ตอนที่ 312 งานเลี้ยงวันเกิด
ตอนที่ 312 งานเลี้ยงวันเกิด
เซี่ยเฟยไม่เคยเห็นค่ำคืนที่สว่างไสวเช่นนี้มาก่อน โดยในปัจจุบันภูเขาซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของคฤหาสน์ซันเซ็ทวิลล่าได้ถูกติดตั้งเอาไว้ด้วยไฟสปอร์ตไลท์เป็นจำนวนมาก จนทำให้ภูเขานี้เหมือนกับอยู่ท่ามกลางแสงของดวงอาทิตย์
งานเลี้ยงวันเกิดของเออเนสกินเวลาตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปติดต่อกัน 3 วัน 3 คืนโดยไม่มีระยะเวลาในการพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งตลอดช่วงเวลานี้แอวริลก็จำเป็นจะต้องออกมาให้การต้อนรับแขกสำคัญที่เดินทางเข้ามาในงานเลี้ยงตลอดเวลา
เซี่ยเฟยยืนจุดบุหรี่อยู่ด้านนอกประตูของคฤหาสน์ซันเซ็ทวิลล่า ซึ่งเขาก็ได้เห็นชายหญิงที่แต่งตัวสวยงามเป็นจำนวนมากกำลังพูดคุยอย่างมีความสุขขณะเดินขึ้นไปในเขตรั้วของคฤหาสน์
ต่อมามันก็ได้มีรถหรูคันหนึ่งมาจอดอยู่ที่หน้าประตู ก่อนที่หญิงสาวในชุดราตรีสีม่วงจะเดินลงมาจากรถอย่างไม่ค่อยมั่นคง ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เคยชินกับชุดราตรีและรองเท้าส้นสูง แล้วมันก็ดูเหมือนกับว่าเธอพร้อมที่จะเท้าพลิกล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
ถ้าหากว่าเธอยังคงเดินโครงเครงแบบนี้ต่อไป เธอก็คงจะหกล้มก่อนที่จะเดินขึ้นไปจนถึงคฤหาสน์ได้สำเร็จ
หลังจากมองไปรอบ ๆ หญิงสาวก็ได้เห็นเซี่ยเฟยยืนอยู่ห่าง ๆ และเนื่องจากว่าเซี่ยเฟยได้ฝึกฝนวิชาพรางจิตมานานหลายปีเขาจึงชอบที่จะซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ซึ่งการที่หญิงสาวคนนี้สามารถมองหาเขาได้อย่างรวดเร็วมันก็แสดงให้เห็นว่าเธอมีดวงตาที่เฉียบคม
หญิงสาวโบกมือไปทางเซี่ยเฟยเหมือนกับส่งสัญญาณให้เขามาหา ซึ่งชายหนุ่มก็ใช้นิ้วชี้มาที่ตัวเองอย่างงงงวย
“คุณนั่นแหละ! มาช่วยฉันหน่อย” หญิงสาวเริ่มเปิดปากพูดเมื่อได้เห็นเซี่ยเฟยกำลังยืนสับสนอยู่ตรงนั้น
เซี่ยเฟยเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินเข้าไป ซึ่งหญิงสาวก็รีบยกมือขึ้นมาปิดจมูกทันทีเนื่องมาจากกลิ่นบุหรี่ทำให้เธอรู้สึกแสบจมูก
“ทิ้งไอ้นั่นไปซะ! แล้วมาช่วยฉันถือกระเป๋าหน่อย ทำไมคุณถึงไม่รู้หน้าที่ของตัวเองเลย ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าตระกูลเจี่ยนจ้างบอดี้การ์ดแบบคุณมาได้ยังไง” หญิงสาวกล่าวห้วน ๆ เหมือนกับว่าเขาไม่ใช่แขกคนหนึ่งของงาน
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ตระหนักได้ว่าเธอคนนี้คิดว่าเขาเป็นบอดี้การ์ด และมันก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงเรียกเขามาทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่รู้จักกัน
ชายหนุ่มทิ้งบุหรี่พร้อมกับเดินมารับกระเป๋าของหญิงสาวเอาไว้ จากนั้นเขาก็มองไปยังชุดสูทของตัวเองอย่างสับสน เพราะแอวริลเป็นคนเลือกชุดนี้ให้กับเขาเองแล้วทำไมตัวเขาถึงยังถูกมองว่าเป็นบอดี้การ์ด?
หญิงสาวรีบถอดรองเท้าส้นสูงของเธอออกพร้อมกับถือขึ้นมาไว้ในมือและจ้องมองรองเท้าอย่างพิจารณา ซึ่งเซี่ยเฟยก็ใช้เวลานี้ในการสำรวจเธอจากหางตา
เธอคนนี้มีอายุประมาณ 17-18 ปี และหน้าตาของเธอก็ถือว่าน่ารักพอสมควร
ความจริงแล้วสาว ๆ ที่มาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่หน้าตาดีกันทั้งหมด เพียงแต่เซี่ยเฟยไม่ชอบผู้หญิงที่แต่งหน้าหนาเตอะและสวมใส่เครื่องประดับจนให้ความรู้สึกรกหูรกตา แต่ในทางตรงกันข้ามหญิงสาวคนนี้กลับแต่งหน้าเพียงแค่อ่อน ๆ และไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับมากเกินไป เขาจึงไม่ได้รู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่กับเธอมากมายนัก
“เอาส้นรองเท้าออกไป 2.4 เซนติเมตรและทำให้พื้นรองเท้านุ่มกว่านี้หน่อย”
หลังจากพูดจบหญิงสาวก็ยัดรองเท้าส้นสูงใส่มือเซี่ยเฟย พร้อมกับจ้องไปยังชายหนุ่มตรงหน้าและยกแขนขึ้นมากอดอก
“นี่คุณ…” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้ว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้กล่าวจนจบเขากลับถูกพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ฉันไม่สนหรอกว่าเหตุผลของคุณคืออะไร แต่หน้าที่ของบอดี้การ์ดคือการปกป้องความปลอดภัยของแขก ซึ่งถ้าหากว่าแขกกำลังพบกับปัญหาบอดี้การ์ดก็ต้องช่วยแขกอย่างไม่ต้องสงสัย และตอนนี้ฉันก็กำลังขอให้คุณช่วยซ่อมรองเท้าให้กับฉัน”
เซี่ยเฟยยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่เขาจะหยิบมีดของสมาพันธ์จัสทิสออกมาจากแหวนมิติ
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
พริบตาต่อมาส้นของรองเท้าส้นสูงก็ถูกตัดออก 2.4 เซนติเมตรอย่างแม่นยำ และเซี่ยเฟยยังทำการปรับพื้นรองเท้าขึ้นมาใหม่ให้มีความโค้งมนรับกับฝ่าเท้ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เขายังช่วยแกะสลักลายดอกไม้บนรองเท้าเพื่อเพิ่มความสวยงามเข้าไปอีกด้วย
ทักษะของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะรับรองเท้าเข้ามาสวมอีกครั้งและได้พบว่าครั้งนี้เธอสามารถก้าวเดินได้อย่างมั่นคงกว่าเดิม โดยเฉพาะพื้นรองเท้าที่รองรับฝ่าเท้าของเธอได้เป็นอย่างดีจนทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังสวมใส่รองเท้าผ้าใบ
“ดีมาก!” หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจก่อนจะรับกระเป๋าสีทองของเธอคืน จากนั้นเธอก็หยิบกระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนข้อความอย่างรวดเร็ว แล้วเธอก็ยื่นกระดาษส่งไปให้กับเซี่ยเฟย
“ถ้าคุณเลิกทำงานให้กับตระกูลเจี่ยนแล้วคุณสามารถมาทำงานให้กับฉันได้ ไม่ว่าเงินเดือนในปัจจุบันของคุณจะได้เท่าไหร่ฉันยินดีจะเพิ่มให้เป็น 2 เท่า”
หลังจากพูดจบเธอก็เดินขึ้นไปในเขตคฤหาสน์ด้วยท่าทางที่สบายกว่าเดิม แต่ถึงยังไงท่าทางของเธอก็ยังคงดูงุ่มง่ามอยู่เล็กน้อยราวกับว่าปกติเธอไม่ค่อยได้แต่งตัวแบบนี้
“เธอเขียนว่าอะไร? บางทีนายอาจจะได้งานใหม่ก็ได้นะ” อันธกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่สนใจหรอก” เซี่ยเฟยกล่าวตอบพร้อมกับโยนกระดาษแผ่นนั้นทิ้งไป
—
หลังจากรออยู่อีกครู่หนึ่งทูรามกับหัวหน้าแผนกของสมาพันธ์จัสทิสอีกหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูของคฤหาสน์ซันเซ็ทวิลล่า
ทูรามแนะนำเซี่ยเฟยให้แต่ละคนได้รู้จักสั้น ๆ โดยหัวหน้าแผนกแต่ละคนก็ได้จ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาแปลก ๆ ซึ่งเซี่ยเฟยเดาว่ามันอาจจะเป็นเพราะว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินหมางและทูราม มันจึงมีใครบางคนรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับเขาไปโดยปริยาย เพราะท้ายที่สุดเหตุการณ์ในโรงพยาบาลระหว่างที่ฉินหมางได้รับการรักษาตัวก็ไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่คนพวกนี้คิด นั่นก็เพราะยาแก้พิษที่เขาได้นำมารักษาฉินหมาง
“ไปกันเถอะ” ทูรามกล่าวพร้อมกับตบไหล่เซี่ยเฟยเบา ๆ
เมื่อสังเกตดี ๆ เซี่ยเฟยก็ได้พบว่าทุกคนได้หยิบเข็มกลัดดอกฟาแลนนอปซิสมาติดไว้ตรงบริเวณหน้าอก ซึ่งมันก็ทำให้เขาตระหนักได้ในทันทีว่ามันเป็นเพราะเข็มกลัดชิ้นนี้ที่ทำให้หญิงสาวคนนั้นเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นบอดี้การ์ด
ตระกูลเจี่ยนได้ส่งเข็มกลัดดอกฟาแลนนอปซิสที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตให้กับแขกทุกคน ซึ่งเข็มกลัดชนิดนี้ได้ทำขึ้นมาจากโลหะผสมหลากหลายสีสันที่มีราคาแพง
ในความเป็นจริงมันยังมีกลไกพิเศษถูกซ่อนเอาไว้ภายใต้เข็มกลัดที่ถูกสร้างขึ้นมาในครั้งนี้อีกด้วย เนื่องมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแอวริลครั้งล่าสุด มันจึงทำให้ตระกูลเจี่ยนให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัยมากเป็นพิเศษ พวกเขาจึงได้ใช้เข็มกลัดพวกนี้เป็นเหมือนเครื่องสอดแนมว่ามีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นกับแขกที่พวกเขาได้เชิญมาหรือไม่
เนื่องมาจากชุดสูทของผู้ชายต่างก็มีลักษณะที่คล้าย ๆ กันและชุดของเซี่ยเฟยก็ดูต่างจากชุดของบอดี้การ์ดเพียงแค่เล็กน้อย เพราะท้ายที่สุดบอดี้การ์ดของตระกูลเจี่ยนก็สวมใส่ชุดสูทที่ดูหรูหราเช่นเดียวกัน มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีใครเข้าใจผิดว่าเขาเป็นบอดี้การ์ดที่ทางตระกูลเจี่ยนได้จ้างมาดูแลรักษาความปลอดภัย
เซี่ยเฟยกับทูรามเดินรั้งท้ายกลุ่มค่อย ๆ ขึ้นบันไดขึ้นไปยังคฤหาสน์ด้านบนอย่างช้า ๆ ซึ่งชายหนุ่มก็พยายามทำตัวอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่สนใจว่าแขกพวกนี้มีภูมิหลังเป็นใคร เพียงแต่เขาได้แฝงตัวเข้าไปท่ามกลางฝูงชนแต่ก็ไม่ได้พูดคุยกับใครเลยแม้แต่คนเดียว
งานเลี้ยงบนยอดเขาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ซึ่งเซี่ยเฟยก็ได้เห็นว่าพืชพันธ์ุหลาย ๆ ชนิดถูกโยกย้ายออกไปจากตำแหน่งเดิม ทำให้สภาพแวดล้อมดูแปลกตาไปจากครั้งที่แล้วที่เขาได้เดินทางมาที่นี่
ทั่วทั้งยอดเขาถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยม่านพลังงานขนาดใหญ่เพื่อป้องกันลมภูเขาที่พัดค่อนข้างแรง ทำให้ในงานเลี้ยงแทบจะไม่มีลมพัดผ่านเลยแม้แต่นิดเดียว
ในงานเลี้ยงมีบริกรคอยให้บริการอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อคอยเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้กับแขกที่เดินทางเข้ามาภายในงาน ซึ่งทูรามได้หยิบเบียร์ให้ตัวเอง 1 แก้ว ขณะที่เซี่ยเฟยหยิบแก้วแชมเปญขึ้นมาถือไว้ในมือ
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าใครบางคนที่อยู่ทางด้านหลังกำลังจะพยายามเอื้อมมือมาจับเขาเอาไว้ เขาจึงถอยห่างออกไปตามสัญชาตญาณ ก่อนจะได้เห็นมือสีขาวราวกับหิมะที่มีแผลเป็นจาง ๆ รอบข้อมือของเธอ และถึงแม้ว่าเจ้าของมือจะได้ใช้สร้อยข้อมือสีทองเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นเอาไว้ แต่มันก็ไม่มากพอที่จะบดบังสายตาอันยอดเยี่ยมของเขาไปได้
เซี่ยเฟยหันศีรษะไปด้านหลังอย่างสงสัยก่อนที่เขาจะได้พบว่าคนที่กำลังยื่นมือออกมาคว้าเขาเอาไว้คือหญิงสาวที่เขาได้เจอที่เชิงเขา โดยในตอนนี้มันได้มีแชมเปญกระเด็นใส่กระโปรงสีม่วงของเธอเล็กน้อย ซึ่งมันก็น่าจะเกิดขึ้นมาจากการที่ชายหนุ่มได้เคลื่อนที่หลบอย่างกะทันหัน
“ฉันกำลังตามหาคุณอยู่เลย คุณช่วยพา…” หญิงสาวหยุดบทสนทนาเอาไว้อย่างกะทันหันเมื่อเธอได้สังเกตุเห็นดอกฟาแลนนอปซิสที่ติดอยู่ตรงบริเวณหน้าอกของชายหนุ่ม ซึ่งมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่บอดี้การ์ด แต่เป็นแขกของตระกูลเจี่ยนที่ได้รับเชิญให้มางานเลี้ยงนี้เหมือนกับเธอ
“รองเท้าใส่สบายดีไหมครับ?” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ก็พอใช้ได้” หญิงสาวตอบกลับด้วยความลำบากใจ
“ทำตัวตามสบายเถอะครับ อันที่จริงผมก็ไม่ชินกับการใส่รองเท้าส้นสูงเหมือนกัน” เซี่ยเฟยพูดติดตลกพร้อมกับยกแก้วแชมเปญให้เธอ
“อะไรกัน นี่พวกนายรู้จักกันอยู่แล้วเหรอ?” ทูรามหันมาถามอย่างสงสัยเมื่อได้เห็นเซี่ยเฟยสนทนากับหญิงสาว
“ไม่ถึงขั้นคนรู้จักหรอกครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอแนะนำให้นายได้รู้จักกับเธอก็แล้วกัน เธอชื่อนิโคลเป็นประธานบริษัทไกอาคนปัจจุบัน นิโคลพ่อหนุ่มคนนี้มีชื่อว่าเซี่ยเฟย” ทูรามกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำแนะนำของทูรามทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึง เพราะผู้หญิงคนนี้ดูมีอายุไม่ถึง 20 ปี แต่แท้ที่จริงตัวตนของเธอกลับเป็นถึงประธานบริษัทไกอา ซึ่งเป็น 1 ใน 4 บริษัทผลิตยานรบที่ใหญ่ที่สุดในพันธมิตร
“พ่อเธอสบายดีไหม?” ทูรามถาม
“ร่างกายส่วนใหญ่ของพ่อฟื้นตัวกลับมาแล้วค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหมอยังห้ามเอาไว้พ่อก็คงจะกลับไปทำงานที่บริษัทตั้งนานแล้ว” นิโคลกล่าวพร้อมกับใช้มือลูบผมยาวสีน้ำตาลของเธอ
“อะไรกันเธอขึ้นมาบริหารบริษัทมันไม่ดีตรงไหน นอกจากนี้บริษัทก็ทำผลงานได้เป็นอย่างดีในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ฉันว่าพ่อของเธอควรจะเกษียณนอนอยู่บ้านเฉย ๆ แล้วปล่อยให้เธอดูแลบริษัทต่อไปจะดีกว่า” ทูรามกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“คุณลุงเป็นคนตลกจริง ๆ ถ้าคุณพ่อคิดได้เหมือนคุณลุงก็คงจะดี หนูเพิ่งเริ่มทำงานในบริษัทได้เพียงแค่ไม่นานและยังมีอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่หนูไม่เข้าใจ หลังจากนี้ฝากคุณลุงดูแลหลานสาวคนนี้ด้วยนะคะ” นิโคลเอามือขึ้นมาปิดปากพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องมาพูดจาถ่อมตัวเลย สินค้าชุดสุดท้ายที่ฉันได้สั่งจากบริษัทไกอามีราคาเพิ่มขึ้นมาจากเดิมตั้ง 5% ฉันคิดว่าเธอมีหัวธุรกิจมากกว่าพ่อของเธอซะอีก” ทูรามกล่าว
“สาเหตุที่ราคาต้องเพิ่มขึ้นมาเป็นเพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นมาจากเดิมอย่างรวดเร็วต่างหากค่ะ ความเป็นจริงพวกเราปรับราคาหลังบริษัทอื่นด้วยซ้ำนะคะ แต่หนูขอบอกเงียบ ๆ ตรงนี้ว่าจะมีของดีถูกปล่อยออกมาในอีกไม่นาน เดี๋ยวอีกไม่กี่วันหนูจะส่งของไปให้คุณลุงทดสอบเป็นการส่วนตัวนะคะ” นิโคลกล่าวด้วยท่าทางสบาย ๆ
“เธอกำลังพูดถึงอะไร?” ทูรามถามขึ้นมาด้วยความสนใจ
“คุณลุงควรจะดีใจนะคะที่หนูบอกคุณลุงเป็นคนแรก เพราะแม้กระทั่งทางกรมทหารก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย” นิโคลกล่าว
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดก็ตามที่ฉันยังดำรงตำแหน่งนี้พวกเราย่อมเป็นคู่ค้าที่ดีเหมือนเดิมอย่างแน่นอน” ทูรามกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขราวกับว่าสิ่งที่นิโคลพูดทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก
แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะอายุยังน้อยแต่เซี่ยเฟยก็คิดว่าเธอเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์มาก เพราะไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำของเธอต่างก็ล้วนแล้วแต่แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการลดผลกระทบจากการขึ้นราคาครั้งก่อน รวมถึงการทำให้ทูรามหันเหความสนใจไปยังเรื่องอื่นด้วยคำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำ
หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาพูดคุยกับทูรามมากขึ้นเรื่อย ๆ และเนื่องจากเซี่ยเฟยไม่รู้จักใครสักคนเขาจึงถอยออกไปพิงราวบันไดอยู่คนเดียวพร้อมกับมองไปยังวิวทิวทัศน์ด้านนอกหุบเขา
“คุณใช่คนที่ช่วยแอวริลจากพวกผู้ก่อการร้ายใช่ไหม?” นิโคลกล่าวพร้อมกับเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างเซี่ยเฟย
“คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“นครหลวงจะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็ก ถึงแม้ว่าคุณจะต้องการเก็บซ่อนบางสิ่งเอาไว้แต่มันก็มีสายตาที่รู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เสมอ ฉันได้ยินมาว่าการช่วยเหลือครั้งนั้นถึงกับทำให้คุณได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยใช่ไหม?” นิโคลกล่าวพร้อมกับจิบแชมเปญภายในมือ
“ถ้าคุณรู้ทุกอย่างอยู่แล้วทำไมถึงต้องถามเรื่องนี้กับผมด้วย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับจุดบุหรี่ ซึ่งนิโคลก็ไม่ได้บังคับให้เขาดับมันเหมือนครั้งก่อน
“คุณคงชอบแอวริลมากเลยใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นคุณก็คงจะไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือเธอ” นิโคลกล่าวพร้อมกับมองไปยังชายหนุ่มด้วยสายตาแปลก ๆ
“ก็ประมาณนั้นมั้ง” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แอวริลเป็นคนที่โชคดีจริง ๆ” นิโคลกล่าวขึ้นมาอย่างหดหู่เบา ๆ ราวกับกำลังพูดอยู่กับตัวเอง
“ผมไม่คิดว่าคนที่เกือบจะถูกลักพาตัวเป็นคนที่โชคดีหรอกนะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างออกมา
เซี่ยเฟยไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมนิโคลถึงดูหดหู่มากขนาดนี้ และเมื่อเขาได้มองไปยังข้อมือของเธออีกครั้งเขาก็ได้พบว่าเธอได้สวมสร้อยข้อมือ เพื่อพยายามปกปิดรอยแผลเป็นบนข้อมือข้างหนึ่งเอาไว้ ขณะที่ใช้ผ้าไหมผูกข้อมืออีกข้าง
เซี่ยเฟยคาดเดาว่าเธอน่าจะมีรอยแผลเป็นอยู่ที่ข้อมือทั้งสองข้าง และถ้าหากพิจารณาจากสภาพของแผลเป็นแล้วเขาก็คิดว่าเธอน่าจะได้รับรอยแผลพวกนี้มาตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก
“ใช่ การถูกลักพาตัวไปไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีเลย” นิโคลกล่าวขึ้นมาเบา ๆ ก่อนที่เธอจะดื่มแชมเปญจนหมดแล้วเรียกบริกรให้มาเปลี่ยนแก้วแชมเปญแก้วใหม่
“เอาล่ะฉันจะกลับเข้าไปในงานเลี้ยงแล้ว ในฐานะที่คุณช่วยซ่อมรองเท้าให้กับฉัน ฉันก็จะตอบแทนคุณด้วยการบอกอะไรบางอย่างกับคุณก็แล้วกัน ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับแอวริลทำให้ใครบางคนรู้สึกไม่พอใจและงานเลี้ยงในคืนนี้ก็อาจจะไม่ราบรื่นสำหรับคุณเท่าไหร่นัก”
หลังจากพูดจบนิโคลก็เดินกลับเข้าไปในฝูงชน พร้อมกับพูดคุยกับแขกคนต่าง ๆ ด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับว่าเธอคุ้นชินกับงานสร้างสรรค์เช่นนี้เป็นอย่างดี
“คนไม่พอใจ? เธอกำลังพูดถึงหลี่โม่ใช่ไหม?” อันธถาม
“จะใครก็มาเถอะ ฉันไม่เคยกลัวพวกมันอยู่แล้ว” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพ่นควันออกมาอย่างผ่อนคลาย
—
คนเดินทางเข้ามาในงานเลี้ยงมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งตามนิสัยของชนชั้นสูงงานเลี้ยงจะยังไม่ดำเนินถึงจุดไคลแมกซ์จนกว่าจะถึงเวลาเที่ยงคืน เพราะท้ายที่สุดคนรวยพวกนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องตื่นไปทำงานตั้งแต่เช้าและพวกเขาก็มักที่จะอยู่เฉลิมฉลองไปตลอดทั้งคืน
ในระยะสายตาไม่มีแอวริลปรากฏตัวขึ้นมาให้เขาได้เห็นเลย แม้แต่ผางชิงก็หายตัวไปด้วยเช่นเดียวกัน เซี่ยเฟยจึงยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของงานเลี้ยงคนเดียวพร้อมกับดื่มแชมเปญและสูบบุหรี่อยู่อย่างเงียบ ๆ
สำหรับเขาแล้วเขาคาดหวังเพียงสิ่งเดียวจากงานเลี้ยงในครั้งนี้คือการได้พบเจอกับแอวริล ซึ่งแม้แต่เออเนสผู้ซึ่งเป็นเจ้าของวันเกิดก็เป็นได้เพียงแค่ตัวประกอบในสายตาของเขาด้วยซ้ำ ส่วนคนแปลกหน้าที่เดินทางเข้ามาภายในงานเลี้ยงก็เป็นเพียงแค่คนไม่สำคัญที่เขาไม่ได้คิดที่จะนำมาใส่ใจ
ทันใดนั้นเองฝูงชนก็เริ่มแหวกออกเป็นทางเดินยาว ก่อนที่นายทหารในชุดเครื่องแบบ 3 คนจะเดินเข้ามาภายในงาน
เซี่ยเฟยเคยศึกษารายละเอียดของ 3 จอมพลแห่งกรมทหารมาบ้างแล้ว เพราะท้ายที่สุดโอกาสที่บริษัทควอนตัมจะได้กลายเป็นซัพพลายเออร์ระดับ A ของกองทัพก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ 3 จอมพลนี้ ซึ่งเขาเคยได้พบกับวิลเลียมและเลย์ตันมาครั้งหนึ่งแล้ว และการที่แม้แต่ไทสันก็ยังได้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงมันก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่ไม่ธรรมดาของตระกูลเจี่ยน
ในพันธมิตรมีตระกูลขนาดใหญ่อยู่อย่างมากมาย แต่โดยปกติ 3 จอมพลแห่งกรมทหารก็ไม่ได้ให้เกียรติตระกูลที่ไม่ได้เป็นคู่ค้ากับทางกองทัพมากนัก เพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็ยุ่งอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีเวลาออกมาสังสรรค์เฉกเช่นแขกส่วนใหญ่ภายในงานที่เป็นลูกหลานของตระกูลที่ร่ำรวย
ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าบริษัทสตาร์ยูไนเต็ดของตระกูลเจี่ยนจะไม่ได้มีรายชื่อเป็นซัพพลายเออร์ระดับ A ของกองทัพ แต่ทางกรมทหารก็ยังให้ความสำคัญกับตระกูลเจี่ยนเป็นอย่างมาก เพราะธุรกิจสตาร์เน็ตเวิร์กช่วยเอื้ออำนวยการสื่อสารของกองทัพได้เป็นอย่างดี และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม 3 จอมพลถึงเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของเออเนส
ตั้งแต่สมัยโบราณพ่อค้าก็มักที่จะทำธุรกิจกับทหาร และถึงแม้ว่าพันธมิตรจะพัฒนาอารยธรรมมาเป็นเวลานานแล้ว แต่การปรากฏตัวของ 3 จอมพลก็สร้างความแตกตื่นให้กับแขกภายในงานได้เช่นกัน
เซี่ยเฟยยังคงยืนอยู่ในมุมของงานเลี้ยงเงียบ ๆ อยู่เช่นเดิม โดยไม่คิดที่จะเข้าไปสนทนากับ 3 จอมพลเลยแม้แต่นิดเดียว และการที่เขาทำแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนที่หยิ่งผยอง แต่รอบ ๆ 3 จอมพลมีแขกที่พยายามจะเข้าไปพูดคุยมากเกินไป
ทั้งสามพูดคุยด้วยเสียงหัวเราะพร้อมกับเดินไปรอบ ๆ งานเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นวิลเลียมก็มองเห็นเซี่ยเฟยในระยะไกล เขาจึงดึงแขนเสื้อของไทสันและทำท่าเหมือนจะมุ่งหน้ามาหาชายหนุ่ม
ก่อนที่จอมพลทั้งสามจะเดินทางมาถึงไทสันก็พิจารณาเซี่ยเฟยตั้งแต่หัวจรดเท้า ซึ่งในแววตาของเขาก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกทั้งดูถูก, ชื่นชมหรือเกลียดชัง
เหตุการณ์นี้ทำให้ฝูงชนเริ่มรู้สึกประหลาดใจ เพราะแขกเป็นจำนวนมากพยายามเข้าไปทักทายจอมพลทั้งสาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือแม้แต่นักธุรกิจที่คิดว่าตัวเองมีอำนาจก็ยังไม่สามารถรั้งให้ไทสันพูดคุยกับเขาเป็นเวลานานได้ แต่ในตอนนี้จอมพลทั้งสามกลับมีความคิดที่จะเดินเข้าไปหาชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงมุมงานเลี้ยง
อย่าลืมว่านี่คืองานเลี้ยงของชนชั้นสูง ซึ่งเซี่ยเฟยก็ถูกมองว่าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเพราะเขาไม่เคยมีชื่อเสียงในทางธุรกิจเลย
“เซี่ยเฟยนี่คือผู้บัญชาการสูงสุดของกองทหารแห่งพันธมิตร จอมพลไทสัน” วิลเลียมกล่าวแนะนำขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
ไทสันยื่นมือออกไปเพื่อจับมือกับเซี่ยเฟย แต่สิ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายกับว่าเขาไม่ได้จับมือแต่กำลังถูกจับด้วยคีมเหล็กขนาดใหญ่
“คุณคือผู้ที่คอยควบคุมบริษัทควอนตัมและคือผู้คิดค้นอุปกรณ์เสริมพลังชาร์จใช่ไหม?” ไทสันกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ใช่ครับ จอมพลไทสันยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ตรงนี้มีคนมากเกินไป พวกเราไปหาที่คุยกันเงียบ ๆ ดีกว่า ฉันมีคำถามที่อยากจะถามนายสักหน่อย” ไทสันกล่าวขณะกวาดสายตามองไปยังบริเวณโดยรอบ
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับก่อนที่ทั้งสองจะเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึง และพวกเขาก็เริ่มคาดเดาว่าเซี่ยเฟยอาจจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับไทสัน
“จอมพลไทสันกำลังต้องการอะไรจากเซี่ยเฟยกันแน่?” ทูรามเดินเข้ามาถามวิลเลียมอย่างอยากรู้อยากเห็น
“มันเป็นนิสัยของไทสันน่า ทุกคนที่จะกลายมาเป็นซัพพลายเออร์ของกองทัพจะต้องถูกเขาเรียกไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวทุกคน แล้วมันก็มีเพียงแค่พวกเขาที่รู้ว่าไทสันได้เรียกไปพูดคุยเรื่องอะไร” วิลเลียมกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบด้วยท่าทางสบาย ๆ
“อย่าบอกนะว่า…” ทูรามอุทานขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“ฉันไม่ได้พูดอะไรและคุณก็ยังไม่รู้อะไรเลย ทุกอย่างต้องรอการอนุมัติจากสภาก่อนถึงจะสามารถประกาศต่อหน้าสาธารณชนได้” วิลเลียมกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เจ้าเล่ห์
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 202
แสดงความคิดเห็น