ค่าของชีวิต
เรื่องสั้น : ค่าของชีวิต
โดย .......ลิอ่อง
“อำนวย...อำนวย”
เสียงเรียกของผู้หญิงที่ดังมาจากช่องหน้าต่างสำนักงาน ทำให้ผู้ชายสวมแว่นตาดำที่กำลังยืนถือสายยางรดน้ำต้นไม้อยู่หันขวับไปทางต้นเสียงทันทีพร้อมกับขานรับ
“ครับหัวหน้า”
“เชิญที่มุมรับแขกนะคะ เจ้าหน้าที่มาแล้ว”
เขายังยืนผินหน้าไปทางต้นเสียงนั้นชั่วครู่ แล้วก็พยักหน้ารับพร้อมกับวางสายยางไว้บนกอเตยก่อนจะก้าวเท้าเดินมาบนแผ่นหินใหญ่ที่เรียงต่อกันไว้เป็นจังหวะก้าวเพื่อทอดไปสู่หัวก๊อกท่อน้ำประปา ปิดก๊อกแล้วก็เดินไปตามทางที่ทอดสู่อาคารสำนักงานแพทย์แผนไทยซึ่งตนเองเข้ามาทำงานในตำแหน่งหมอนวดแผนไทยตั้งแต่ต้นปีก่อน นับถึงวันนี้รวมเป็นเวลาปีเศษ
เมื่อเขาพาตัวเองขึ้นไปถึงสำนักงาน ดวงพร หัวหน้างานของเขาก็แนะนำตัวให้ทันที
“นี่คุณอำนวย แม้นเมือง หมอนวดแผนไทย คนพิการทางสายตาของเราค่ะ” แล้วเธอก็หันมาทางอำนวยและพูดต่อ “อำนวย ที่ยืนตรงหน้าคุณนี่คือคุณวิไล เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิพัฒนาอาชีพคนพิการที่นัดมาสัมภาษณ์คุณไงล่ะ”
อำนวยยกมือกระพุ่มไหว้พร้อมก้มศีรษะลงและทักทาย “สวัสดีครับ คุณวิไล”
ดวงพรนำคนทั้งคู่ไปนั่งตรงมุมรับแขกซึ่งอยู่ชิดหน้าต่างด้านหลังอาคาร เธอลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ครู่หนึ่งจึงขอตัวออกมา
ในวัยสี่สิบสาม อำนวยเป็นพ่อม่ายที่ใช้ชีวิตเพียงลำพังทั้งที่เขามีลูกชายสองคนกับเมียที่ตายจากไปด้วยโรคร้ายในวัยเพียงสามสิบเมื่อแปดปีก่อน เพราะย่าและยายของเด็กได้ช่วยกันอุปการะไว้ฝ่ายละคน หลังจากที่อำนวยได้คิดสั้นผูกคอกับขื่อบ้านหมายจะตายตามเมียไปอีกคน แต่กลายเป็นว่าเพื่อนสนิทของเขาไปพบเข้าขณะที่ยังมีสัญญาณชีพจร จึงช่วยพาส่งโรงพยาบาล ซึ่งพอฟื้นขึ้นมา อำนวยก็แลไม่เห็นสิ่งใดอีก เพราะประสาทตาของเขาถูกทำลายเนื่องมาจากการขาดออกซิเจนของสมองตอนที่ลำคอของเขาถูกเชือกรัดแน่นแล้ว
อำนวยพยายามปรับตัวกับสถานภาพของชายตาบอดมาหนึ่งปีเต็ม แล้วก็ไปเรียนวิชาการนวดตามคำแนะนำของญาติอีกหนึ่งปี จากนั้นก็เป็นหมอนวดอยู่ที่บ้านอีกสี่ปีเศษ ก่อนจะสมัครเข้ามาทำงานที่แผนกแพทย์แผนไทยของโรงพยาบาลอำเภอที่เป็นบ้านเกิดของตัวเองด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนพิการยุคใหม่
“คนจ่ายเงินเดือนคุณน่ะคือบริษัท แต่บริษัททำข้อตกลงกับโรงพยาบาล ให้คุณมาทำงานที่โรงพยาบาลของเราค่ะ” ดวงพรชี้แจงเขาในวันที่เข้ามาสมัครตามคำแนะนำของบุคลากรโรงพยาบาลที่เข้าไปทำงานกับชุมชนกระทั่งรับรู้เรื่องราวตลอดจนปัญหาต่างๆ ของคนในชุมชนนั้น
ดวงพรทราบดีว่า เงินเดือนเก้าพันกว่าบาทไม่เป็นที่จูงใจหมอนวดคนตาบอดทั่วไป เพราะการเปิดธุรกิจนวดที่บ้านทำกำไรได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับอำนวยซึ่งก่อนหน้านั้นเขาก็เคยติดป้าย “บริการนวดแผนไทย” ที่หน้าบ้านของตัวเองมาแล้ว กลับคิดต่าง
“ขอโทษนะคะ แล้วตอนนี้คุณมีครอบครัวใหม่หรือยังคะ?” เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯลดเสียงลงเมื่อถามข้อนี้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ดวงพรเดินออกไปที่ด้านหน้าสำนักงาน เธอได้ยินคำตอบจากเขาในระดับเสียงและน้ำเสียงที่เป็นปกติ
“ยังครับ”
ดวงพรนึกถึงภาพที่เธอและเพื่อนพยาบาลขับรถไปหาเขาที่บ้านเมื่อหลายเดือนก่อน บ้านปูนชั้นเดียวทาสีฟ้า มีห้องหับและพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วน บ่งบอกถึงฐานะของเขาว่าไม่ลำบากนัก ถึงกระนั้น ก็ยังคงมีบางสิ่งที่เธอและเพื่อนพยาบาลรู้สึกไม่สบายใจและพะวงอยุ่ลึกๆ จนต้องเข้าไปพูดคุยกับเขา และช่วยกันเก็บข้าวของเครื่องใช้บางอย่างให้พ้นจากมือของเขาในเวลานั้น ทั้งเชือก แถบพลาสติก สายไฟที่ไม่ใช้ หรือพวกสารเคมีอันตราย
ด้วยเหตุที่เป็นช่วงเวลาซึ่งอำนวยเฝ้าแต่หวนคิดถึงวิธีการเดิมที่เขาเคยทำเมื่อมีอาการซึมเศร้า หดหู่ ไร้แรงใจจะลงมือทำการงานใดๆ ดังที่เขาสูญเสียคู่ชีวิตคนแรกไปนั่นเอง แต่ครั้งนี้คือผู้หญิงคนที่สองในชีวิตของเขาที่อำนวยยอมรับกับดวงพรว่า
“ผมรักเขามากครับหัวหน้า ผมให้เขาได้ทุกอย่าง เงินทองผมก็ไว้ใจ ให้เขาถือทั้งหมดเลย”
หล่อนเป็นสาววัยยี่สิบปีที่มีความพิการทางสายตารุนแรงน้อยกว่าอำนวย ยังสมบูรณ์แข็งแรง และรักสวยรักงาม ทั้งสองพบกันในหลักสูตรอบรมวิชาชีพการนวดสำหรับคนตาพิการที่สถาบันแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ก่อนจะสานสัมพันธ์สู่ความลึกซึ้งซึ่งกันในเวลาต่อมา
ทว่า วัยที่ห่างกันถึงยี่สิบสามปีทำให้เส้นทางรักครั้งใหม่ของอำนวยไม่ราบรื่น แม้จะได้ใช้ชีวิตร่วมบ้านฉันผัวเมียมาระยะหนึ่ง แต่ในขณะที่เขามาปฏิบัติงานในโรงพยาบาล และเมียสาวรับจ้างนวดอยู่ที่บ้านหรือออกไปทำกิจกรรมกับเพื่อนคนพิการด้วยกันในบางครั้ง วันหนึ่งก็มีถ้อยคำที่แสนจะทิ่มแทงใจแว่วมาเข้าหูเขาจนได้
“นี่..เขาว่าที่ไปอบรมต่างจังหวัดรอบนี้ มีคนเห็นเมียแกนอนในโรงแรมห้องเดียวกับไอ้หนุ่มต่างอำเภอเลยนะนวย ไม่ใช่มันจีบกันมาก่อนแล้วเรอะ”
ความหึงหวงรุนแรงเข้ากลุ้มรุมใจทำอำนวยเลือดขึ้นหน้า ยิ่งฝ่ายหญิงปฏิเสธ ทั้งคู่จึงมีปากเสียงถึงขนาดที่เขาลงมือทุบตีหล่อนจนมีร่องรอยตามเนื้อตัว กระทั่งหล่อนหนีกลับไปบ้านเกิดที่จังหวัดริมโขงนานนับเดือน
เวลานั้น เมื่อดวงพรได้สอบถามพูดคุยหลังจากเห็นอาการผิดปกติของเขา จึงทำให้เธอต้องรับหน้าที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ ช่วยเจรจากับฝ่ายหญิงเพื่อประสานรอยร้าวนั้น แต่เมื่อได้พบหน้าฝ่ายหญิงและพูดคุยกันแล้ว ท้ายที่สุด ดวงพรก็ต้องหาวิธีปลอบใจอำนวย เพื่อให้เขายังคงใช้ชีวิตต่อไปอย่างผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง และเป็นทีมงานแพทย์แผนไทยในโรงพยาบาลแห่งนี้ต่อไปให้ได้
“เรารักเขา แต่เขาไม่รักเรา แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะอำนวย” เธอมองหน้าหมองคล้ำของเขาอย่างสังเวชใจ “อีกอย่าง...เราก็ต้องยอมรับว่าไปทำร้ายเขาด้วย”
จากวันนั้น ดวงพรได้นำเรื่องนี้ไปเป็นหนึ่งในหัวข้อการประชุมร่วมกับทีมงานของเธอในสำนักงาน ด้วยความหวังว่าทุกๆ คนจะมีส่วนช่วยกันฉุดดึงอำนวยให้พ้นจากขุมความเศร้าโศกเสียใจนั้นให้ได้
“อยากขอให้ทุกคนมองเพื่อนร่วมงานของเราว่า ในความเป็นมนุษย์ ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน และต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เราจะได้ทำงานกันอย่างมีความสุขค่ะ”
ดวงพรปฏิบัติต่ออำนวยเช่นบุคลากรอื่นๆ ที่เป็นคนปกติ ไม่พยายามทำให้เขารู้สึกว่าเขาคือคนด้อยโอกาส ไร้ความสามารถ แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม แต่ก็ไม่ได้จับผิด เช่น มอบหมายให้อำนวยรับผิดชอบเวรทำความสะอาดแผงลูกกรงไม้ลายฉลุด้านหน้าสำนักงาน กับเป็นคนรดน้ำให้กลุ่มไม้ประดับด้านข้างอาคารทุกเช้าร่วมกับป้ามณี หมอนวดแผนไทยอีกคนหนึ่งที่จะเกษียณอายุในปีนี้
ในวงข้าวมื้อเที่ยงใต้ร่มศาลาหลังน้อยข้างสำนักงาน เกือบทุกคนในแผนกรวมทั้งดวงพรพากันตั้งวงปั้นข้าวนึ่งจิ้มแจ่ว และเอร็ดอร่อยกับอาหารที่ตระเตรียมกันมาจากบ้านบ้าง ร้านค้าบ้าง ส่วนอำนวยใช้วิธีผูกปิ่นโตกับครัวของโรงพยาบาลเดือนละสองร้อยบาท ซึ่งป้ามณีจะรับหน้าที่ถือปิ่นโตไปรับมาให้เขาด้วยความอารี
วันหนึ่ง หลังจากแลเห็นปลายแขนเสื้อยืดคอโปโลค่อนข้างเก่าของอำนวยที่เขาใส่มาทำงานเริ่มรุ่ยออกมา อีกเกือบสัปดาห์ต่อมา ดวงพรก็ขอแบ่งเสื้อยืดจากสามีในแบบเดียวกันที่มีหลายตัวและคงสภาพดีมาให้อำนวยจำนวนหนึ่ง พร้อมกับเครื่องแบบที่ต้องสวมใส่เวลาปฏิบัติงานด้วยอีกตัวหนึ่ง
“อำนวย นี่เสื้อฟอร์มที่พี่ตัดเพิ่มให้อีกตัวหนึ่งนะ เหมือนเดิมเลยแต่ขยายไหล่ออกนิดนึง จะได้สบายตัวเพราะเราต้องสวมทับ” เธอแตะข้อศอกเขาพร้อมกับยื่นถุงกระดาษใบเขื่องไปที่มือของอำนวย “แล้วแฟนพี่ก็ให้เสื้อยืดมาด้วยค่ะ เพราะเจ้าของชักจะอ้วนแล้วละ” เธอพูดติดตลก
ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือน ดวงพรสังเกตเห็นว่าอำนวยมีรอยยิ้มที่สดใสและหัวเราะบ่อยขึ้น เพราะสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากเพื่อนและผู้บังคับบัญชาในที่ทำงานแห่งนี้ ทำให้เขาได้รู้ว่า ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ถูกความทุกข์โถมเข้าใส่จนชีวิตพลิกผัน แต่ยังมีลูกจ้างและพนักงานอีกหลายคนที่ต่างต้องเผชิญกับวิกฤติเรื่องความรัก มิตรภาพ ครอบครัว การเงิน และบางคนก็พ่ายแพ้ต่อปัญหาจนแทบหมดเนื้อหมดตัว สูญเสียสุขภาพในขั้นที่แทบจะเสียสติสัมปชัญญะ
และสิ่งที่ช่วยทำให้เธอมั่นใจมากขึ้นก็คือ ความคิดที่สร้างสรรค์เรื่องหนึ่งของอำนวย ซึ่งเขาได้บอกกับเธอเมื่อจวนเลิกงานในเย็นวันหนึ่ง หลังจากบริการนวดให้คนไข้รายสุดท้ายเสร็จแล้วอำนวยก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาดวงพรที่โต๊ะทำงาน และพูดว่า
“หัวหน้าครับ” เขาเงยหน้าเหมือนกับต้องการสบตาด้วยเวลาพูด
“ว่าไปเลยจ้ะ” ดวงพรกำลังตั้งใจฟังเช่นกัน
“ผมว่าบริษัทที่เขาจ่ายเงินเดือนให้ผมนี่ เขามีบุญคุณกับผมมากนะครับ ผมอยาก เอ้อ...อยากจะเสนอว่า ขอไปนวดให้เขา..แบบฟรีฟรี จะดีไหมครับ ซักปีละหนก็ได้ครับ”
และในที่สุด ไม่นานต่อมา ด้วยการสนับสนุนจากทีมงาน อำนวยก็ได้ทำสิ่งนี้ตามความตั้งใจของเขาด้วยความยินดีเป็นพิเศษ
การสัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯผ่านไปแล้วราวครึ่งชั่วโมง เมื่อไม่มีคนไข้ที่ดวงพรต้องช่วยติดตามการบำบัดรักษา เธอจึงค่อยเดินลงไปที่ด้านหลังสำนักงาน แล้วตั้งใจเดินผ่านบานหน้าต่างที่อยู่ตรงมุมรับแขก ทำทีตรวจตราสวนหย่อมและคุยกับลูกจ้างบางคนที่ปฏิบัติงานอยู่ หากแต่เงี่ยหูฟังเสียงถามตอบของคนทั้งคู่
“คุณอำนวยคิดว่าการเป็นหมอนวดในโรงพยาบาลรัฐแบบนี้มีข้อดียังไงคะ ทำไมถึงไม่อยากทำงานข้างนอกแบบทำธุรกิจส่วนตัวล่ะ ?”
“ดีสิครับ ถึงใครจะว่าเงินน้อย แต่ผมว่า...มันก็ไม่น้อยนะ เพราะถึงได้มามากๆ มันก็ใช้หมดถ้าเราไม่รู้จักเก็บ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ใช่มั้ยล่ะครับ ?” แล้วเขาก็พูดต่อทันที
“อีกอย่างตอนผมนวดที่บ้าน คนเรียกผม ‘หมออำนวย’ แต่มาอยู่โรงพยาบาล คนเรียก ‘คุณหมออำนวย’ ครับ”
“อ้อ รู้สึกภูมิใจนะคะ ?” เจ้าหน้าที่สาวย้ำ
“ภูมิใจมากครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
บทสนทนานั้นทำให้ดวงพรอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ และมันยังติดหูเธอไปอีกนานทีเดียว
เที่ยงสิบห้านาทีของวันที่มีการประชุมผู้บริหารทุกแผนกภายในโรงพยาบาล หลังการประชุมเสร็จสิ้น หลายคนเก็บเอกสารและทยอยเดินออกจากห้อง แต่ดวงพรตัดสินใจเดินเข้าไปหาผู้บังคับบัญชาที่กำลังรวบรวมแฟ้มบนโต๊ะ
“ผู้อำนวยการคะ หนู-ดวงพร งานแพทย์แผนไทยค่ะ” เธอแนะนำตนเองอีกครั้ง
“อ้อ..ดวงพร ว่าไงครับ ?” เขาพูดพร้อมก้มเก็บแฟ้มไปด้วย
“อ่า--วันที่ท่านนัดจะไปเยี่ยมแผนกของเราน่ะค่ะ หนูอยากจะ--ขอรบกวนนิดนึง” ดวงพรเอ่ยยิ้มๆ มองหน้านายแพทย์หนุ่มใหญ่ที่ยืดกายขึ้นมาฟังด้วยความตั้งใจ
“อะไรเอ่ย ?”
“ผอ.ช่วยเรียกหมอนวดตาบอดของเราว่า ‘คุณหมอ’ ได้ไหมคะ?”
นายแพทย์ผู้บริหารเงยหน้ามองเธอตรงๆ เลิกคิ้วเชิงตั้งคำถาม
“อย่างที่บอกว่าเรากำลังซัพพอร์ทเขาค่ะ เพราะเพิ่งหายซึมเศร้ามา ตอนนี้เขาปลื้มมากที่คนไข้เรียกว่าคุณหมอ”
“โอเค...โอเคครับ” เขายิ้มกว้าง “ตอนเข้าไปก็เตือนผมนิดแล้วกัน”
ดวงพรยิ้มตอบและยกมือไหว้เขาก่อนจากมา และกว่าจะเดินไปถึงแผนกของตนเองก็เกือบเที่ยงครึ่ง ซึ่งถือว่าเลยจากเวลามื้ออาหารปกติมาค่อนข้างมาก แต่เมื่อเดินไปที่ศาลามื้อเที่ยงและได้เห็นว่าทุกคนยังนั่งรอเธออยู่ โดยมีอำนวยทำท่าเต้นประกอบเพลงอะไรสักอย่างท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครง ดวงพรก็รู้สึกว่าความหิวนั้นลดหายไปตั้งเกือบครึ่งค่อน
และสิ่งที่ทุกคนรู้สึกตรงกันในวันนั้นก็คือ เป็นอาหารอีกมื้อหนึ่งที่อร่อยมากเป็นพิเศษ
..............................................................
(เขียนเมื่อ 14 มีนาคม 2561)
- 👁️ ยอดวิว 3280
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น