เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว
ดูท่าคงมีปัญหาใหญ่แน่ๆ
ในตอนนี้มีข้อสงสัยอยู่ 1 จุดครับ
เนื่องจากกายนางเอกเป็นวิญญาณ ตรงนี้สงสัยว่านางเอกจะใช้มือจับช้อนเพื่อชิมอาหารได้ยังไงครับ
เพราะในบทบรรยายบอกไว้ว่านางเอกไม่ได้สิงร่างพระเอก แค่เป็นคนบอกสูจน์ อีกประการคือ บทบรรยายบอกไว้ชัดเจนว่า อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ ซึ่งเป็นคนละจุดกับที่พระเอกยืนอยู่
แล้วก็ในจุดที่ว่า ทั้งคู่กินข้าวด้วยกัน อันนี้ก็ตามข้อสงสัยในตอนแรกครับ ว่านางเอกกินข้าวได้ยังไง
อันนี้เป็นเพียงข้อสงสัยของผมเองครับ 55+
ขอบคุณนะคะสำหรับความเห็น ทำให้เรารู้สึกว่าอาจต้องอธิบายเพิ่มเติมด้วยทฤษฎีส่วนตัวของตัวเองซักหน่อย หะๆ คือเราติ๊ต่างว่า ถ้าอย่างคนเลี้ยงผีน่ะค่ะ เขาจะกินยังไง ผีจะสามารถกินอาหารนั้นได้ต่อเมื่อเจ้าของ(มนุษย์)อนุญาตให้กิน เราก็คาดเดาว่า เอ ถ้าอย่างนั้นก็เสริมไปซักหน่อย ถ้าคิดว่าผีก้มหน้ากินคาจานก็ดูกะไร ดังนั้นให้สวยๆก็คือเขาก็อาจสามารถจับส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกิน อย่าง ช้อน หลังจากเราอนุญาตแล้วได้น่ะค่ะ ยังไงเราคงต้องใส่เสริมเข้าไปเพื่อความเข้าใจของคนอ่านอีกทีค่ะ แต่...เจอกันฉบับรีไรท์เนาะ แฮ่
เนื้อเรื่องเริ่มเข้มข้น + ได้กลิ่นมาม่าเบาๆ แฮะๆ รอติดตามต่อนะคะ ช่วงโมเมนต์กินข้าวด้วยกันมากค่ะ น่ารักดี
แสดงความคิดเห็น