ตอนที่ 313 นิโคล ซอว์เยอร์
ตอนที่ 313 นิโคล ซอว์เยอร์
หลังจากได้พบห้องเงียบ ๆ ไทสันก็เปิดประตูและมองไปรอบ ๆ ด้วยแววตาอันเฉียบคม จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์เหมือนทหารที่กำลังสั่งให้หยุด
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกสับสนมาก เพราะในห้องมีเขาและไทสันอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น ชายหนุ่มจึงไม่รู้ว่าชายชราต้องการแสดงสัญลักษณ์มือนี้กับใคร
“นี่เป็นความลับของกรมทหาร ขอให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องตัดการสื่อสารออกไปด้วย” ไทสันกล่าวอย่างจริงจัง
เซี่ยเฟยรู้ดีว่าที่นี่คือคฤหาสน์ของตระกูลเจี่ยน แล้วมันก็อาจจะมีระบบรักษาความปลอดภัยติดตั้งอยู่ทั่วทุกที่ ซึ่งสิ่งที่ไทสันกำลังทำอยู่นั้นก็คือการเตือนไม่ให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัยแอบฟังบทสนทนาของพวกเขา
เซี่ยเฟยไม่รู้มาก่อนเลยว่าการพูดคุยครั้งนี้จำเป็นจะต้องเป็นความลับขนาดนั้น หรือมันอาจจะเป็นเพราะไทสันไม่ชอบให้ใครมาสอดรู้สอดเห็นเรื่องของเขาก็ได้ อย่าลืมว่านี่คือบทสนทนาของผู้บัญชาการสูงสุดของกรมทหาร ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะมีบอดี้การ์ดของตระกูลเจี่ยนได้ยินอะไรบางอย่างไปก็ตามแต่เขาก็คงจะไม่กล้าพูดข้อมูลอะไรออกไป แต่ถึงกระนั้นไทสันก็ยังระแวดระวังตัวเป็นอย่างดีทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกชื่นชมชายชราคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม
“อุปกรณ์เสริมพลังชาร์จที่คุณคิดค้นขึ้นมาผ่านการประเมินไปได้เป็นอย่างดี ทางกองทัพจึงตัดสินใจที่จะเพิ่มชื่อบริษัทควอนตัมเข้าสู่รายชื่อซัพพลายเออร์ระดับ A ของพวกเรา ซึ่งมันก็หมายความว่าหลังจากนี้บริษัทจะถูกทหารเข้าไปทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่เรื่องทั้งหมดต้องรอการอนุมัติมาจากทางสภาซะก่อน” ไทสันเริ่มกล่าวเข้าประเด็น
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และทุกคนก็รู้ดีว่าหากทางกรมทหารได้ทำการตัดสินใจแล้วทางสภาย่อมไม่เข้าไปขัดขวางอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่ามันจะมีเหตุผลพิเศษที่ขัดแย้งต่อการตัดสินใจ ดังนั้นการที่ไทสันพูดออกมาแบบนี้มันก็หมายความว่าบริษัทควอนตัมมีโอกาสกลายเป็นซัพพลายเออร์ระดับ A ของกรมทหารมากกว่า 90% แล้ว
ซัพพลายเออร์ระดับ A ของกองทัพ!!
“เป็นเกียรติมากครับที่คุณมองเห็นศักยภาพบริษัทของเรา ผมเชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของคุณแน่นอนครับ” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สงบโดยไม่นอบน้อมหรือเอาใจมากจนเกินไป
ความประทับใจแรกของการพบเจอกันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งตั้งแต่ที่พวกเขาได้พบกันมาจนถึงตอนนี้ เซี่ยเฟยก็ยังไม่ได้แสดงลักษณะใด ๆ ที่ไทสันไม่ชอบออกมาเลย ท้ายที่สุดชายหนุ่มคนนี้ก็ยังคงเป็นนักธุรกิจแต่เขาก็ยังไม่ได้สูญเสียความสงบอย่างที่นักรบควรจะมี
“เดิมทีฉันวางแผนที่จะรอการอนุมัติจากสภาก่อนแล้วค่อยมาพูดคุยกับคุณ แต่เนื่องมาจากว่าในวันนี้พวกเราได้พบกันโดยบังเอิญฉันก็จะขอใช้โอกาสนี้พูดคุยกันให้ชัดเจนไปเลย คำถามของฉันเป็นเพียงแค่คำถามง่าย ๆ คุณแค่พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาก็พอ ไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกเกร็งมากเกินไป”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ซึ่งคำถามนี้ก็ดูคล้ายจะเป็นคำถามที่ผู้นำกำลังประเมินผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่
ในมุมหนึ่งเมื่อบริษัทควอนตัมกลายเป็นซัพพลายเออร์ระดับ A ของกรมทหาร มันก็เท่ากับว่าบริษัทของพวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกรมทหารไปด้วย หรือมันกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าไทสันก็ไม่ต่างไปจากหัวหน้าของเขา
“คำถามแรกคุณวางแผนปรับปรุงประสิทธิภาพของสินค้าให้กองทัพยังไงบ้าง?” ไทสันถาม
“อันที่จริงผมไม่ได้คิดที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพของสินค้าให้กับกองทัพโดยเฉพาะครับ เพราะผลิตภัณฑ์ที่พวกเราส่งมอบให้กับลูกค้าต่างก็ต้องเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานเท่า ๆ กัน ดังนั้นไม่ว่าลูกค้าจะเป็นใครบริษัทควอนตัมก็จะส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพดีที่สุดเสมอ” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
คำตอบของชายหนุ่มค่อนข้างเหนือความคาดหมายของไทสัน เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวเสริมเพิ่มไปว่า
“กรมทหารคือลูกค้ารายใหญ่ที่ไม่สามารถหาใครมาทดแทนได้นะ คุณไม่คิดที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของคุณหน่อยเหรอ?”
“สมมติว่าผมจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีกว่านี้ให้กับกองทัพได้ มันก็แสดงว่าคุณภาพของสินค้าในปัจจุบันยังคงมีปัญหาอยู่ ผมขอบอกคุณเอาไว้ตรงนี้เลยว่าพวกเราไม่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของอุปกรณ์เสริมพลังชาร์จได้มากกว่านี้อีกแล้วครับ”
“ถ้าหากว่าในวันหนึ่งพวกเราได้รับเทคโนโลยีมาใหม่ พวกเราก็จะทำการอัพเกรดอุปกรณ์ทั้งหมดเพิ่มขึ้นไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นลูกค้าระดับไหนผมก็ขอให้คุณมั่นใจว่าคุณจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานไปอย่างแน่นอน”
“ผมไม่เชื่อว่าคุณจะอยากเป็นคู่ค้ากับบริษัทที่ไม่มีมาตรฐานหรอกใช่ไหมครับ? ผมรับรองว่าสินค้าทุกตัวของบริษัทควอนตัมเป็นสินค้าที่ผ่านมาตรฐาน เพราะถ้าหากสินค้าชิ้นไหนมีคุณภาพไม่เพียงพอผลิตภัณฑ์พวกนั้นก็จะถูกทำลายในทันที” เซี่ยเฟยกล่าว
ไทสันดูเหมือนจะพอใจคำตอบของเซี่ยเฟยมาก เพราะการที่ชายหนุ่มได้ตอบออกมาแบบนี้มันก็แสดงว่าเขามีทัศนคติที่ควบคุมคุณภาพของสินค้าในบริษัทอย่างเข้มงวด
“คำถามที่ 2 …”
ครึ่งชั่วโมงต่อมาไทสันกับเซี่ยเฟยก็ออกมาจากคฤหาสน์ของตระกูลเจี่ยน ซึ่งมันก็ทำให้ฝูงชนรีบเข้ามาทักทายไทสันอย่างรวดเร็ว
ในทางกลับกันแขกภายในงานต่างก็จ้องมองไปที่เซี่ยเฟยด้วยสายตาแปลก ๆ โดยไม่มีใครคิดริเริ่มที่จะเข้าไปทักทายชายหนุ่มคนนี้ก่อน เพราะถึงแม้ว่าเซี่ยเฟยจะได้รับเชิญให้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้รับการยอมรับในสังคมของชนชั้นสูง มันจึงไม่มีใครเข้ามาทักทายเขาเลยนอกจากนิโคล
เซี่ยเฟยกลับไปยืนพิงมุมงานเลี้ยงเหมือนในก่อนหน้านี้ โดยเขาก็ไม่คิดเลยว่านิโคลจะเดินเข้ามาหาเขาเป็นครั้งที่ 2 เพราะท้ายที่สุดก่อนหน้านี้พวกเขาก็พบกันโดยบังเอิญ ซึ่งเขาก็ให้ความช่วยเหลือเธอเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเธอจะให้ความสนใจในการพูดคุยกับเขาเป็นพิเศษ
นิโคลถอดรองเท้าพร้อมกับนวดฝ่าเท้าของเธอเบา ๆ ซึ่งมันเป็นภาพที่ค่อนข้างหายากที่ผู้หญิงในระดับนี้จะไม่คุ้นชินกับการสวมรองเท้าส้นสูง
“คำถามของคุณไทสันไม่ได้ยากเกินไปใช่ไหม? ตอนที่ฉันขึ้นมารับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัวเมื่อ 2 เดือนก่อนคุณไทสันก็มาถามคำถามฉันที่ออฟฟิศเหมือนกัน ตอนนั้นฉันรู้สึกประหม่ามากและแทบที่จะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้เป็นเหมือนปกติได้เลย” นิโคลกล่าวพร้อมกับหัวเราะตัวเองขึ้นมาเบา ๆ
‘เธอรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วอย่างนั้นเหรอ?’ เซี่ยเฟยคิดกับตัวเองภายในใจ
แม้แต่ตัวเขาเองก็เพิ่งรู้ว่าบริษัทควอนตัมกำลังจะได้กลายเป็นซัพพลายเออร์ระดับ A ของกรมทหาร และแม้แต่ทูรามที่ดำรงตำแหน่งในระดับสูงของสมาพันธ์จัสทิสก็ยังไม่ได้รับข่าวใด ๆ ในเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่นิโคลกลับพูดขึ้นมาราวกับว่าเธอรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว เซี่ยเฟยจึงได้รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทบิ๊กโฟร์กับกรมทหารมีความใกล้ชิดกันมากเกินกว่าที่เขาได้จินตนาการเอาไว้
ชายหนุ่มยังคงสูบบุหรี่โดยไม่ตอบคำถามของหญิงสาว เนื่องมาจากว่าเขายังรู้สึกระแวงนิโคลอยู่เล็กน้อย ท้ายที่สุดไทสันก็ได้บอกเขาเอาไว้แล้วว่าเนื้อหาที่ได้พูดคุยกันในก่อนหน้านี้จะต้องถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับ แล้วใครจะสามารถรับประกันได้ว่านิโคลไม่ใช่สายลับที่ไทสันได้ส่งมาเพื่อตรวจสอบการกระทำของเขา
การนิ่งเงียบของเซี่ยเฟยเริ่มทำให้นิโคลรู้สึกอึดอัด ซึ่งเห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่อยากที่จะพูดคุยกับเธอ หญิงสาวจึงยืนขึ้นและลากเท้าที่เจ็บปวดกลับไปยังฝูงชนอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะเริ่มพูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่าเธอไม่ได้รู้สึกเจ็บเท้ามาก่อนเลย
“ยินดีด้วย! ฉันไม่คิดเลยว่าบริษัทของนายจะได้กลายเป็นซัพพลายเออร์ระดับ A ของทางกองทัพจริง ๆ เรื่องนี้จะช่วยยกสถานะของนายในพันธมิตรขึ้นจากเดิมเป็นอย่างมาก ว่าแต่นายคิดจะเล่าเรื่องนี้ให้ฉินหมางฟังเมื่อไหร่?” ทูรามกล่าวขณะที่เดินเข้ามาหาเซี่ยเฟย
“ผมคงจะรอจนกว่าทางสภาจะอนุมัติแล้วค่อยบอกเรื่องนี้กับคนอื่นครับ” เซี่ยเฟย
“สภาแค่จะเรียกนายไปสอบถามพอเป็นพิธีเท่านั้นแหละ ถึงแม้ว่ากรมทหารจะดูเหมือนอยู่ภายใต้การควบคุมของสภา แต่ในความเป็นจริงแล้วทางกองทัพก็มีสิทธิ์ที่จะดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ อย่างเป็นอิสระ หรือพูดง่าย ๆ ว่าอีกแค่ไม่กี่วันนายจะต้องได้รับแผ่นป้ายซัพพลายเออร์ระดับ A ของกองทัพอย่างแน่นอน” ทูรามกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
“นิโคลมีเบื้องหลังยังไงกันแน่ครับ? ผมยืนอยู่ตรงนี้เฉย ๆ แต่เธอเริ่มเข้ามาพูดคุยกับผมก่อนถึงสองครั้งแล้ว ผมคิดว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างจะผิดปกติอยู่บ้าง” เซี่ยเฟยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ไอ้หนูนี่นายไปติดนิสัยขี้ระแวงจากใครมา? ถึงได้คิดว่าการมีสาวสวยเข้ามาพูดคุยด้วยเป็นเรื่องที่ผิดปกติ” ทูรามกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ในจักรวาลนี้ไม่มีการกระทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลหรอกครับ” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
ทูรามเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนที่เขาจะได้จ้องมองไปทางนิโคลในระยะไกล ทันใดนั้นเซี่ยเฟยก็ได้พบว่าในแววตาของทูรามเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและความสงสาร
“เฮ้อ… จริง ๆ แล้วนิโคลเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารมาก” ทูรามกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นเขาก็ดื่มไวน์เข้าไปจนหมดแก้ว
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกสับสน เพราะถ้าหากว่าทายาทของตระกูลซอว์เยอร์เรียกว่าน่าสงสาร เด็ก ๆ ทั่วทั้งจักรวาลก็คงจะน่าสงสารมากยิ่งกว่า
หลังจากหยุดคิดไปชั่วครู่ ทูรามก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“นายคิดว่านิโคลกับแอวริลเหมือนกันไหม?”
“ตัวตนของพวกเธอค่อนข้างที่จะคล้ายกันครับ เพราะพวกเธอทั้งคู่ต่างก็เป็นทายาทคนสำคัญในตระกูล เพียงแต่แอวริลมีบุคลิกที่ค่อนข้างไร้เดียงสาและใช้ชีวิตโดยปราศจากความกังวล แต่นิโคลให้ความรู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่และเธอก็สามารถใส่หน้ากากพูดคุยกับนักธุรกิจคนอื่น ๆ ได้ในแบบที่แอวริลยังไม่สามารถจะทำแบบนี้ได้อย่างแน่นอน” เซี่ยเฟยกล่าว
“อันที่จริงมันมีเรื่องหนึ่งที่ทั้งสองคนเคยเจอมาเหมือนกัน นั่นก็คือพวกเธอเคยถูกใครบางคนลักพาตัวมาก่อน ฉันไม่รู้ว่านายสังเกตเห็นข้อมือของนิโคลไหม? รอยแผลเป็นบนข้อมือของเธอเป็นรอยแผลเป็นที่โจรลักพาตัวได้ทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น” ทูรามกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็เข้าใจขึ้นมาได้ในทันทีว่าทำไมนิโคลถึงจงใจใส่เครื่องประดับปกปิดข้อมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้
“ความแตกต่างเดียวของเหตุการณ์ลักพาตัวคือแอวริลโชคดีที่มีนายเข้าไปช่วยเหลือเธอได้ทัน ขณะที่นิโคลโดนจับตัวไปทรมานเป็นเวลานานและได้สร้างรอยแผลในจิตใจที่ไม่มีวันถูกลบเลือนได้ไปจากหัวใจของเธอ”
“ไม่ว่าอายุหรือภูมิหลังของพวกเธอจะเป็นยังไง แต่เธอกับแอวริลก็ได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกันมาก และการที่นายเข้าไปช่วยแอวริลเอาไว้ก็คงจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของนิโคลบ้างไม่มากก็น้อย”
เซี่ยเฟยเปลี่ยนเรื่องไม่พูดคุยถึงประเด็นนี้ต่อไป โดยพยายามถามทูรามถึงเรื่องของแอวริลแทน
“นี่เป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้ของงานเลี้ยงชนชั้นสูงที่เจ้าของงานจะต้องปรากฏตัวขึ้นมาในช่วงเวลาสำคัญ หลังจากนั้นจะเป็นช่วงเวลาของการเต้นรำ ฉันหวังว่านายจะได้เรียนการเต้นมาบ้างนะ”
“นี่คุณกำลังหมายถึง…” เซี่ยเฟยเริ่มกล่าวขึ้นมาด้วยความกระวนกระวาย
“ไอ้หนูนี่อย่าบอกนะว่าเอ็งเต้นรำไม่เป็น ถ้าอย่างนั้นคืนนี้นายก็เตรียมรับความอับอายไปได้เลย” ทูรามกล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
—
งานเลี้ยงค่อย ๆ ดำเนินไปจนถึงจุดไคลแมกซ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีแขก, บริกรและบอดี้การ์ดเป็นจำนวนมากได้มารวมตัวกันอยู่ในลานกว้างบนยอดเขา
จู่ ๆ เซี่ยเฟยก็มีความคิดขึ้นมาเล่น ๆ ว่าถ้าหากผู้ก่อการร้ายได้ระเบิดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันก็คงจะทำให้เศรษฐกิจทั่วทั้งพันธมิตรตกต่ำไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี ซึ่งตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้คงจะเป็นจำนวนที่ไม่สามารถประเมินค่าได้อย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่บนท้องฟ้าไม่ได้มีผู้ก่อการร้ายมีเพียงแต่ยานรบของตำรวจและทหารที่บินตรวจตราไม่มีหยุด เพราะถึงอย่างไรงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ก็มีความสำคัญมากเกินไป ซึ่งทางรัฐบาลก็ไม่สามารถที่จะปล่อยให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมาท่ามกลางงานเลี้ยงในวันนี้ได้
ในที่สุดหลี่โม่กับหลี่กวนก็ปรากฏตัวขึ้นมาในงานเลี้ยง โดยมีไป๋เย่และเยว่เกอเดินตามพวกเขามาอย่างเงียบ ๆ
หลี่กวนเริ่มทักทายแขกคนอื่น ๆ ด้วยใบหน้าที่ร่าเริง ขณะที่หลี่โม่เดินตามบิดาของตัวเองเข้าไปในงานเลี้ยงด้วยใบหน้าที่อึดอัด เพราะท้ายที่สุดเรื่องที่เขาพลาดแชมป์รายการโกลเดนฟิงเกอร์ก็ถูกแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งพันธมิตรแล้ว และมันก็เป็นเรื่องปกติที่คนพวกนี้จะเริ่มพูดจาลับหลังเขา
ไป๋เย่เป็นเหมือนกับผู้ติดตามของตระกูลหลี่อีกที เขาจึงเดินตามหลี่โม่ด้วยความเคารพในขณะที่เยว่เกอติดตามไป๋เย่มาด้วยความไม่พอใจ แต่ในระยะไกลพ่อกับแม่ของเยว่เกอก็กำลังจับจ้องมองการกระทำของเธออยู่
เห็นได้ชัดว่าการที่พวกเขาได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นระดับสูงในครั้งนี้ได้นั่นก็ไม่ใช่เพราะอิทธิพลของพวกเขาเอง ซึ่งการที่พวกเขามีโอกาสได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้นั่นก็เพราะอิทธิพลจากตระกูลหลี่ที่ให้พวกเขาเข้ามาในฐานะของผู้ติดตาม
เมื่อหลี่โม่กวาดสายตาไปเห็นเซี่ยเฟยที่มุมงานเลี้ยง เซี่ยเฟยก็ยกแก้วแชมเปญชูขึ้นมาทางหลี่โม่ด้วยรอยยิ้ม
การกระทำของเซี่ยเฟยทำให้หลี่โม่รู้สึกโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ แต่เขาก็จำเป็นจะต้องระงับความโกรธของตัวเองเอาไว้
“เซี่ยเฟย!”
ขณะเดียวกันเมื่อเยว่เกอได้เห็นเซี่ยเฟยเธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาสหายด้วยรอยยิ้ม โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของเธอในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
“ไอ้บ้าเซี่ย! ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ดูชุดของนายสินี่ฉันเกือบจะจำนายไม่ได้จริง ๆ นะเนี่ย” เยว่เกอเริ่มทักทายพร้อมกับตบบ่าของสหายอย่างแรง
“ฉันก็เกือบจะจำเธอไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหยิบแก้วแชมเปญจากบริกรมายื่นให้กับเธอ
“ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ยืนกรานที่จะลากฉันมา ฉันก็ไม่สนใจที่จะมาเข้าร่วมงานเลี้ยงกับไอ้คนน่ารำคาญแบบนี้หรอก!” เยว่เกอพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขยะแขยง
แน่นอนว่าไอ้คนน่ารำคาญที่หญิงสาวพูดถึงนั้นก็คือไป๋เย่ ซึ่งเซี่ยเฟยก็ไม่คิดจะถามอะไรในเรื่องนี้มากนักเพราะทุกคนต่างก็มีปัญหาเป็นของตัวเอง
“เยว่เกอมานี่หน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” ไป๋เย่รีบวิ่งมาจากทางด้านหลังพร้อมกับจับมือข้างหนึ่งของหญิงสาวเอาไว้ด้วยท่าทางที่ก้าวร้าว
เซี่ยเฟยรู้ดีว่าไป๋เย่ไม่ต้องการให้เยว่เกออยู่กับเขา แต่การกระทำของชายหนุ่มคนนี้ก็ยิ่งทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกรังเกียจไป๋เย่มากยิ่งขึ้น
“มีอะไรก็คุยกันตรงนี้เลยสิ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ใช่! มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา นายไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังคุยกับเซี่ยเฟยอยู่” เยว่เกอกล่าวพร้อมกับผลักไป๋เย่ให้ห่างออกไป
“เธอกำลังคุยอะไรกับมันอยู่กันแน่?” ไป๋เย่กล่าวขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“เรากำลังคุยเรื่องที่พวกเรามีความสัมพันธ์กันเมื่อครั้งที่แล้ว ตอนนั้นพวกเราทะเลาะกันตั้ง 17 ครั้งในคืนเดียวจนทำให้เหงื่อออกมาเปียกโชกกันไปหมด ว่าแต่คืนนี้เธอว่างไหม?” เซี่ยเฟยกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
เยว่เกอเป็นผู้หญิงใจกล้าหน้าด้านมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว และเธอก็รู้ดีว่าเซี่ยเฟยกำลังพยายามจะทำอะไรอยู่
“ว่างสิ แต่คราวนี้นายต้องเตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้พร้อมนะ พวกเรามาลองแต่งคอสเพลย์กันบ้างดีกว่า”
บทสนทนาระหว่างทั้งสองทำให้ไป๋เย่รู้สึกโกรธจนไม่สามารถจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะเขาไม่เคยคิดว่าเซี่ยเฟยจะเป็นคนที่ใจกล้าหน้าด้านมากขนาดนี้ และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโกรธมากยิ่งกว่าคือเยว่เกอไม่คิดที่จะปฏิเสธคำพูดของเซี่ยเฟยเลย
โชคดีที่ในครั้งนี้พ่อแม่ของเยว่เกอได้เดินทางมาด้วย ไป๋เย่จึงสามารถลากตัวหญิงสาวออกมาได้ซึ่งมันก็ทำให้เยว่เกอส่งเสียงพึมพำขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
ในขณะที่เซี่ยเฟยกำลังรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานเลี้ยงในวันนี้ จุดไคลแม็กซ์ของงานเลี้ยงก็ได้เดินทางมาถึง
เสียงดนตรีคลาสสิกเริ่มบรรเลงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ฝูงชนเงียบเสียงของพวกเขาลงอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นเออเนสก็เดินออกมาทางกลางเวทีเต้นรำโดยบนใบหน้าของเขานั้นถูกประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม
ด้านหลังของเออเนสมีแอวริลกับนิวแมนเดินตามมา ซึ่งในขณะนี้แอวริลอยู่ในชุดราตรีสีขาวเหมือนกับหิมะ โดยคอของเธอถูกสวมเอาไว้ด้วยสร้อยเพชรที่เปล่งประกายระยิบระยับและใบหน้าของเธอก็ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม
หญิงสาวเริ่มทักทายแขกต่าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม ซึ่งในระหว่างที่เธอได้พูดคุยกับแขกแต่ละคนเธอก็จะแสดงมารยาทและพูดคุยกับแขกคนนั้นด้วยวัฒนธรรมและภาษาที่แตกต่างกันออกไป
ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกตกตะลึง เพราะแอวริลสามารถปกปิดความไร้เดียงสาของเธอเอาไว้จนมิดและสามารถพูดคุยกับแขกคนต่าง ๆ ได้อย่างสง่างาม
ในตอนนี้เธอไม่ใช่สาวน้อยที่ชอบระบายความโกรธใส่ตุ๊กตาอีกต่อไป แต่เป็นคุณหนูผู้สง่างามผู้ซึ่งสามารถทำให้แขกภายในงานมองไปที่เธอด้วยความอิจฉาริษยา
เซี่ยเฟยรู้สึกว่าการรอคอยในวันนี้เป็นเรื่องที่คุ้มค่าแล้ว และมันก็ทำให้ทั้งเรื่องหลี่โม่ที่น่ารำคาญ, ข่าวดีที่ไทสันนำมาให้หรือเรื่องไร้สาระของเยว่เกอก็กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญอีกต่อไปเมื่อมีแอวริลได้มาปรากฏขึ้นตรงหน้า
ในสายตาของชายหนุ่มคล้ายกับผู้คนนับหมื่นได้หายไปในพริบตา หลงเหลือเพียงแค่แอวริลที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาเท่านั้น
“นายมัวทำอะไรอยู่!” ทูรามกล่าวพร้อมกับจับมือลากเซี่ยเฟยไปยังชั้นบนสุดของเวทีเต้นรำ
เมื่อแอวริลเห็นเซี่ยเฟยใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ในขณะนี้ใบหน้าของเซี่ยเฟยก็กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มเหมือนตกอยู่ในความฝันและถึงแม้ว่าเขาจะรู้มาตั้งนานแล้วว่าแอวริลคือสาวสวย แต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าหลังจากได้แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสมบูรณ์ หญิงสาวจะได้กลายเป็นสาวสวยที่งดงามมากขนาดนี้
เออเนสกำลังพูดปราศรัยอย่างเร่าร้อนและทำให้แขกที่มาร่วมงานกำลังปรบมือกันอย่างกระตือรือร้น แต่คำพูดพวกนั้นก็ไม่ได้เข้าหูของเซี่ยเฟยเลยแม้แต่น้อย เพราะเขากำลังรู้สึกว่าโลกทั้งใบมีแอวริลอยู่เพียงแค่คนเดียว
เหล่าแขกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงเริ่มให้ความสนใจเซี่ยเฟยกับแอวริลมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมันก็มีแขกหลายคนกำลังมองมาที่พวกเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา โดยเฉพาะหลี่โม่ที่กำลังกัดฟันและกำมือแน่นโดยพยายามเก็บอารมณ์ความโกรธเอาไว้ภายในใจ
เมื่อเพลงเต้นรำเพลงแรกได้ดังขึ้นในที่สุดจุดไคลแม็กซ์ของงานเลี้ยงก็เดินทางมาถึง ซึ่งเจ้าภาพจะต้องเป็นคนเดินเข้าไปเลือกคู่เต้นรำของตัวเอง และแน่นอนว่าแอวริลย่อมเลือกเดินเข้าไปโค้งคำนับเพื่อขอเต้นรำกับเซี่ยเฟยอย่างแน่นอน
***************
พ่อหนุ่มคลั่งรักกกก อะไรจะสวยงามขนาดน๊านนนน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 152
แสดงความคิดเห็น