บทที่ 231: กลับวังหลวง

-A A +A

บทที่ 231: กลับวังหลวง

“พระองค์ควรรีบกลับไปได้แล้ว หม่อมฉันเบื่อขี้หน้าพระองค์ ไม่อยากเห็นหน้าพระองค์อีก” มู่ไป๋ไป่เอ่ยปากไล่เขาออกไปด้วยท่าทางรังเกียจ

ทางด้านฮ่องเต้หนานซวนกลับไม่ได้รู้สึกโกรธเลย เขาเพียงแค่มองเด็กหญิงด้วยสายตาลึกซึ้งก่อนจะหันหลังเดินจากไป และนำคนของหนานซวนเดินออกจากค่ายทหารเป่ยหลง

 “องค์หญิง เหตุใดฮ่องเต้หนานซวนถึงทำตัวแปลกประหลาดเช่นนี้เพคะ?” หลัวเซียวเซียวมองตามหลังชายคนนั้นไปโดยไม่ละสายตาเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้ามาโจมตีองค์หญิงหกของนางอย่างกะทันหัน

 “เขามันก็แค่คนบ้า” มู่ไป๋ไป่เม้มปากแน่น “ถ้าต่อไปเจ้าเจอเขา ให้พยายามเลี่ยง ไม่สิ เราไม่น่าจะได้เจอเขาอีก!” 

 “นั่นถือว่าโชคดี…” 

 “พรุ่งนี้เราจะกลับเมืองหลวงแล้ว เจ้าเก็บสัมภาระเรียบร้อยหรือยัง?” คนตัวเล็กเปลี่ยนเรื่องพูด

 “เรียบร้อยแล้วเพคะ” หลัวเซียวเซียวพยักหน้า “หม่อมฉันอยากจะนำของฝากไปให้หว่านผินด้วยเพคะ” 

 “เอาไว้เราไปหาซื้อของฝากกันระหว่างทางเถอะ” มู่ไป๋ไป่ลุกขึ้นปัดหญ้าบนตัวออกก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่ที่หนึ่ง ตามข้ามา” 

 “พระองค์จะไปไหนหรือ?” จื่อเฟิงเงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัย “พระองค์อยากกินอะไรอร่อย ๆ หรือไม่?” 

 “ท่านนี่ก็รู้จักแต่กิน!” เด็กหญิงดุพร้อมกับทำหน้าเอือมระอา

เด็กหนุ่มที่ถูกดุเกาแก้มตัวเองด้วยความสับสน

 “ไปบอกลาต่างหาก!” มู่ไป๋ไป่ตะโกนขึ้นพร้อมกับกระโดดออกจากกองฟาง “พวกเจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าข้าพาสัตว์กลุ่มหนึ่งติดตามมาด้วย!” 

หลัวเซียวเซียวกับจื่อเฟิงทำหน้าประหลาดใจ พวกเขาลืมเรื่องของสัตว์กลุ่มนั้นที่เดินทางตามพวกเขามาจากเมืองหลวงไปเสียสนิท

แล้วมู่ไป๋ไป่ก็เดินกลับไปที่กระโจมของตัวเองก่อนจะลากเจ้าส้มที่นอนอยู่ออกมาจากเตียง จากนั้นก็พากันเดินไปที่ป่าซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล

ปัจจุบันหนานซวนกับเป่ยหลงได้สะสางเรื่องราวระหว่างกันเรียบร้อยแล้ว ป่าที่อยู่บริเวณชายแดนจึงกลับคืนสู่ความสงบสุขเช่นกัน

ในตอนที่มู่ไป๋ไป่ออกมาขุดหาโสมก่อนหน้านี้ เธอก็คุ้นเคยกับป่าแห่งนี้ไปแล้ว ในไม่ช้าเธอก็พบพวกเสือและสัตว์ตัวอื่น ๆ

 “คารวะท่านจ้าวอสูร!” สัตว์ทั้งหลายที่พบเด็กหญิงต่างพากันโค้งคำนับด้วยความเคารพ ซึ่งฉากที่ปรากฏดูน่าตื่นตาตื่นใจมาก “ท่านจ้าวอสูร ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” 

 “เราได้ยินมาว่าฝ่ายพวกท่านเอาชนะการต่อสู้ในครั้งนี้มาได้ ข้าขอยินดีกับท่านด้วย” 

 “ขอบคุณเจ้ามาก” มู่ไป๋ไป่รับคำโดยไม่มีพิธีรีตอง จากนั้นก็หาหินก้อนหนึ่งมานั่งขัดสมาธิบนหินแล้วคุยกับสัตว์ต่าง ๆ “ในเมื่อสงครามจบลงแล้ว ข้าจำเป็นจะต้องกลับเมืองหลวง” 

 “เพราะฉะนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อบอกลาพวกเจ้า” 

 “พวกเจ้าไม่ต้องห่วง หลังจากกลับถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าจะหาวิธีส่งเหล่าสหายของพวกเจ้ามาที่นี่” 

 “ขอบคุณท่านจ้าวอสูร” พวกสัตว์ต่างรู้สึกขอบคุณมู่ไป๋ไป่จากใจจริง ซึ่งความรู้สึกนี้มีมาตั้งแต่ที่พวกมันตัดสินใจเดินทางมายังชายแดนพร้อมกับนางแล้ว 

ตลอดทั้งชีวิตพวกมันไม่เคยเดินทางไกลเช่นนี้มาก่อน

พวกมันไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตนเองจะสามารถมาถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็เป็นไปตามที่ท่านจ้าวอสูรให้คำมั่นเอาไว้

 “ท่านจ้าวอสูร หากไม่มีท่าน พวกเราคงไม่สามารถกลับมายังบ้านเกิดของเราได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้” เสือโคร่งเดินเข้ามาโค้งคำนับให้กับมู่ไป๋ไป่ ก่อนที่มันจะกล่าวต่อว่า “ข้าขอเป็นตัวแทนของเผ่าเสือ ข้าขอให้คำมั่นว่าเผ่าเสือจะจงรักภักดีต่อท่านตลอดไป” 

 “เผ่าสิงโตก็ด้วย...” 

 “เผ่านี้ก็จะจงรักภักดีต่อท่านตลอดไป” 

สัตว์น้อยใหญ่ได้ให้คำสัญญากับมู่ไป๋ไป่ แต่หลังจากที่เธอคุยกับเจ้าส้มครั้งที่แล้ว เธอก็เข้าใจว่าการกระทำนี้ไม่ใช่เพียงสัญญาปากเปล่า แต่มันเป็นการทำสัญญาระหว่างสัตว์และจ้าวอสูร

ตราบใดที่เธอยอมรับมัน สัญญานี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์

แล้วพวกมันก็จะไม่สามารถทำผิดสัญญาได้

 “พวกเจ้าเต็มใจจริง ๆ หรือ?” เด็กหญิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันสำคัญมาก

 “ใช่แล้วท่านจ้าวอสูร” สัตว์ทั้งหลายมองคนตัวเล็กด้วยสายตาเทิดทูน “หากท่านจ้าวอสูรคือท่าน พวกเราก็ยินดีที่จะภักดีต่อท่านตลอดไป” 

มู่ไป๋ไป่มองดูเหล่าสัตว์ ในไม่ช้าความรู้สึกตื้นตันใจก็บังเกิด “เพียงแค่พวกเจ้าเอ่ยปากสัญญา แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว” 

 “เจ้าไม่คิดจะทำสัญญากับพวกเขาหรือ?” จู่ ๆ เจ้าส้มก็ถามขึ้นมาอย่างเป็นกังวล “ชิ เจ้าคนโง่ นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวอสูรที่มีมาหลายชั่วอายุคนอยากจะทำสัญญากับสัตว์ทุกตัว…” 

 “นั่นมันคนอื่น ไม่ใช่ข้า!” เด็กหญิงยักไหล่ด้วยท่าทางเมินเฉย “ก่อนหน้านั้นข้าไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องทำสัญญากับเจ้าหนูน้อย แต่ข้าก็ไม่ชอบการบังคับคนอื่นอยู่ดี” 

 “แล้วอีกอย่าง พวกเขาบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะภักดีต่อข้าตลอดไป?” 

 “แล้วมันสำคัญตรงไหนว่าเราจะทำสัญญากันหรือไม่” 

 “นี่เจ้า!” แมวอ้วนตวัดตามองคนพูด “มู่ไป๋ไป่ นี่เจ้าทำข้าโมโหได้เก่งมากจริง ๆ ทำไมคนอย่างเจ้าถึงโง่ได้มากถึงเพียงนี้!” 

 “เอาน่า” คนตัวเล็กลูบหัวเจ้าส้มเบา ๆ แล้วยิ้มให้เหล่าสัตว์ที่กำลังทำหน้าเหลือเชื่อพวกนั้น “พวกเจ้าจำสิ่งที่พวกเจ้าพูดในวันนี้ให้ดี หากในอนาคตข้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะเรียกหาพวกเจ้าเอง” 

 “หากในเวลานั้นพวกเจ้ายังยินดีที่จะช่วยข้า ก็ให้พวกเจ้ามายืนอยู่เคียงข้างข้า” 

 “แต่หากพวกเจ้าไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร” 

ขณะนี้สัตว์ทุกตัวมองมู่ไป๋ไป่อย่างเหม่อลอย ที่ผ่านมาพวกมันถูกมนุษย์เอารัดเอาเปรียบมาตลอด พวกมันไม่เคยพบเจอมนุษย์ที่ทำแบบนี้กับพวกมันมาก่อนเลยในชีวิต 

 “เอาล่ะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว” เด็กหญิงยืนขึ้นแล้วโบกมือลาเป็นครั้งสุดท้าย “ข้าได้บอกเรื่องนี้กับพี่รองเอาไว้แล้ว เขาจะส่งคนมาคอยคุ้มกันป่าแห่งนี้เอาไว้ หลังจากนี้จะไม่มีใครกล้าทำร้ายพวกเจ้าอีก” 

 “หากพวกเรายังมีวาสนาต่อกัน เอาไว้พบกันใหม่ครั้งหน้า” 

มู่ไป๋ไป่กล่าวอำลาจบแล้วก็หันหลังเดินจากไป

… 

วันรุ่งขึ้น องค์รัชทายาทและคนอื่น ๆ ก็ออกเดินทางมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง

ทางด้านมู่จวินเซิ่งยังคงต้องอยู่ที่ชายแดนต่อไปเพราะตำแหน่งหน้าที่ของเขา

ส่วนการเดินทางกลับนั้นช่างแตกต่างจากตอนขามาโดยสิ้นเชิง

เดิมทีการเดินทางกลับเมืองหลวงจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน แต่พวกเขาต้องใช้เวลาถึง 2 เดือน เนื่องจากพวกเขาแวะเที่ยวตามรายทางมาตลอดจึงทำให้ล่าช้าไปยิ่งกว่าเดิม 

เมื่อมู่ไป๋ไป่กลับมาถึงเมืองหลวง ที่นั่นก็มีหิมะตกแล้ว

 “โอ้โห หิมะ!” หลัวเซียวเซียวมองหิมะที่ตกลงมานอกหน้าต่างอย่างตื่นเต้น “องค์หญิง ดูสิเพคะ หิมะตกแล้ว!” 

ตั้งแต่ทะลุมิติมายังโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ไป๋ไป่ได้เห็นหิมะ เธอจึงยื่นมือออกไปคว้าเกล็ดหิมะ “หิมะพวกนี้หนามากจริง ๆ … เราจะสามารถปั้นตุ๊กตาหิมะท่ามกลางหิมะที่ตกหนักขนาดนี้ได้หรือไม่?” 

 “พระองค์ไปอยู่ที่ไหนมา?” อวี้เซิ่งที่บังเอิญเดินผ่านรถม้าพูดขัดจังหวะ “นี่ไม่ใช่หิมะที่ตกหนักที่สุด พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว องค์หญิงหก ดูเหมือนว่าพระองค์จะเกิดในช่วงเวลาที่หิมะตกหนักที่สุดไม่ใช่หรือ?” 

 “นี่ก็ใกล้วันเกิดของพระองค์แล้ว” 

 “ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกาย “พอถึงวันเกิด ข้าก็จะอายุ 5 ขวบแล้ว!” 

ประโยชน์ของการเดินทางในครั้งนี้ก็คือเธอโตขึ้นอีก 1 ปี

เด็กหญิงรู้สึกว่าตัวเองดูเหมือนจะเข้าใกล้อิสระเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง

สิ่งที่เธอบอกกับหลัวเซียวเซียวก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่เธอคิดจริงจัง

หลังจากที่เธอโตขึ้น เธอต้องการจะออกจากวังหลวงไปท่องโลกอันกว้างใหญ่แห่งนี้

เวลาผ่านไปไม่นาน รถม้าก็เดินทางมาถึงวังหลวง แต่วังหลวงมีกฎเคร่งครัดก็คือไม่สามารถนำรถม้าเข้าไปด้านในได้ ซึ่งแม้แต่มู่ไป๋ไป่ก็ไม่มีข้อยกเว้น

ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องลงจากรถม้าพร้อมกับเสื้อคลุมตัวหนา

พอเธอต้องออกจากที่คุ้มกัน เธอก็หมดความรู้สึกตื่นเต้นต่อหิมะเนื่องจากความหนาวเหน็บที่ถาโถมเข้ามา 

 “โอ๊ย หนาวชะมัด! ช่วยข้าด้วย ท่านพี่รัชทายาท! เสด็จอา! ข้าคิดว่าหูของข้าน่าจะหลุดไปแล้ว!” มู่ไป๋ไป่กระชับเสื้อคลุมสีขาวจนมีเพียงใบหน้าเล็ก ๆ โผล่ออกมาเท่านั้น

มู่จวินฝานที่เห็นท่าทางน่ารักนั้นก็หัวเราะและส่ายหัวให้กับน้องสาว ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากบอกให้นางรอสักครู่ ก็มีคนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

 “มาให้เราดูหน่อยว่าใบหูของไป๋ไป่หลุดไปแล้วหรือยัง?” 

 “ท่านพ่อ!” 

มู่ไป๋ไป่หันไปเห็นร่างในชุดสีเหลืองสดใสกำลังก้าวเข้ามา

หลังจากที่ไม่ได้เจออีกฝ่ายมานานเกือบครึ่งปี เธอก็รู้สึกว่ามู่เทียนฉงดูเหมือนจะเปลี่ยนไป แต่ก็คลับคล้ายคลับคลาว่ายังเหมือนเดิม

 “เจ้าสูงขึ้นแล้ว” ฮ่องเต้หนุ่มอุ้มลูกสาวขึ้นมาเขย่าเบา ๆ คล้ายกำลังชั่งน้ำหนัก “แล้วก็ยังหนักขึ้นด้วย” 

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย ในที่สุดก็ได้กลับวังกันแล้ว

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.