บทที่ 2 โจรป่า
"ข้าไม่มีน้ำเลย" กายแก้วบอก
"ของข้าก็หมดไปนานแล้ว" เสือและสิงห์บอกพร้อมกัน
"แล้วเราจะทำยังไงดี เกตุก็กระหายน้ำจนเป็นลมไปแล้ว" กายแก้วถามความคิดเห็นจากทั้งสอง
"ข้าจะไปหาน้ำมาให้ พวกเจ้ารอที่นี่แล้วกัน" เสือพูด
"งั้นข้าจะไปหาอาหาร" สิงห์อาสาอีกคน
"กายแก้ว ดูแลเกตุอยู่ตรงนี้แหละ" เสือว่าแล้วเดินไปทันที
"เดี๋ยวข้ามานะ" สิงห์เดินไปอีกคน
กายแก้วพยุงร่างเกตุไปนอนหนุนรากไม้ใหญ่ ส่วนตัวของเขาก็มานั่งสมาธิอยู่ใกล้ๆ
ไม่นานนักทั้งสองก็มาพร้อมน้ำและอาหาร ในมือของสิงห์คือไก่ป่าตัวใหญ่ถึงสองตัวที่ถอนขนเรียบร้อย
เสือยื่นกระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำมาให้กายแก้ว "เจ้าเป็นคนพามันมา ก็ดูแลมันเองแล้วกัน"
ชายหนุ่มรับกระบอกน้ำ แล้วเทใส่ผ้าคลุมไหล่หมาดๆ เขาเช็ดหน้าเช็ดตาให้เกตุ จนในที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้สติขึ้นมา
"เราหิวน้ำ ขอน้ำให้เราเถอะ" เสียงแหบโหยร้องขอ
กายแก้วยื่นกระบอกไม้ไผ่ไปให้ แล้วพูดบอกด้วยความการุณ "ค่อยๆดื่มนะ เดี๋ยวสำลัก"
เกตุรับน้ำมาดื่มอย่างกระหาย พอเกตุดีขึ้นแล้วทั้งหมดจึงกินอาหารมื้อเที่ยงกันโดยฝีมือของสิงห์ที่ย่างไก่
"เป็นไงฝีมือข้าใช้ได้ไหม กายแก้ว" สิงห์หันมาถาม
"อร่อยมากพี่สิงห์"
แล้วเกตุล่ะ ว่าไงอร่อยไหม" สิงห์หันมาถามเด็กหนุ่มบ้าง
"อร่อยสิ ข้ายังไม่เคยกินไก่ย่างที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย"
"ทุกคน ข้าได้ยินเสียงเท้าคนจำนวนมาก กำลังมุ่งหน้ามาหาเรา" กายแก้วพูด
ฝีเท้าที่ไหน ข้าไม่ได้ยินเลย" เสือถาม
"พวกพี่ชายคงไม่ได้ยินหรอก เพราะไม่ได้เรียนวิชาหูทิพย์"
"นี่เอ็งมีหูทิพย์อย่างนั้นหรือ" สิงห์ถาม
"พวกพี่ชายอย่าเพิ่งสนใจอะไรกับวิชาของข้าเลย เตรียมตัวไว้เถอะ มันคงไม่มาดีแน่" กายแก้วนำดาบออกมาจากหอผ้า เผยให้เห็นด้ามทำจากงาประดับแก้วมณี ฝักดาบทำจากเงิน เมื่อชักดาบออกจึงเห็นใบสีเขียวปีกแมลงทับ เขายืนขึ้นถือดาบไว้ในมือ ร้องสำทับบอกทุกคนว่า
"พี่ชายเตรียมอาวุธเถอะ มันใกล้เข้ามาแล้ว"
ทั้งสองจำต้องเอาอาวุธคู่กายออกมาเพราะวาจาจริงจังของชายหนุ่ม เสือเอาหอกสั้นมาถือเป็นอาวุธ ส่วนสิงห์มีขวานใหญ่ลงอาคมเป็นอาวุธคู่มือ ทั้งหมดยืนหันหลังให้ต้นไม้เรียงแถวหน้ากระดานพร้อมจะต่อสู้
"ให้ข้าสู้ด้วยสิ" เสียงหวานดังขึ้น
"เจ้าอย่าห่างเราเด็ดขาด" กายแก้วกำชับพร้อมยื่นกริชให้ถือเป็นอาวุธ
ไม่นานเกินรอก็ปรากฏชายฉกรรจ์เดินออกมาหลายคน พวกมันทุกคนมีอาวุธในมือท่าทางโหดเห*้ยม
"พวกมันคือโจรป่า" เกตุบอกทุกคน
"เจ้ารู้จักมันหรือ" กายแก้วถาม
"ข้าจำพวกมันได้ดี" เสียงตอบหนักแน่น
"เจ้าจำมันได้ยังไง"
"นั่นไงนายของมัน" เด็กหนุ่มชี้ไปยังชายคนหนึ่งที่แขนขวาด้วนถึงข้อสอก
"ตรงนั้นแหละที่ข้าจำมันได้"
"ข้าเข้าใจแล้ว"
"พวกเจ้าต้องการอะไร" เสือร้องถาม
"พวกเจ้าบุกรุกอาณาเขตของเรา พวกเจ้าอย่าหวังเลยว่าจะรอดไปได้ เสียงหัวหน้าโจรแขนด้วนตอบกลับมา
"พวกข้าหารู้ไม่ว่าเป็นอาณาเขตของใคร พวกข้าขอสมาต่อท่าน" ทุกคนปล่อยให้เสือเจรจากับพวกโจร เพราะเขาดูอาวุโสที่สุด
"หาได้ไม่ ฆ่ามันให้สิ้นอย่าช้าที" ประโยคหลังชายแขนด้วนหันมาสั่งสมุนให้ลงมือสังหารผู้บุกรุก
"ในเมื่อพวกกูเจรจามิได้ ก็ต้องได้เห็นฝีมือกันแหละ" เสือว่า
"พวกเราฝ่าออกไปให้ได้" กายแก้วบอก ก่อนยกดาบฟาดฟันโจรที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้า สมุนโจรเคราะห์ร้ายถูกฟันตัวขาดเป็นสองท่อนด้วยคมของศาสตรา คนแล้วคนเล่าที่ต้องตกตายไปด้วยน้ำมือเขา ดาบฟันไปทางซ้ายก็แหลก ฟาดไปทางขวาก็แยก พวกโจรจึงพยายามเลี่ยงที่จะปะทะกับเขา
เกตุไม่ชำนาญการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย จึงได้แต่ตามหลังกายแก้วไปติดๆ แต่เมื่อเห็นโจรร้ายที่เข้าไปปล้นบ้านของตนจึงทำให้ลืมตัว เด็กหนุ่มกระโดดเข้าหาขุนโจรอย่างรวดเร็ว กริชในมือของเกตุแทงใส่ขุนโจรด้วยความอาฆาตแค้น
"ตายซะเถอะ ไอ้โจรชั่ว"
"เอ็งทำอะไรข้าไม่ได้หรอก" ขุนโจรพูดพร้อมใช้เท้าถีบเด็กหนุ่มออกห่าง เมื่อเด็กหนุ่มออกห่างได้ระยะแล้วมันก็หวดง้าวเข้าประหาร
กายแก้วเห็นเด็กหนุ่มกำลังตกอยู่ในอันตรายจึงรีบตีลังกาเข้ามาช่วย เขายกดาบขึ้นปัดป้องอาวุธของศัตรู แล้วรีบเข้าประชิดตัว จากนั้นก็ยกดาบฟาดฟันศีรษะของขุนโจรขาดกระเด็นไปไกล
"เราบอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าห่างเรา" เขาพูดห้วนๆ
"เราขอโทษ ความแค้นมันบังตาจึงทำให้เราขาดสติ" เด็กหนุ่มตอบอ่อยๆ
"งั้นก็แล้วไป" เขาพูดสั้นๆ
เสือและสิงห์ใช้อาวุธฟาดฟันพวกโจรล้มตายเกลื่อนกลาด เวลาผ่านไปพอสมควรทั้งสองเริ่มอ่อนแรง พวกโจรก็มีมากเหลือเกิน จนพวกเขาเกือบเที่ยงพั๊ม
"เอามันพี่ชาย ข้ามาช่วยแล้ว "เสียงกายแก้วดังขึ้นทางเบื้องหลัง เพียงไม่นานเขาก็จูงมือเกตุมาต่อสู้เคียงข้างกับทั้งสอง ชายหนุ่มเอ่ยปากพูดสืบไปด้วยความกล้าหาญ ในขณะที่ดาบก็ฟาดฟันพวกโจร
"เราจะสู้ตายด้วยกัน ให้มันแห่มาเถอะ ดาบของไอ้กายแก้วจะไม่ละเว้นมันแม้แต่คนเดียว"
"ดี งั้นพวกเราฆ่ามันเถอะ ตายเป็นตาย" เสือประกาศ
พวกโจรล้อมรอบทั้งสี่ไว้ทุกทิศทุกทาง, ขณะนี้ทั้งสี่เหมือนราชสีห์ที่ตกอยู่กลางฝูงของหมาป่า, แม้จะเก่งเพียงใดแต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ
ขณะที่ทุกคนกำลังจะพ่ายแพ้,,, , ทันใดนั้นก็มีลูกธนูวิ่งเข้าปักร่างพวกโจรอย่างแม่นยำ ไม่นานนักก็ปรากฏร่างชายคนที่ยิงธนูแก่สายตาของทุกคน
ชายผู้นั้นองอาจสง่างามอยู่ในชุดสีดำ มือขวาถือคันธนูพร้อมจะยิง ในขณะที่กลางหลังสะพายกระบอกลูกศร เขายิงธนูเปิดทางเพื่อให้ทุกคนฝ่าวงล้อมออกมาให้ได้ ชายผู้นี้ยิงธนูได้แม่นยำมาก พวกโจรที่โดนก็หามีผู้ใดรอดชีวิตไปได้ไม่
"ไอ้เทพศิลป์ เอ็งมาได้เยี่ยงไร" กายแก้วร้องถาม เมื่อเห็นหน้าชายผู้นั้น
"เดี๋ยวค่อยคุยกัน เอ็งฝ่าวงล้อมออกมาให้ได้ก่อนเถอะ" พูดแค่นั้นก็ยิงธนูใส่พวกโจรอีก
ทั้งหมดใช้อาวุธฟาดฟันออกไปจนสำเร็จ แล้วมุ่งหน้าไปหาเทพศิลป์ ที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่คนเดียว
เทพศิลป์ยังคงยิงธนูใส่พวกโจรอย่างมันมือ จนทุกคนมาถึงตนจึงหยุด
"รีบหนีตามข้ามา" เทพศิลป์บอกทุกคน ทั้งหมดรีบวิ่ง โดยมีเทพศิลก์นำทาง จนมาไกลลิบ
"พวกโจรคงไม่ตามพวกเราแล้วแหละ" กายแก้วหยุดแล้วพูดกับทุกคน
"ข้าก็คิดอย่างนั้น" เสือเห็นด้วย
"งั้นเราพักแถวนี้แหละ วันนี้ก็เหนื่อยเต็มทีแล้ว"สิงห์ว่า
"เอ็งมาได้ยังไง" กายแก้วหันไปถามเทพศิลป์
"พอดีข้าบังเอิญผ่านมาน่ะ", ,, ,, , ตอบสั้นๆ
"แล้วเอ็งจะไปที่ไหน"
"ไปอยุธยา"
"เอ็งจะไปเป็นทหารใช่ไหม"
"ใช่"
"งั้น เอ็งก็จงเดินทางไปพร้อมกับพวกข้าเถอะ"
"ตกลง ข้าจะไปพร้อมกับพวกเอ็ง"
"เราหาที่พักก่อนดีกว่า เพราะเหนื่อยกันมามากแล้ว" สิงห์บอก
"ข้าก็เห็นด้วย" เสือเห็นด้วย เพราะตอนนี้เขาก็อ่อนแรง ถ้าจะให้เดินทางก็คงไม่ไหวแน่
"งั้นก็จงเข้าไปพักในถ้ำนั่น" เทพศิลป์เอ่ยชวนแล้วชี้มือไปทางขวามือของทุกคน
กายแก้วพยักหน้า "เอ็งชำนาญทาง เอ็งก็นำไปสิวะ"
"งั้น พวกเราไปกันเถอะ" เทพศิลป์นำทางอย่างชำนิชำนาญ เหมือนเคยไปอาศัยมาก่อน
"กายแก้ว เจ้าดูแลไอ้หนุ่มคนนี้แล้วกัน" เสือบอกแล้วเดินตามเทพศิลป์ไปทันที
"ไป" กายแก้วยื่นมือไปจับแขนของเกตุหมายจะจูงไป แต่ก็ต้องถูกสะบัดออก
"ปล่อย ข้าเดินเองได้"
เจ้ากายแก้วแปลกจิตคิดสงสัย
มองตามไปด้วยจิตคิดผวา
เนื้อมันนุ่มหน้าตาช่างโสภา
รูปกายาละม้ายคล้ายสตรี
ยิ่งใกล้ชิดจิตใจให้หลงรัก
ก็ตระหนักว่าตนคิดบัดสี
หากคนรู้คงอายแสนทวี
ขอเทพไท้ปราณีช่วยชี้ทาง
ถ้ำมีขนาดใหญ่พอที่คนหลายคนจะอยู่ร่วมกันได้ บริเวณถ้ำมีสระน้ำอยู่ใกล้ๆ ป่าไม้ล้อมรอบทำให้ร่มรื่นเย็นสบาย
เกตุเดินไปยังสระน้ำอย่างยินดี อาบน้ำดีกว่า รู้สึกเหนียวตัวเต็มทีแล้ว
เด็กหนุ่มกระโดดลงน้ำทันที เขาขัดสีฉวีวรรณด้วยความสบายใจ หลายวันแล้วที่เขามีแต่ความทุกข์เพราะพ่อถูกโจรฆ่าตาย ในเมื่อหัวหน้าโจรตายไปแล้วก็ขอให้เลิกแล้วต่อกัน อย่าให้มีเวรมีกรรมต่อกันอีก
ทันใดงั้น น้ำก็แตกกระจายพร้อมกับจระเข้ตัวสีดำโผล่ขึ้นมา ทำให้เด็กหนุ่มตกใจจนแทบจะสิ้นสติ
"ช่วยด้วย!" เขาร้องสุดเสียง
กายแก้วเดินผ่านมาเห็นภาพนั้นเข้าพอดี ชายหนุ่มตกตะลึงจนแทบทำอะไรไม่ถูก ที่เขาตกตะลึงหาใช่จระเข้ไม่ แต่เป็น เขาต้องหยุดความคิดไว้แค่นั้นเพราะต้องช่วยเกตุก่อน
"มุดน้ำเร็ว!" เขาบอกสุดเสียง กระโดดลงน้ำพร้อมดาบในมือ
เกตุดำน้ำลงไปตามที่เขาบอก จากนั้นจึงพุ่งตัวออกห่างจากสัตว์ร้าย หาทางหนีขึ้นบนบกได้สำเร็จ
กายแก้วแหวกว่ายเข้าไปหาจระเข้อย่างไม่เกรงกลัว ดาบในมือฟาดฟันหมายสังหาร
จระเข้หลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว แล้วแว้งกัดทันที ชายหนุ่มดำลงไปในน้ำเพื่อหลบคมเขี้ยว แล้วแทงจระเข้ที่ท้อง ดาบเล่มนั้นสร้างบาดแผลให้สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำจนสาหัส มันดิ้นอย่างแรงทำให้น้ำบริเวณนั้นแตกกระจาย น้ำที่ใสสะอาดบัดนี้กลายเป็นสีแดงไปชั่วขณะ
ชายหนุ่มโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำห่างจากจระเข้พอสมควร เขาตั้งจิตให้เป็นสมาธิ ขว้างดาบออกไปสุดกำลัง
ฉับ ถูกบริเวณกลางลำตัว จระเข้ตัวนั้นก็ถึงแก่ความตาย เลือดสีแดงไหลผสมกับน้ำส่งกลิ่นคาวไปทั่วบริเวณนั้นอย่างน่าสะอิดสะเอียน
กายแก้วขึ้นจากสระ มองหาเกตุที่ขึ้นมาก่อนด้วยความกระวนกระวาย เขารู้ว่าเกตุขึ้นมาจากน้ำแล้ว แต่ที่เขากระวนกระวายก็เพราะว่าได้รู้อะไรบางอย่างเข้า
"ขอบใจที่ช่วย" คนที่เขาตามหาพูด
หลังจากเกตุขึ้นจากน้ำแล้ว ก็รีบไปใส่เสื้อผ้าจนเรียบร้อย พอเห็นจระเข้ตัวนั้นตายและชายหนุ่มปลอดภัยเขาก็ดีใจยิ่งนัก
"เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม" เกตุพูดขึ้น มองสำรวจร่างเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผลภายนอกก็คลายใจ
"ข้าหาเป็นไรไม่ แต่เจ้าเป็น" เขาชะงักประโยคหลังไว้ทันท่วงที มิเช่นนั้นคงเผลอพูดออกไปจนหมดว่ารู้เห็นอะไรมา
"ข้าเป็นอะไร" เกตุมองหน้าเขาอย่างค้นหา หรือว่าเขาจะรู้ว่าเราเป็น3 มหัพภาค
"เปล่า คือว่าข้าหมดแรงจากการสู้กับจระเข้น่ะ ก็เลยเลอะเลือนไปหน่อย" พูดจบก็เสแสร้งล้มลงกับพื้น
"กายแก้ว!" เกตุเรียก พร้อมกับมาพยุงร่างชายหนุ่มให้ลุกขึ้น ทั้งแววตาและน้ำเสียงบ่งบอกว่าเป็นห่วงเขาอย่างเห็นได้ชัด
"เราคงหมดแรงแล้ว พยุงเรากลับถ้ำหน่อยสิ"
เกตุพยุงเขา แล้วพากลับถ้ำไปอย่างลำบาก ถ้าเกตุรู้ว่าคนที่ถูกพยุงไม่ได้เป็นอะไรเลยคงโกรธน่าดู
พอถึงถ้ำ เกตุวางร่างกายแก้วลงตรงที่เตรียมไว้ให้นอน แล้วเดินไปหยิบน้ำผึ้งมาส่งให้
"กินซะ จะได้มีกำลัง" บอกพร้อมกับนั่งลงข้างๆ
ชายหนุ่มรับกระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำผึ้งมาชิมเล็กน้อย "ถ้าอยากให้เรามีกำลังเพิ่มขึ้นแล้วก็ ไปเอากล้วยน้ำว้ามาด้วยสิ"
"เอามาทำไม" ถามอย่างไม่เข้าใจ
"มันเกี่ยวอะไรกับกล้วยน้ำว้า ไม่เห็นเข้าใจเลย น้ำผึ้งก็บำรุงกำลังอยู่แล้ว แล้วกล้วยเกี่ยวอะไรด้วย"
"อาจารย์เคยสอนว่า กล้วยน้ำว้ากับน้ำผึ้งป่าช่วยบำรุงกำลังดีนัก หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็ไม่สมบูรณ์น่ะสิ" เขาสาธยายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"ข้าเข้าใจแล้ว งั้นเดี๋ยวข้าไปหามาให้" พูดพร้อมจะลุกออกไปจากถ้ำ
"ไม่ต้อง" แขนข้างขวาของชายหนุ่มกดไหล่เกตุไม่ให้ลุกไป
"มันอันตราย เราไม่ได้เป็นอะไรหรอก เราดีขึ้นมากแล้ว" ชายหนุ่มบอก
"งั้นก็ค่อยโล่งอกหน่อย แต่ข้าสงสัยอยู่อย่างนึง เจ้าจะบอกข้าให้กระจ่างใจได้หรือไม่" เกตุเอ่ยขึ้นเบาๆ
"ว่ามาสิ แต่เจ้าต้องตอบคำถามเราด้วยนะ"
"ได้ ตกลง"
"จะถามอะไรก็ถามมาสิ" กายแก้วเร่งเพราะไม่ทันใจ
"ทำไมเจ้าจึงบอกให้ข้าดำน้ำ ตอนที่เจอกับจระเข้"
"อ้อ, แค่นี้เองรึ"
"ก็แค่นี้แหละ"
"งั้นฟังให้ดีนะ", ,, ชายหนุ่มเริ่มอธิบาย
"จระเข้เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ฉะนั้นตอนที่มันลงไปอยู่ใต้น้ำมันจะอ้าปากกัดคนไม่ได้ เพราะมันกักเก็บลมหายใจเอาไว้ ถ้ามันอ้าปากมันก็จมน้ำตายได้เหมือนกัน"
"จระเข้จมน้ำตายได้ด้วยหรือ" ถามอย่างสงสัย
"ได้สิ เพราะมันเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ฉะนั้นถ้ามันไม่ได้ขึ้นมาหายใจบนบกมันก็ตาย"
"มีอะไรบ้างที่ไม่ได้ขึ้นมาหายใจบนบกแล้วต้องตาย เราหมายถึงสัตว์น้ำน่ะ"
"เท่าที่เราฟังอาจารย์เล่าก็จะมี เต่าทะเล ปลาฉลาม ปลาโลมา ประมาณนี้แหละ"
"ทะเลเป็นยังไง ข้าไม่เคยเห็น" เกตุสงสัย เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นทะเลแม้แต่ครั้งเดียว ตั้งแต่เด็กเขาเคยได้ยินแต่คำบอกเล่าของพวกพ่อค้าวานิชที่ล่องเรือไปขายของ แต่ไม่เคยเจอกับตัวสักครั้ง"ทะเลมีน้ำสีฟ้า รสชาติเค็มมาก แล้วก็ยังมีหาดทรายด้วยนะ" ชายหนุ่มยังสาธยายเพิ่มเติมอีกว่า
"มีกุ้งหอยปูปลาที่รสชาติอร่อยมากมาย ข้าเล่าให้เจ้าฟังไม่หมดหรอก"
"แล้วเจ้าเคยไปทะเลตอนไหน
"ตอนที่ข้าร่ำลาอาจารย์ออกท่องเที่ยวไปในโลกกว้างเพื่อหาประสบการณ์ ข้าจึงฉวยโอกาสนั้นเดินทางไปเที่ยวทะเลเสียเลย"
"แล้วเจ้าเอาอัดที่ไหนใช้"
"ข้าก็ท้าประลองเพลงดาบกับยอดฝีมือทั้งหลาย พอข้าชนะ ข้าก็ได้ของมีค่าเพื่อไปแลกกับอัดมาใช้"
“แล้วเจ้าเคยแพ้ไหม” ถามแบบตรงๆ
“ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว” ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าไม่เชื่อหรอก ถึงเจ้าจะเก่งแค่ไหนแต่มันก็ต้องมีคนเก่งกว่าเจ้า เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า เหนือเจ้าก็ยังมีคนอื่น”
“เราไม่เคยแพ้จริงๆนะ เพราะดาบที่อาจารย์ให้ทำมาจากเหล็กชั้นดี แถมยังลงอาคมไว้อีกต่างหาก”
น สำนักของอาจารญ์ฤทธี เมื่อ 4 ปีที่แล้ว อาจารย์ได้เรียกลูกศิษย์เข้ามาหา จากนั้นท่านก็เริ่มพูดว่า
“ในเมื่อพวกเจ้าเรียนวิชากับข้าจนจบทุกอย่างแล้ว พวกเจ้าก็จงเดินทางกลับบ้านเถอะ” ยื่นดาบที่วางอยู่บนพานให้กายแก้ว แล้วกล่าวสืบไปว่า
"อาจารย์ขอมอบดาบคีรีรัตนะให้แก่เจ้า จงรับไปเถิด"
ชายหนุ่มยื่นมือไปรับ กราบลงด้วยความซาบซึ้งใจ ตั้งแต่เด็กอาจารย์เอ็นดูเขาเสมอ ถึงเขาทำผิดอาจารย์ก็คอยสั่งสอนด้วยความปราณี ไม่เคยเลยสักครั้งที่อาจารย์จะใช้คำพูดที่รุนแรงกับเขา
"ส่วนเจ้าแสงสุรีย์ จงเอาดาบแสงอัคคีไป" ชายหนุ่มกราบลงแทบเท้า ก่อนยื่นมือไปรับดาบอย่างตื่นเต้น
"เป็นพระคุณยิ่งแล้วขอรับ" ทั้งสองพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“พวกเจ้าจำไว้ ดาบที่ข้าให้สามารถตัดเหล็กเหมือนตัดต้นกล้วย สังหารคนก็ง่ายเหมือนมดปลวก พวกผีสางนางไม้ถ้าเจอดาบเล่มนี้ไม่มีทางต่อกรได้อย่างแน่นอน”
อาจารบอกสรรพคุณของดาบให้ลูกศิษย์ฟังอย่างละเอียด หลังจากนั้นทั้งหมดก็ได้แยกย้ายกันไป แสงสุรีย์เดินทางกลับอยุธยา กายแก้วเดินทางท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง, , ,, ส่วนอาจารย์ยังคงอยู่ในสำนัก
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 44
แสดงความคิดเห็น