บทที่ 230: อย่าได้พบกันอีก

-A A +A

บทที่ 230: อย่าได้พบกันอีก

“เด็กโง่” มู่จวินฝานเช็ดน้ำตาให้น้องสาวพร้อมกับกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า พี่คงจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่กัดคนไม่เลือกหน้าไปแล้ว” 

“ไป๋ไป่ เจ้าช่วยชีวิตพี่ใหญ่เอาไว้”

เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินสิ่งที่พี่ชายคนโตพูด เธอก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

“ทำไมเจ้าถึงยังร้องไห้อยู่อีก…” ขณะที่มู่จวินเซิ่งมองดูเด็กน้อยร้องไห้เช่นนี้ เขาก็ถอนหายใจก่อนจะพูดติดตลกขึ้นมาว่า “ทำอย่างกับว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้ว”

  จากนั้น 3 พี่น้องตระกูลมู่ก็พูดคุยกันอยู่ภายในกระโจม ซึ่งเป็นภาพที่ดูอบอุ่นยิ่งนัก

ตามคำแนะนำของเจียงเหยา มู่ไป๋ไป่กับมู่จวินเซิ่งรีบขอตัวลาแล้วออกจากกระโจมของมู่จวินฝานมาในเวลาไม่นาน

“พี่รอง ท่านคิดที่จะปล่อยฮ่องเต้หนานซวนไปจริง ๆ หรือ?” เด็กหญิงจับมือใหญ่ของพี่ชายคนรองแล้วถามขึ้นมาในระหว่างที่เดินกลับ “มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาก่อสงครามอีกครั้ง?”

“นั่นคือสิ่งที่เสด็จพ่อต้องการให้เราแก้ปัญหา” มู่จวินเซิ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “เดิมทีข้ามีความกังวลเช่นเดียวกับเจ้า แต่เสด็จพ่อบอกว่าเรามีเทพสงครามแห่งเป่ยหลงอยู่ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร”

“เทพสงคราม?” มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยความสับสน “ใครหรือเพคะ? หรือว่าจะเป็นแม่ทัพจ้าว!”

อย่างไรก็ตาม เธอเคยได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับแม่ทัพจ้าว แต่จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เคยได้เจอตัวจริงของเขาเลย

“ไม่ใช่” มู่จวินเซิ่งส่ายหัว “เป็นเสด็จอาต่างหาก”

“!!!” คนตัวเล็กตกตะลึงไปประมาณ 2 อึดใจ ก่อนจะหันไปมองคนพูดด้วยสายตาเหลือเชื่อ “เซียวถังอี้เนี่ยนะ! เขาเป็นเทพสงครามหรือ?”

ก่อนหน้านี้เธออยากจะบอกว่าผู้ชายจอมเจ้าเล่ห์คนนี้ที่รู้จักแต่วิธีหาความสำราญให้กับตัวเอง แถมยังทำตัวเสเพลไปทั่วจะเป็นเทพสงครามได้อย่างไร แต่แล้วเธอก็นึกถึงภาพในระหว่างที่อีกฝ่ายลอยลงมาจากท้องฟ้าเพื่อช่วยเธอจากศัตรู

ในเวลานั้น ทหารทุกคนในสนามรบสวมชุดเกราะหนัก มีเพียงเซียวถังอี้เท่านั้นที่สวมเสื้อผ้าสีดำและหน้ากากเงิน แต่เพียงแค่นั้นมันก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น

แท้จริงแล้ว… เธอไม่อยากจะยอมรับว่า ตัวเขานั้นพอจะมีรัศมีของเทพสงครามอยู่บ้าง

 “ข้าเกือบลืมไปเลย เจ้าคงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเสด็จอาสักเท่าไหร่” มู่จวินเซิ่งเกาหัวตัวเองก่อนจะเล่าถึงชัยชนะที่เซียวถังอี้เคยได้รับมาก่อน

“ถึงแม้ว่าเสด็จอาจจะไม่ได้มีตำแหน่งอยู่ในกองทัพที่ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะต่อสู้อยู่ในสนามรบ ขอเพียงแค่เขาลงมือ ศัตรูนับหมื่นนับแสนก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้”

มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินคำบอกเล่าถึงกับตกตะลึง

และเธอรู้สึกว่าตนไม่ควรดูถูกเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นอีก

ด้วยเหตุนี้ในวันรุ่งขึ้น เซียวถังอี้ที่เพิ่งกลับมาจากการดื่มในเมืองสุราก็ได้รับการต้อนรับด้วยดวงตาเป็นประกายคู่โตของเจ้าตัวเล็ก

“เสด็จอา!” มู่ไป๋ไป่เดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับถือชาร้อนในมือ “ท่านดื่มชาร้อน ๆ หน่อยเถอะ!”

เธอต้องประจบประแจงคนที่ทรงพลังเช่นนี้เอาไว้

ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเธอหูหนวกตาบอด!

ดวงตาคมกริบที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีเงินหรี่ลงเล็กน้อย เด็กหนุ่มเหลือบมองชาร้อน ๆ ที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นเขาก็มองใบหน้ากลมมนที่กำลังพยายามประจบประแจงเขาอย่างเห็นได้ชัดของเจ้าตัวแสบพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าไปก่อเรื่องอะไรมา?”

“...”

 “เจ้าเพิ่งกลับมาได้แค่วันเดียวเอง นี่คิดจะก่อเรื่องอีกแล้วหรือ?” เซียวถังอี้หยิบถ้วยชาขึ้นมาและเอ่ยปากสั่งสอน “สมองน้อย ๆ ของเจ้ามันมีอะไรอยู่ในนั้นกันแน่ เช่นนี้ข้าควรปล่อยให้เจ้าทุกข์ทรมานอยู่ในหนานซวนเพิ่มอีกสัก 2-3 วันก็ดี”

“ข้าไม่ได้สร้างปัญหาอะไรเลยนะ!” มู่ไป๋ไป่รีบหยุดยั้งคำบ่นที่ออกมาจากปากของอีกฝ่ายและพร่ำบอกกับตัวเองว่า ถ้าเธอต้องการจะเลียแข้งเลียขาผู้ที่แข็งแกร่ง เธอจะต้องแบกรับความอัปยศอดสูให้ได้ “เสด็จอา! ครั้งนี้ข้าได้รับบทเรียนแล้ว”

เด็กหนุ่มเหลือบมองเด็กน้อยสักพักก่อนจะพูดว่า “ยิ่งแปลกมากไปอีก”

“...”

โอ๊ย! วันนี้จะได้คุยกันดี ๆ ไหมเนี่ย!

เมื่อเซียวถังอี้เห็นมู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วเล็ก ๆ ด้วยท่าทางน่ารัก ดวงตาของเขาก็เป็นประกายสดใส

จากนั้นเขาก็ซ่อนรอยยิ้มโดยการยกชาขึ้นมาดื่ม ก่อนที่เขาจะพูดเสียงเรียบว่า “มู่จวินเซิ่งคิดที่จะปล่อยฮ่องเต้หนานซวนไปเมื่อไหร่?”

“ท่านรู้ได้อย่างไร?” เด็กหญิงรู้สึกประหลาดใจแล้วถามออกไปทันที

มู่จวินเซิ่งบอกเธอเมื่อคืนนี้ว่ามู่เทียนฉงคิดที่จะปล่อยฮ่องเต้หนานซวนไป ดังนั้นเซียวถังอี้ย่อมรู้เรื่องนี้ด้วยอย่างแน่นอน

แล้วเธอก็เล่าออกไปตามตรงว่าเมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้นในตอนที่คนของหนานซวนมาขอเจรจาสงบศึก

“พี่รองให้เวลาพวกเขา 3 วัน” มู่ไป๋ไป่พูดพลางเกาหัวเบา ๆ “ข้าไม่รู้ว่าเดิมทีพี่รองคิดที่จะปล่อยฮ่องเต้หนานซวนอยู่แล้ว เสด็จอา แล้วเงื่อนไขที่ข้าเสนอให้พวกเขานำเมืองมาแลก 5 เมืองมันมากเกินไปหรือไม่?”

ถ้าฝ่ายหนานซวนไม่เห็นด้วย พวกเขาจะยอมอยู่เฉยหรือไม่?

แล้วแบบนี้เราควรจะทำเช่นไรต่อไป?

“เพียงแค่ 5 เมืองเองหรือ?” เซียวถังอี้หัวเราะ “ถ้าเป็นข้า ข้าจะให้พวกมันยกดินแดนให้ 10 เมือง”

“...”

เซียวถังอี้พูดถูก ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน แม่ทัพหลี่กลับมาพร้อมกับคนของเขาอีกครั้ง และคราวนี้เขาก็ได้นำแผนที่ของเมืองทั้ง 5 มาโดยตรง

ส่วนมู่ไป๋ไป่แอบนั่งย่อตัวอยู่ข้างนอกกระโจมคอยแอบฟังพวกเขาหารือกัน

“องค์หญิง นี่คือองุ่นที่ล้างมาเรียบร้อยแล้วเพคะ” หลัวเซียวเซียวยื่นพวงองุ่นมาให้อีกฝ่าย “องุ่นของที่นี่หวานมากเลยเพคะ”

“งั่ม… อื้มมม” เด็กหญิงหยิบมากิน 1 ลูก แล้วความหวานสดชื่นก็แพร่กระจายไปทั่วปากของเธอ “มันหวานจริง ๆ ด้วย”

“ใช่หรือไม่เพคะ?” หลัวเซียวเซียวรู้สึกมีความสุขที่เห็นผู้เป็นนายกินผลไม้ที่ตนนำมาให้อย่างเอร็ดอร่อย “ถ้าเช่นนั้นเราเอากลับเมืองหลวงกันด้วยดีหรือไม่เพคะ จะได้เอาไปฝากหว่านผิน ให้พระสนมได้ลิ้มรสองุ่นหวาน ๆ”

“เจ้าเด็กโง่ เจ้าไม่สามารถขนส่งองุ่นไปถึงเมืองหลวงได้หรอกนะ” มู่ไป๋ไป่เคาะหัวอีกคนเบา ๆ “พอเราถึงเมืองหลวง องุ่นพวกนี้คงจะเน่าไปก่อนแล้ว”

“เฮ้อ… นี่เรากำลังจะกลับเมืองหลวงแล้วจริง ๆ หรือ?”

“ที่ผ่านมาช่างเหมือนฝันเลย”

ตั้งแต่ที่เธอมาถึงเมืองชายแดน จนกระทั่งถูกคนของหนานซวนจับตัวไป จากนั้นหนานซวนก็เดินทางมาขอเจรจาสงบศึก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเธอรู้สึกตั้งตัวไม่ทัน พอรู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับเมืองหลวงแล้ว

“เพคะ” หลัวเซียวเซียวพยักหน้าเห็นด้วย แล้วถามอย่างสงสัยว่า “องค์หญิงไม่มีความสุขหรือเพคะที่เราจะได้กลับเมืองหลวง ก่อนหน้านี้องค์หญิงไม่ได้บอกไว้หรือว่าคิดถึงขนมที่พ่อครัวหลวงทำ?”

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีความสุข” มู่ไป๋ไป่มองไปที่ค่ายทหารที่มีคนเดินพลุกพล่าน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแค่รู้สึกว่าข้าอยากจะอยู่ต่ออีกสักหน่อย”

ในวังหลวงนั้นก็ดี แต่ระหว่างในวังหลวงกับโลกภายนอก แน่นอนว่าเธอเลือกโลกภายนอกโดยไม่ลังเลเลยสักนิด

หลังจากที่ได้กลับไปยังวังหลวงในครั้งนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าจะได้ออกมาอีกเมื่อไหร่

นอกจากนี้ เธอยังตกลงกับเจียงเหยาเอาไว้แล้วว่าจะไปร่ำเรียนกับนางด้วย

มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วถอดถอนหายใจกับตัวเอง

เมื่อหนานซวนกับเป่ยหลงเจรจาสงบศึกได้สำเร็จ ฮ่องเต้หนานซวนก็ถูกส่งตัวกลับทันที

ในวันที่เขาจะออกเดินทาง มู่ไป๋ไป่กำลังนอนอาบแดดอยู่บนกองฟางโดยมีจื่อเฟิงและหลัวเซียวเซียวอยู่เคียงข้าง

ในตอนที่คนตัวเล็กเหลือบมองไปข้างหลัง เธอก็เห็นฮ่องเต้หนานซวนยืนอยู่ด้านหลังซึ่งเขายืนมองเธอโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ

“อ๊ะ! หม่อมฉันตกใจแทบตาย!” มู่ไป๋ไป่มองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตารังเกียจ “พระองค์คิดจะทำอะไร หม่อมฉันขอบอกเลยนะว่าที่นี่คือค่ายทหารของเป่ยหลง ถ้าพระองค์คิดจะทำอะไรหม่อมฉัน พี่ใหญ่ พี่รอง แล้วก็เสด็จอาจะจัดการพระองค์แน่!”

“ข้ามาที่นี่เพื่อบอกลาเจ้า” ฮ่องเต้หนานซวนมองเด็กหญิงด้วยสายตาละห้อย “แล้วพบกันใหม่”

“ลาแล้วลาลับอย่าได้พบกันอีกเลย!” คนตัวเล็กรีบแก้ไขคำพูดของเขา “หม่อมฉันไม่อยากเจอพระองค์อีกแล้ว!”

เธอคิดว่าการแสดงของตัวเองนั้นดีมาก แต่เมื่อเทียบกับฮ่องเต้หนานซวน ฝีมือการแสดงของเธอดูเด็กน้อยไปเลย

เขาเป็นเจ้าจอมแผนการมากจนเธอไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก

“จริงหรือ?” เด็กหนุ่มพูดพลางขมวดคิ้ว “มู่ไป๋ไป่ เจ้าจำที่ข้าพูดไม่ได้เลยหรือ ข้าบอกไปแล้วว่าข้าอยากเป็นสหายกับเจ้าจริง ๆ”

“หม่อมฉันเชื่อพระองค์ก็แปลกแล้ว” มู่ไป๋ไป่จ้องหน้าเขาเขม็ง “พระองค์บริสุทธิ์ใจจริง ๆ หรือ? ก่อนหน้านี้ถ้าเสด็จอามาช้ากว่านี้ หม่อมฉันคงจะถูกพระองค์วางยาพิษไปแล้ว!”

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.