บทที่ 3 ผีดิบ
“ที่แท้เจ้าก็เก่งเพราะอาวุธที่อาจารย์ให้นี่เอง” เกตุหมายสัพยอกเล่น แต่กายแก้วหันมามองอย่างไม่สบอารมณ์
“ถ้าไม่มีฝีมือ ต่อให้มีอาวุธดียังไง มันก็เปล่าประโยชน์” เสียงของชายหนุ่มแข็งขึ้น
“ข้าล้อเล่นนิดเดียว ทำไมต้องทำเป็นโกรธด้วย” พูดพร้อมกับยิ้มเหมือนจะล้อเลียน
“อย่ายั่วโมโหได้ไหม”
“อย่าเพิ่งโกรธสิ โกรธมากอายุจะไม่ยืนนะ”
“โธ่เว้ย” ฝ่ามือของชายหนุ่มฟาดเข้าที่ผนังของถ้ำจนสะเทือน
“เอาหน้า เจ้ามีอะไรจะถามเรามิใช่หรอ ก็รีบถามมาสิ มัวแต่โมโหโกรธาอยู่ได้”
ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนตั้งคำถาม “เจ้าทำไมต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย ทั้งๆที่เจ้าก็เป็นผู้หญิง”
“นี่ เจ้ารู้หรอ!” ถามอย่างตกใจ
“หากไม่รู้ก็ตาบอดแล้ว ตอนที่ข้าไปช่วยเจ้าจากจระเข้ ลืมไปแล้วหรือ”
“เราจำเป็นต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย ถ้าเรายังแต่งตัวเป็นผู้หญิง เราจะเป็นอันตราย” หญิงสาวอธิบาย
“เจ้าจำมิได้เหรอ ขนาดข้าปลอมตัวเป็นผู้ชายก็ยังเกือบถูกลวนลาม ถ้ายังแต่งตัวเป็นผู้หญิงจะขนาดไหน”
“จริงด้วย ข้าก็ลืมคิดข้อนี้ไป”
“มีอะไรจะถามอีกไหม”
“ชื่อของเจ้าคืออันใดกันแน่”
“เกตุมณี แต่เจ้าเรียกข้าว่าเกตุเหมือนเดิมดีแล้ว”
“เอาเป็นว่า ข้าจะเรียกเจ้าว่าเกตมณี” พูดแล้ว เขาก็เอนกายลงนอนทำเป็นไม่สนใจอะไรอีก
“อย่าเพิ่งนอนสิ บอกเรามาก่อนว่ามีใครรู้บ้างว่าเราเป็นผู้หญิง” ถามพร้อมเขย่าตัวเขาอย่างแรง
“ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้หรอก แต่เราจะต้องบอกทุกคนให้รู้ไว้ มิเช่นนั้นคงมีปัญหาตามมา” เขาพูดแค่นั้นก็เงียบเสียงไป ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงกลเบาๆ
พวกโจรพำนักอยู่บนภูเขาขนาดใหญ่ รอบเขามีป่าไม้หนาทึบ แลมีลำห้วยขนาดใหญ่อยู่ใกล้ภูเขา อากาศอึมครึมทั้งปี คนจึงเรียกสถานที่นี้ว่า เขาอึมครึม
ครั้นหัวหน้าโจรถูกกายแก้วสังหารตายแล้ว พวกมันจึงเรียกประชุม แล้วร่วมกันคัดเลือกหัวหน้าโจรคนใหม่ เพื่อจะเป็นผู้นำในการแก้แค้นต่อไป
“อาจารย์อินทร์เหมาะสมที่สุด จงรับตำแหน่งหัวหน้าโจรด้วยเถิด” เสียงเรียกร้องดังระงมทั่วชุมโจร ชายวัยกลางคน ศีรษะล้าน รูปร่างสูงใหญ่ ได้ลุกขึ้นมา ก่อนเปล่งสีหนาทว่า
“ตกลง ข้าจะเป็นหัวหน้าโจร และจะช่วยแก้แค้นแทนหัวหน้าคนเก่า” คำพูดของอาจารย์อินทร์จบลงเท่านั้น เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นอย่างยินดี บางคนลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น บางคนนำเครื่องดนตรีมาดีดสีตีเป่าอย่างสำราญใจ
คนที่พวกมันเรียกว่าอาจารย์อินโบกมือให้เงียบ ก่อนจะกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าจะแก้แค้นวันนี้เลย”
แล้วสั่งให้สมุนขนซากศพของพวกโจรมาวางเอาไว้ นำเทียนสีดำมาจุดสองเล่ม ธูปสามสิบหกดอก วนสายศิลป์รอบปริมณฑล แล้วเริ่มอ่านองค์การเสียงดัง
ท้องฟ้ายามราตรีเริ่มวิปริตแปรปรวน วชิระฟาดกระหน่ำโดยไร้เมฆฝน สายลมกรรโชกรุนแรง หมาป่าโหยหวนดังระงม นกกลางคืนส่งเสียงร้อง ไม่นานนักซากอสุภะก็ลุกขึ้นยืนเหมือนคนปกติ เพียงแต่แข็งทื่อเป็นหินเท่านั้น พวกมันเดินเข้ามาหาผู้ทำพิธีอย่างช้าๆ ก่อนหยุดนิ่งเมื่ออาจารย์อินทร์ออกคำสั่ง
“พวกเจ้า จงไปสังหารคนที่มันปลิดชีพของพวกเจ้า อย่าช้าที” สิ้นเสียงคำสั่ง ซากศพคืนชีพก็ค่อยๆถอยหลัง แล้วเดินหายไปในความมืด
เวลาสองยาม เทพศิลป์นั่งเฝ้ายามอยู่หน้าถ้ำคนเดียว ชายหนุ่มก่อไฟเพื่อกันหนาวและพวกสัตว์ร้าย คันธนูวางอยู่ข้างกายพร้อมกระบอกลูกศร เตรียมพร้อมรับศึก หากมีอะไรเข้ามาเขาก็สามารถใช้ได้ทันที
กองไฟลุกโชติช่วงชัชวาลทำให้เห็นสิ่งรอบกายได้อย่างชัดเจน ร่างของคนหลายคนเดินช้าๆเข้ามาหาชายหนุ่มด้วยอาการแข็งทื่อ
“พวกมันไม่ใช่คน” เขาบอกกับตัวเอง แล้วหยิบคันธนูขึ้นพร้อมลูกศร เตรียมที่จะต่อสู้
ผีดิบตัวแรกเดินเข้ามาก็โดนลูกธนูของเขาทะลุร่างกายไป น่าแปลกมันไม่สะทบสะเทือนแม้แต่น้อย แม้จะโดนซ้ำไปอีกหลายลูกก็ไม่เป็นไร
เทพศิลป์กระวนกระวายยิ่งนัก เพราะพวกมันสังหารไม่ตาย พวกมันตายมาแล้วจะไม่มีทางตายอีก ผีดิบอีกตนวกมาบีบคอเขาไว้ทางด้านหลัง ชายหนุ่มยื่นแขนโอบเอวมัน แล้วออกแรงทุ่มผีดิบตนนั้นลงพื้นเสียงดังสนั่น ผีดิบที่เหลือเดินเข้าหาอีก เขาก็ยกคันธนูฟาดสกัดเอาไว้ ทำให้ผีดิบตนที่ถูกฟาดกระเด็นออกไป
ทั้งหมดรู้สึกตัวขึ้น เพราะเสียงการต่อสู้นอกถ้ำ จึงชวนกันออกไปดูทันที เมื่อทุกคนเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ต้องผวากันทุกคน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาก็คือซากศพเดินได้ ซากไหนที่สมบูรณ์อยู่ก็ยังพอทำเนา แต่มีอยู่บางตนที่เหลือแต่ลำตัว ส่วนศีรษะขาดหายไป
เกตมณีหลับตาด้วยความกลัว มือทั้งสองข้างเกาะแขนของกายแก้วไว้แน่น แต่ไม่นานก็ได้สติขึ้นมา รีบปล่อยมือที่จับแขนชายหนุ่มออก แต่ก็ยังยืนหลบหลังกายแก้วอย่างหวาดผวา
“ผีดิบ!” เสืออุทานออกมาอย่างตกใจ
“พวกเจ้าระวังด้วย มันสังหารไม่ตาย” เทพศิลป์บอก ยิงธนูใส่ผีดิบที่ตรงเข้ามาหา มันเพียงล้มลงเท่านั้น ไม่นานก็ลุกขึ้นมาใหม่
ผีดิบแยกเขี้ยว เดินเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า กายแก้วชักดาบอาคมฟัน มันล้มลงก็จริง แต่พวกที่เหลือก็ยังดาน่าเข้ามาอีก ถ้าหากเป็นผีสางทั่วไปคงต้องแตกดับภายใต้คมดาบของเขาแล้ว แต่นี่มันไม่ใช่ผีสางทั่วไป คงต้องเกิดจากพระเวทมนต์ตราของจอมขมังเวทย์อย่างแน่นอน
สิงห์ใช้ขวานตัดหัวผีดิบที่อยู่ใกล้ตน ปรากฏว่าซากผีดิบนั้นยังเดินได้ ยื่นมือเข้ามาหมายจะจับ เขารีบดีดตัวถอยหลังอย่างอกสั่นขวัญแขวน ผีดิบติดตามมาอย่างไม่ลดละ จึงพุ่งขวานตัดขามันจนขาดทั้งสองข้าง ผีดิบจึงสิ้นฤทธิ์ไป
เสือเข้าไปช่วยเทพศิลป์ต่อสู้ เกตุมณีพยายามหลบอยู่ด้านหลังกายแก้ว แต่ก็มีผีดิบตนหนึ่งเล็ดลอดเข้าถึงตัวนางจนได้ มันยื่นมือเข้ามาจับคอของนางไว้ แล้วบีบอย่างแรง
“ช่วยด้วย!” พยายามร้องขอความช่วยเหลือ แล้วออกแรงดิ้นหมายเอาชีวิตรอด ผีดิบก็เพิ่มแรงบีบเค้นหนักขึ้น เกตุมณีเริ่มหายใจติดขัด เจ็บหน้าอกเหมือนโดนค้อนทุบ ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี
กายแก้วได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของเกดมณี เขากำลังจะหันไปช่วย พวกผีดิบเหมือนจะรู้ทัน รีบเข้ามาสกัดเอาไว้ ชายหนุ่มฟาดฟันดาบอาคมหมายจะไปช่วยเกตุมณีให้ได้ แต่ผีดิบหายอมไม่ ตนไหนถูกฟันก็ล้มไป ส่วนที่เหลือก็หนุนเข้ามาอีกอย่างไม่ขาดสาย จึงตะโกนบอกนางไปว่า
“เกตุมณี ตั้งสติให้มั่น เอากริชที่เราให้แทงไปที่หน้าอกของมัน”
หญิงสาวได้ยินเสียงของอีกฝ่ายได้ชัดเจน รีบยื่นมือข้างซ้ายไปที่หว่างเอว ดึงกริชออกมาถือมั่น นึกถึงคุณพระรัตนตรัย แล้วแทงลงไปกลางหน้าอกของผีดิบสุดแรง
อมนุษย์ตนนั้นคลายมือออกจากเกตุมณี แล้วล้มลงสิ้นฤทธิ์ ปรากฏเป็นไฟอาคมจากกริชแผดเผาล่างของมันจนแตกสลายหายไป ส่วนกริชตกหล่นอยู่ตรงนั้นเอง
ในเพลาเดียวกันนั้น กายแก้วก็สามารถฝ่าวงล้อมของผีดิบออกมาได้พอดี ชายหนุ่มรีบถลันไปประคองหญิงสาวที่กำลังจะล้มลง มืออีกข้างหนึ่งก็ยกดาบฟาดฟันผีดิบที่เข้ามาใกล้
สิงห์รีบเข้ามาช่วยกายแก้ว ส่วนเสือกับเทพศิลป์ถูกล้อมเอาไว้อีกทาง การต่อสู้ดำเนินไปต่อเนื่อง ฝ่ายมนุษย์เริ่มอ่อนกำลังลง ส่วนพวกปีศาจไม่มีท่าทีว่าพวกมันจะอ่อนแรงเลย ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปฝ่ายมนุษย์ต้องตายกันหมดแน่ กายแก้วจึงครุ่นคิดหาวิธีกำจัดพวกมัน
...แม้แต่อาวุธของเรายังแทบจะทำอะไรมันมิได้ ผีดิบพวกนี้มันไม่มีชีวิตจิตใจ ใครหนอที่ปลุกมันขึ้นมาทำร้ายพวกเรา ช่างร้ายกาจนัก ในเมื่อมันใช้อาคมปลุกเสกผีดิบขึ้นมา เราก็จะลองใช้อาคมทำลายล้างผีดิบเช่นกัน...
ปริได้ดังนั้น จึงล้วงมือเข้าไปในย่าม นำเทียนขี้ผึ้งออกมายื่นให้สิงห์ “พี่สิงห์ ไปจุดเทียนมาให้ข้าเร็ว”
ถึงแม้นสิงห์จะมึนงงอยู่บ้าง แต่ก็รีบปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย ครั้นจุดเทียนเสร็จแล้ว จึงยื่นกลับไปให้เจ้าของ ในขณะที่บอกว่า “จะทำอะไรก็รีบๆเถอะ มิเช่นนั้นพวกเราคงตายด้วยนะมือผีดิบแน่”
กายแก้วประคองเกดมณีให้นั่งลง แล้วยกเทียนขึ้นจรดหน้าผาก ภาวนาเตโชกสิณด้วยจิตอันแน่วแน่และเชื่อมั่นในอิทธิฤทธิ์ อมนุษย์เหล่านั้นเหมือนรู้ถึงเจตนาของเขา จึงมุ่งหน้าเข้ามาขัดขวาง สิงห์จึงช่วยสกัดเอาไว้ เทพศิลป์และเสือก็วิ่งเข้ามาช่วยสกัดเอาไว้ให้อีกแรง เกตุมณีอาการเริ่มดีขึ้น นางค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ยื่นมือไปเก็บกริชมาถือไว้ แล้วเข้าไปช่วยสกัดเอาไว้อีกแรง
ครั้นบริกรรมจนแน่ใจว่าใช้ได้แล้ว ชายหนุ่มจึงขว้างเทียนขึ้นไปบนฟ้า ปรากฏเป็นดวงไฟลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วร่วงหล่นลงมาท่ามกลางอมนุษย์ เสียงระเบิดดังขึ้น เปลวไฟสีแสดแตกกระจายใส่ซากศพเหล่านั้น ผีดิบบางส่วนทำท่าจะหนี แต่ไฟอาคมได้ติดตามไป ก่อนเผาพวกมันจนแตกสลายกลายเป็นผงธุลี“จบสิ้นกันสักที ไอ้พวกผีนรก” เสือพูด
“เอ็งทำได้ยังไงวะ กายแก้ว” สิงห์หันมาถาม
“ข้าใช้เตโชกศิลป์ เผาผลาญพวกมัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยกความดีความชอบให้กับเกตุมณี เพราะนางจึงทำให้ข้านึกถึงวิธีนี้ได้”
“เราไม่เข้าใจที่เจ้าว่า ช่วยอธิบายให้ชัดกว่านี้หน่อยเถิด” เกตุมณีทำท่ามึนงง หาเข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูดไม่ หรือเขาเพียงพูดเอาใจนางเท่านั้นก็ไม่ทราบได้
กายแก้วใช้มือข้างซ้ายบีบมือเกตุมณีอย่างแผ่วเบา มืออีกข้างยื่นไปดึงกริชข้างเอวหญิงสาวออกมา แล้วอธิบายว่า “เจ้าใช้กริชเล่มนี้แทงเจ้าผีดิบ แล้วมีไฟอาคมลุกขึ้นเผาผลาญร่างของมันจนแตกสลาย เราจึงลองเสี่ยงใช้เตโชกสิณดู ซึ่งมันก็ได้ผลตามที่ทุกคนเห็นนั่นแหละ”
“เจ้าได้กริชเล่มนี้มายังไง” สิงห์มองอาวุธในมือกายแก้วด้วยความสนใจ เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะมีอานุภาพมากถึงขั้นเผาผลาญผีดิบได้ เพราะกริชเล่มนั้นดูเก่าแก่ ถ้าเอาไปขายก็แทบจะไม่มีใครอยากซื้อด้วยซ้ำ
“เป็นของที่ตกทอดตั้งแต่รุ่นทวด พ่อของข้าเคยใช้กำราบนักเลงที่มีอาคมมามากต่อมากแล้ว ไม่ว่ามันจะหนังเหนียวแค่ไหน หากโดนกริชเล่มนี้แทงเข้าไป รับรอง ว่าจะไม่เหนียวอีกต่อไป”
“ของมีค่าเช่นนี้ ทำไมเจ้าไม่เก็บไว้เอง เอามาให้เราทำไม” เกตุมณีกระซิบถาม
“เพราะเจ้ามีคุณค่ามากกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น” กระซิบตอบข้างหู เกตุมณีอุทัดเขินอาย ยกมือข้างที่ว่างอยู่ปิดหน้าที่แดงเหมือนตำลึงสุกเอาไว้
“ตายห่าตายโหง เกือบกลายเป็นผีก่อนที่จะได้เป็นทหารแล้วไหมล่ะ” สิงห์โวยวายขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เกตุมณีจึงฉวยโอกาสนั้นถามแก้เขินว่า “พวกมันมาได้ยังไง”
”คงมีคนที่มีวิชาอาคมปลุกมันขึ้นมา” เทพศิลป์อธิบาย
“แล้วมันใครล่ะ ที่ปลุกขึ้นมา”เสือหันไปถาม
“ก็คงจะเป็นพวกโจรนั่นแหละ ข้าจำมันได้ดี”
“มันจะจองล้างจองผลาญพวกเราไปถึงไหนวะ” เสือคำรามออกมาอย่างฉุนเฉียว ยกหอกขึ้นสะบัดไปมา
“ก็คงต้องตายกันไปข้างนึงแหละ” กายแก้วตอบเสียงขรึม
“เอาแหละ เข้าไปพักผ่อนเถอะ มันไม่มีอะไรแล้ว” สิงห์ชักชวน ก่อนเดินนำหน้าเข้าไป
ทั้งหมด ยกเว้นเทพศิลป์ เข้าไปพักผ่อนทันที เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กายแก้วนอนอยู่ข้างเกตุมณี ก่อนนอนเขาได้ตรวจดูอาการของหญิงสาวโดยละเอียด พบว่าลำคอมีรอยช้ำเล็กน้อย จึงเอายาสมุนไพรมาทาให้ เพียงไม่กี่วันอาการก็คงหายดีเป็นปกติ
ยามสองผ่านไป สถานการณ์ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ คืนนั้นทุกคนผลัดกันเฝ้ายาม ยกเว้นเกตุมณีที่ทุกคนปล่อยให้นางนอนสบาย, กายแก้วเข้ายามเป็นคนสุดท้าย ชายหนุ่มจึงนั่งสวดมนต์ไปตามกิจวัตรประจำวันที่เคยปฏิบัติมา สวดมนต์เสร็จเขาก็ท่องตำรับพิชัยสงครามต่อ เพื่อทบทวนความจำด้วย
๑. กลฤทธี
“กลศึกอันหนึ่ง ชื่อว่าฤทธีนั้น
ซั้นทะนงองค์อาจ ผกผาดกล่าวเริงแรง
สำแดงแก่ข้าแกล้วหาร ชวนทำการสอนสาตร
อาจเอาบ้านเอาเมือง ชำนาญเนืองณรงค์
ยงใจผู้ใจคน อาษาเจ้าตนทุกค่ำเช้า
จงหมั่นเฝ้าอย่าคลา ภักตราชื่นเทียมจันทร์
ทำโดยธรรม์จงภักดิ์ บันเทิงศักดิจงสูง
จูงพระยศยิ่งหล้า กลศึกนี้ชื่อว่า ฤทธีฯ”
๒. กลสีหจักร
“กลหนึ่งชื่อว่าสีหจักร ให้บริรักษพวกพล
ดูกำลังตนกำลังท่าน คิดคเนการแม่นหมาย
ยกย้ายพลเดียรดาษ พาษไคลคลี่กรรกง
ต้อรพลลงเป็นทิศ, สถิตรช้างม้าอย่าไหว
ตั้งพระพลาไชยจงสรรพ จงตั้งทับโดยสาตร
ฝังนพบาทตรีโกณ ให้ฟังโหรอันแม่น
แกว่นรู้หลักหมีคลาด ให้ผู้องอาจทะลวงฟัน
ให้ศึกผันแพ้พ่าย ย้ายพลใหญ่ให้ไหว
ไสพลศึกให้หนี กลศึกอันนี้ชื่อว่า สีหจักรฯ”
๓. กลลักษณ์ซ่อนเงื่อน
“กลหนึ่งลักษณส้อนเงื่อน เตือนกำหนดกฎหมายตรา
แยกปีกกาอยู่สรรพ นับทหารผู้แกล้ว
แล้วกำหนดจงคง แต่งให้ยงยั่งเย้า
ลากศึกเข้าในกล แต่งคนแต่งช้างม้า
เรียงหน้าหลังโจเจ รบโยเยแล้วหนี
ศึกติดตีตามติด สมความคิดพาดฆ้องไชย
ยกพลในสองข้าง ยกช้างม้ากระทบ
ยอหลังรบสองข้าง จึ่งบ่ายช้างอันหนี
คระวีอาวุทธโห่ร้อง สำทับก้องสำคัญ
ยืนยันรบทั้งสี่ คลี่พลออกโดยสั่ง
สัตรูตั้งพังฉิบหาย อุบายศึกนี้ชื่อว่าลักษณซ่อนเงื่อนฯ
เกตุมณีแอบฟังเขาสาธยายพิชัยสงครามด้วยความเพลิดเพลิน เมื่อตะวันขึ้นนางจึงเดินไปหาเขา ก่อนที่จะบอกว่า
”“กายแก้ว ข้าจะไปอาบน้ำ เจ้าไปเฝ้ายามให้เราหน่อยสิ” เกตุมณีขอร้อง
“ได้” ชายหนุ่มรับสั้นๆ
ทั้งสองเดินไปที่สระน้ำที่เกิดเหตุเมื่อวาน แต่เวลานี้น้ำใสสะอาด ซากจระเข้ก็ไม่มีแล้ว ส่วนจะหายไปในนั้นไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น
“เจ้านั่งรออยู่ตรงนี้แหละ แล้วก็จงหันหลังให้ข้า อย่าแอบมองเด็ดขาด” เกตุมณีบอกให้เขานั่งบนพื้นหญ้าที่อยู่ใกล้ๆกับสะ
พอชายหนุ่มหันหลังให้ หญิงสาวถึงเปลื้องผ้าออก ก่อนโดดลงน้ำเสียงดัง นานพอสมควรถึงได้ยินเสียงหญิงสาวพูด “กายแก้ว ข้าจะขึ้นจากน้ำแล้ว ส่งมือมาให้ข้าหน่อยสิ”
เขาไม่หันไปมอง แต่ยื่นมือกลับหลังไปให้หญิงสาวจับ ทันใดนั้น เกตุมณีออกแรงฉุดกระชากกายแก้วที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจนตกลงไปในน้ำ ยังผลให้เขาเปียกไปทั้งตัว
“อาบน้ำซะบ้าง ข้าเห็นใส่เสื้อตัวนี้มานานแล้ว ไม่เห็นเปลี่ยนเลย” หญิงสาวบอกแล้วรีบขึ้นจากน้ำ แต่ก็ถูกเขาลากลงมาอีก
“จะไปไหนยายตัวแสบ มาอาบน้ำเป็นเพื่อนข้าเดี๋ยวนี้” ยื่นแขนไปโอบกอดเกตมณีเอาไว้ อีกฝ่ายออกแรงสะบัดจนหลุด ก่อนสาดน้ำใส่หน้าเขาอย่างแรง ชายหนุ่มต้องหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ตอนนี้เขารู้สึกแสบตายิ่งนัก ต้องเอามือขยี้ตาตั้งหลายหนจึงรู้สึกดีขึ้น
เกตุมณีฉวยโอกาสนั้นขึ้นไปบนบก แล้วใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว หันมาพูดหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดีว่า “เชิญอาบน้ำให้สบายนะกายแก้ว ถ้าหากเหงาก็เรียกผีพรายมาอาบเป็นเพื่อน เราขอตัวแหละ”
ชายผู้หลงกลได้แต่เก็บความคับแค้นไว้ในใจ รีบอาบน้ำชำระร่างกายจนเสร็จ ก่อนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในถ้ำ ยามนี้เขาเลือกใส่ชุดสีส้มแซมเหลือง โจงกระเบนสีแดง คาดเข็มขัดเงิน แขนข้างซ้ายสวมใส่กำไรแก้ว นิ้วชี้ข้างขวาใส่แหวนนาคบาศสีทอง ครั้นเดินออกมานอกคูหาก็ประจันหน้ากับเกตุมณี
“ว่าไงแม่สาวน้อย เราแต่งตัวแบบนี้ดูดีหรือไม่” ถามด้วยรอยยิ้ม และหยอกเย้าในที
“ก็ดีกว่าเมื่อวานก็แล้วกันน่ะ” ตอบเหมือนไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก แต่ก็รอบชื่นชมอยู่ในใจ
ชายหนุ่มพิจารณาหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า บัดนี้หญิงสาวแต่งตัวเป็นหญิงในชุดสีชมพูกลีบบัว ดูงามยิ่งนัก เขาต้องขมวดคิ้วอย่างเอือมระอาในนิสัยของผู้หญิงที่รักสวยรักงาม แต่สำหรับเขาเห็นว่ามันผิดที่ผิดเวลา ถ้าหากจะแต่งเขาก็ไม่ว่า แต่ต้องให้อยู่ในเมืองเสียก่อน
“เจ้าจะแต่งตัวแบบนี้เดินป่ารึ”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
“คืบก็ป่า ศอกก็ป่า, ไม่เห็นเป็นไรได้ยังไง”
“ก็มีเจ้าคอยปกป้องอยู่ จะต้องกลัวอะไร จริงไหม” หญิงสาวแกล้งถาม
“เออๆ เราไม่เถียงกับเจ้าแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางดีกว่า” ว่าพร้อมเดินจากไป
เกตุมณีมองตามร่างล่ำสันสูงสง่าของเขาไป ชำเรืองค้อนให้นิดนึง แล้วพูดว่า “คงเถียงเราไม่สู้สินะ”
ทั้งหมดออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า ในระหว่างทางก็หาพบพวกโจรป่าไหม้ คงเป็นเพราะพวกมันกำลังเสียขวัญที่ผีดิบถูกทำลายจนหมด แต่ก็ยังวางใจไม่ได้จนกว่าจะพ้นป่าแห่งนี้ไป
ผ่านไปหลายวัน พวกเขาก็พากันมาถึงเมืองสุพรรณบุรี ช่วงนั้นมีงานวัดพอดี ทุกคนจึงหันหน้าเข้าปรึกษากันว่าจะเอายังไงต่อ
“ ข้าอยากเข้าไปเที่ยวเมืองสุพรรณ ได้ยินว่าสาวๆที่นี่งดงามยิ่งนัก” เสือว่า
“เอาสิวะไอ้เกลอ กูก็อยากเที่ยวเหมือนกันว่ะ” สิงห์บอกออกมา
“แล้วแม่หญิงเกดมณีล่ะ จะเอาอย่างไรต่อไป ไปเที่ยวกันไหม” กายแก้วหันไปถาม
“แล้วแต่ท่านสิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญพวกเอ็งตามสบายนะ ข้าขอแยกตัวไปคนเดียว” เทพศิลป์ว่า จากนั้นเขาก็เดินแยกไป
กายแก้วจูงเกตุมณีเข้ามาในงาน ผู้คนมากมายต่างเพ่งมองมาอย่างอิจฉา ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่นี้ดูเหมาะสมกันจริงๆ, บุรุษนั้นเปรียบได้ดั่งสุริยัน ส่วนสตรีก็เหมือนดวงจันทราที่อ่อนละมุน
สายลมเมื่อยามเย็นภัดเส้นผมของเกตุมณีจนปลิวสะบัดไปมา กายแก้วจึงซื้อปิ่นปักผมทองคำประดับอัญมณีเพทายม้ายื่นให้
“ปิ่นเพทายเนี่ยเหมาะสมกับเจ้าที่สุดแล้ว เดี๋ยวข้าช่วยปักให้นะ” พูดแค่นั้น ชายหนุ่มก็บรรจงปักปิ่นลงที่ผมของนางอย่างแผ่วเบา
“ขอบใจนะ” เกตุมณีพูดเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เราไปดูอย่างอื่นกันเถอะ” กายแก้วชักชวน
“ไปสิ” นางรับคำง่ายๆ
เทพศิลป์เดินเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อดูสภาพสังคมของที่นี่ เดินไปไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงขอความช่วยเหลือดังลั่น ชายหนุ่มรีบวิ่งไปทางที่ได้ยินเสียงอย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาก็เห็นพวกชายฉกรรจ์ 3 คน กำลังฉุดกระชากหญิงสาวคนหนึ่งอยู่
“ปล่อยนางเดี๋ยวนี้” เขาพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ปล่อยไม่ได้โว้ย แม่ของอีนี่มันติดหนี้เจ้านายกู ในเมื่อมันไม่มีจ่ายกูก็ต้องเอาลูกของมันมาเป็นทาสตามที่ได้ตกลงกับเจ้านายกูเอาไว้”
ชายหนุ่มรู้สึกสังเวชหญิงสาวคนนี้ยิ่งนัก เขาจึงหันไปถามพวกมันต่อไปว่า “แม่ของผู้หญิงคนนี้ติดหนี้เจ้านายเอ็งเท่าไหร่กันเล่า หากไม่มากจนเกินไป ข้าก็ขอซื้อต่อเถอด”
“ห้าช่าง” ชายคนเดิมตอบ
“ได้จ้ะ ฉันจะขอซื้อผู้หญิงคนนี้ แต่ในเมื่อข้าซื้อแล้วพวกเอ็งไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับนางอีกนะ” เทพศิลป์ต่อรองกับพวกมัน
“แน่นอนโว้ย คนอย่างพวกกูรักษาสัจจะเสมอ ในเมื่อมึงซื้อแล้วอีนางนี่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกกูอีก”
เมื่อชายคนเดิมตอบเช่นนั้นเทพศิลป์ก็ยื่นเงินให้ตามจำนวน หลังจากนั้นพวกมันก็ได้ปล่อยตัวหญิงสาว, ไม่นานพวกมันก็เดินจากไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 27
แสดงความคิดเห็น