Paradise Lost | สวรรค์ล่ม
มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร?
คำถามสั้นๆนี้ถูกถามขึ้นมาเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือมีความพยายามที่จะตอบคำถามนี้อย่างมากมายและท่วมท้น หลักฐานที่เห็นได้จากอะไร
ศาสนา
ศาสนาเป็นชุดคำตอบเพื่อตอบคำถามว่าเราเป็นใคร เราเกิดมาเพื่ออะไร และ เราควรจะทำอะไร เป็นหลักสูตรที่คอยกำหนดการใช้ชีวิต วิธีคิด วิธีการมองสิ่งต่างๆรอบตัว บ้างก็ได้รับการยอมรับ บ้างก็ถูกใส่ไคล้ว่าเป็นลัทธิผีบ้าป่าเถื่อน มีอันต้องอัปเปหิตน หลบเร้นจากสังคมไปเพื่อเสพสมการแนวคิดที่เขาพึงใจอยู่เพียงลำพัง
หลักสูตรเหล่านี้มีให้เห็นทั่วไปแล้วแต่ใครจะสมาทาน ดูดกลืนและสวมทับจิตวิญญาณของสิ่งเหล่านั้นเข้าไป
แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะกลืนกินมันเข้าไปโดยที่ไม่สำรอกออกมา
เป้าหมายของแทบทุกหลักสูตรย่อมใฝ่ฝันหายถึงจุดสูงสุดในชีวิต สุขสุดขั้วหัวใจ แต่ช่องทางนั้นจะต้องบริสุทธิ์เพียงพอ หลายหลักสูตรกล่อมประสาทให้ผู้คนอยากไปยังดินแดนสรวงสวรรค์ของพระเจ้า ไม่ว่าที่นั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่
แต่ใครล่ะจะไม่อยากไปสวรรค์
ใช่ไหมครับ?
ในบรรยากาศใกล้อาทิตย์อัสดง เด็กชายในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อก้าวเดินอย่างเชียบช้าและใจเย็น กล้ามเนื้อแขนของเขาอ่อนล้าเล็กน้อยเพราะการที่ต้องแบกเนื้อวัวสดชิ้นหนาสามกิโลเดินทางขึ้นเขากลับบ้านก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่ดูแข็งแรงกว่าเด็กนักเรียนรุ่นเดียวกันก็ตามที
ความรู้สึกเปียกชื้นนั้นทำให้เขาค่อนข้างรำคาญ เหงื่อเม็ดน้อยผุดออกมาจากหน้าผาก พวงแก้ม ภายใต้วงแขนที่เต็มไปด้วยขนอุย แผงอกภายในเสื้อนักเรียนที่กำลังไหลลงไปผ่านกล้ามเนื้อส่วนท้องจนไปหยุดซึมที่ไรขนอ่อน
แม้แต่กระทั่งในร่มผ้าก็รู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นภายใน กางเกงชั้นของเขาไม่ใช่ของดีนักเป็นเพราะฐานะที่บ้าน หลายครั้งที่อากาศถ่ายเทไม่ดีก็ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
แต่ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยของการเดินขึ้นเขาหรอก เขารู้ดี นี่คือบ้านของเขา ขึ้นมาตั้งแต่เกิดทำไมจะไม่รู้ว่า…เหงื่อเหล่านี้หลั่งออกมาจากความกลัวภายใน
คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายไหมครับ?
เขาลองถามตัวเองในขณะที่หยิบแอปเปิลจากกระเป๋านักเรียนออกมา มันยังดูสดใหม่เหมือนกับที่ได้มาจากตลาดในตอนเช้า แน่นอนว่าเขาหยุดพักแล้ว พักเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังใจสั่นเกินไปและไม่มีสติเพียงพอที่จะเดินต่อ เขาหย่อนร่างลงข้างทางซึ่งไม่ห่างจากบ้านมากนัก วันนี้ลมเย็นดีทีเดียว
เขาก้มมองแอปเปิลลูกนั้นอย่างพินิจพิจารณาพอสมควร
ใบมีดกริชปักลงไปในเนื้อของแอปเปิล เปิดเปลือกสีแดงชาดให้เห็นมวลเนื้อสีนวล จากที่ผ่านมาคุณคงทราบแล้วว่าเขาเป็นเด็กนักเรียน ไม่มีนักเรียนที่ไหนพกกริชไปโรงเรียนหรอก
ยกเว้นเขา
ไม่ใช่เรื่องศาสนา แต่หลังจาก คังดงโฮ พี่ชายของเขาตายไปเมื่อสิบปีก่อน นอกจากจะทำให้พ่อแม่ของเขากลายเป็นศพที่เดินได้แล้ว ยังทำให้เขาไม่รู้สึกปลอดภัยอีกต่อไป ร่ายกายที่ดูแข็งแรงกำยำไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย เมื่อจิตใจหยาบช้าของไอ้พวกเด็กเวรพวกนั้นมันเลวร้ายกว่ากันมาก ที่พูดนี่ไม่ได้เรียกร้องความเห็นใจหรอกนะ แต่แค่อยากอธิบายว่ามีดกริชมีประโยชน์อย่างไร
ประเดี๋ยวจะมองเขาเป็นคนวิตถารไปเสียอีกคน
เหตุการณ์จี้ไถตังนักเรียนในซอยเปลี่ยวแถวโรงเรียนที่มีข่าวว่าเหยื่อนักเรียนชายโดนรุมกระทืบปางตายเมื่อสามปีก่อน ผอ.โรงเรียนออกมาบอกว่าข่าวทั้งหมดเป็นข่าวหลอก ไม่มีนักเรียนถูกกระทืบปางตาย เขาก็เชื่อผอ.ว่าหลอก
แกนั่นแหละที่หลอก อีแก่ตัณหากลับ
เป็นเขาเองที่โดนรุมวันนั้น
ไม่อยากรื้อฟื้นขึ้นมาให้มันช้ำอกช้ำใจนักแต่เอาเป็นว่าวันนั้นเจ็บหนักทีเดียว วันต่อมาผอ.มาหาเขาถึงบ้าน หล่อนบอกให้พักอยู่บ้านไปซักสองสามค่อยกลับมาเรียน ดูเหมือนจะดีใช่ไหม
แน่นอนว่าหล่อนคงใช้เวลาสองสามนั้นง่วนอยู่กับการปิดข่าวและหาทางใช้เงินและมหาศาลและเรือนร่างกำยำที่ไลควานลินใช้เป็นผงซักฟอก ล้างเลือดที่ริมกำแพงซอยเยี่ยวหมานั้นจนหมด
ชิบ พอพูดถึง กลิ่นเยี่ยวฉุนๆก็ลอยมาอีกแล้ว
กลิ่นหอมอ่อนๆจากแอปเปิลทำให้เขาหวนนึกถึงวัยเด็กเสมอ ในบ้านของเราเคยมีต้นแอปเปิลมากมาย ทั้งพ่อและแม่เอามันไปขายเพื่อเลี้ยงชีพหรือเอาไปแลกข้าวของกับเพื่อนบ้านบ้าง แต่น่าแปลกที่เขาไม่เคยจะได้แม้แต่สัมผัสมัน ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นของซื้อของขาย กว่าจะได้ลองกินแอปเปิลก็รอจนโตไปเดินตลาดแล้วถึงซื้อมากิน
จนวันนี้ที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว
ก็เป็นความน่าดีใจลึกๆที่เขาจะกินแอปเปิลวันละกี่ลูกก็ได้
เขาเอาชิ้นเนื้อแอปเปิลเสี้ยวหนึ่งมาเขี้ยวกร้วมๆ รสชาติหวานอ่อนแผ่ซ่านไปทั่วปาก เขายื่นจมูกเข้าไปสูดกลิ่นหอมภายในช่องบากของลูกแอปเปิล เปลือกตาบางหลับลงเพื่อเสพอรรถรสของกลิ่นที่ทำให้ภายในวัยเด็กของเขาหวนขึ้นมาอีกครั้ง
มันยั่วยวนมากเสียจนเขาอดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นเลียความชุ่มฉ่ำจากร่องบากของแอปเปิลสีแดงสด เพราะอาจจะปล่อยให้โดนอากาศนานเกินไป สีของมันดูจะช้ำขึ้นเล็กน้อย แต่ความหอมและรสชาติที่สัมผัสก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
“อื้ม”
กัดมันดังกร้วมอีกครั้ง แววตาใสของเขาบัดนี้กลับเติมเต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำไม่ต่างจากชิ้นแอปเปิลในปาก ความสุขที่มีจนล้นปรี่ในตอนนี้ล้างความระทมทุกข์ที่สะสมมาจากโรงเรียนผีห่านั่นมาทั้งวันได้แทบหมดจด ล้างเสียงบทสวดจอมปลอมตอนเช้า ล้างรสชาติอาหารกลางวันที่ไม่ต่างอะไรกับอาหารคนคุก ล้างกลิ่นเหม็นเน่าจากซอยเยี่ยวหมาข้างโรงเรียนที่ชวนคลื่นเหียนโก่งคออ้วก ล้างสีขาวดำของชุดบาทหลวง จะเหลือก็แต่เพียง…
สิ่งที่ต้องกลับบ้านไปเผชิญ
แต่มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก
อย่างมากก็แค่หายไปจากโลกเหี้ยๆนี่ซะที
นึกขึ้นได้ว่าเย็นมากแล้ว ร่างหนายันตัวลุกขึ้นอย่างไม่มั่นคงนัก มือรวบถุงเนื้อยกขึ้นพาดบ่า อีกมือหนึ่งแอบหยิบยาสูบก้านบางออกจากกระเป๋าเสื้อนักเรียน เขาคาบมันไว้ด้วยเรียวปากสีสดก่อนจะเผาให้เกิดประกายไฟ ควันขมร้อนถูกสูดเข้าไปเต็มปอด
วิธีนี้น่าจะดีสำหรับการหยุดยั้งการทำงานของสมองที่วิ่งเป็นเครื่องจักรไอน้ำอยู่ในขณะนี้ รสเข้มของควันยาสูบและสารประกอบเสพซึมเข้าไปในกระแสเลือดซึ่งช่วยให้ผ่อนคลายขึ้นมาก รู้สึกได้ว่าหัวใจทำงานช้าลง
เขาผุยควันอย่าง(พยายาม)ใจเย็น แล้วออกเท้าเดินต่อไป…
ฮึ่ก!
ตุ๊บ!!
“อัคนี ฉันกลับมาแล้ว” เสียงพร่ากระซิบกระซาบข้างใบหูตั้งชันของอีกคนที่นอนขดตัวสั่นอยู่ในอ่างอาบน้ำ แต่ไม่มีน้ำแม้สักหยด ที่ก่อนหน้านี้ถูกปิดด้วยแผ่นไม้หนาเพื่อสร้างความมืดมิดสงบเงียบสูงสุดแก่คนภายในนั้น “เป็นไข้รึเปล่า ตัวสั่นเชียว”
นัยน์ตาดุดันเผยขึ้นช้าๆ ร่างในอ่างค่อยๆชันตัวขึ้นมา ร่างกายของมันสั่นงั่นงกราวกับอีกฝ่ายเป็นมัจจุราชมาตามเอาชีวิตและเสียงพูดคุยก็ไม่ต่างจากเสียงเพรียกจากนรก หากเขาก้าวออกไปอีกก้าวเดียว ความตายก็จะดูดกลืนเขาทันที เขามองหันรีหันขวางเล็กน้อย ท่าทีสงบของเขาซ่อนความรู้สึกหวาดหวั่นไว้ไม่ได้เลย
“แดน ฉันฝันร้าย ฉันกลัว”
“ฝันว่าอะไรครับ”
“ฉันฝันว่าเธอตาย ตายอยู่ในอ้อมอกของฉัน”
แดนชะงักไปเล็กน้อยหลังจากได้เห็นแววตาที่สั่นสะท้านของอัคนี สองสายตาประสานกันทันที อัคนีน้ำตาเอ่อคลอหน่วย เรียวปากบางสั่น แดนมองตาอัคนีแล้วลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมหนา สาก และสาบสาง แม้ว่าจะพยายามปลอบโยนอีกคนที่กำลังตื่นกลัว แต่ในใจของเขากลับแกว่งไกวเหมือนชิงช้าที่ถูกผลักแต่ไม่มีใครนั่งอยู่บนนั้น เพราะสิ่งที่แดนคิดมาตลอดทางกลับบ้าน
ก็ไม่ต่างจากฝันร้ายของอัคนีแม้สักกระผีกเดียว
“หิวไหม” แดนถามเสียงพร่าด้วยสำเนียงติดทางใต้หน่อยๆ แม้ว่าจะย้ายมาอยู่ห่างจากภูมิลำเนาเดิมของพ่อและแม่ขนาดไหนแล้วก็ตามแต่การที่ต้องได้ยินพ่อแม่พูดสำเนียงใต้ก็ทำให้เขาซึมซับมาลึกเกินกว่าจะซ่อนมันไว้ง่ายๆ ยิ่งเฉพาะเวลาที่อ่อนไหวแบบนี้ “ไปกินข้าวกันเถอะ”
อัคนียังคงดูตระหนก สายตาของเขาล่อกแล่กไปมาตามสัญชาติญาณแม้ว่าจะพึ่งตื่น แต่ก็ไม่ได้ขืนการโอบอุ้มของร่างหนาที่พาเขาขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำ เขาค่อยๆลุกยืนขึ้นช้าๆ เสียงกระดูกลั่นกรอบแกรบจากการนอนขดท่าพิสดารอยู่นาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากหลบอยู่ในนี้สองวันเต็ม
พอดีช่วงต้นเดือนทางการทหารจะลาดตระเวนเป็นประจำหน่ะ
“เนื้อเก่าหรอ” จมูกอัคนีไวเสมอ เขาได้กลิ่นได้ในระยะไกลมากๆ กระทั่งครั้งหนึ่งแดนเคยอุ้มแมวที่พึ่งโดนคนใจร้ายทุบเข้ามาในบ้าน เสียงคำรามลั่นพร้อมอาการปึงปังจากชั้นสองของบ้านก็ดังขึ้นมาทันที เสียงกรีดเล็บกับพื้นบ้านบอกทันทีว่าแดนต้องเอามันออกไปให้พ้นเขตบ้านเดี๋ยวนั้น อัคนีไม่ชอบแมว และก็ไม่ค่อยชอบเนื้อเก่าด้วยเหมือนกัน “ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเงินหน่ะ ฉันขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันกินได้” อัคนีว่าโดยไม่หันไปมอง
“ฉันขอโทษจริงๆนะ”
“เธอน่าจะเอาเงินทั้งหมดซื้อเนื้อดีๆมาเลยนะ”
“มันจะดีหรอ”
“เพราะเดี๋ยวเราก็ไม่ต้องใช้เงินกันแล้วไง”
อัคนีว่าพลางแค่นหัวเราะด้วยเสียงแหบต่ำของตัวเอง คนที่โอบอุ้มเรือนร่างกำยำอยู่หันมามองตาใส ความไม่เข้าใจเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะทำไมเราถึงไม่ต้องใช้เงิน แต่กลับเป็นความรู้สึกว่าทำไมอัคนีถึงยังยิ้มและหัวเราะในเวลาแบบนี้ได้ จนเจ้าของชื่อหันมามองมองจองใบหน้ากลมไว้นิ่ง เขาหยุดขยับร่างกาย อุณหภูมิที่ผิวหนังเย็นเฉียบขึ้นมาจนน่าพรั่นพรึง
คำตอบที่ถูกต้องคืออัคนีกำลังหวาดกลัว
เสียงแค่นหัวหัวเราะนั่นก็เพื่อรับมือกับความกลัวให้ได้โดยที่ไม่จิตใจแหลกสลายไปเสียก่อน
ก่อนหน้านี้นึกว่าจะไม่มีหัวใจซะอีก
“อัคนี ไม่เป็นไรนะ”
“…”
“ฉันจะไม่เป็นอะไรไป…เพื่อนาย”
แดนตอบเสียงสั่น พยายามอย่างสุดกลั้นที่จะคุมทั้งน้ำเสียงและสีหน้าไม่ให้อีกคนไม่สบายใจ ทั้งที่ใจก็หวาดหวั่นพรั่งพรึงไม่ได้ต่างกัน วงแขนอิ่มเข้าโอบกอดร่างบางกว่าไว้ในอ้อมอก แดนดันศีรษะขอัคนีแนบกับแผงอกของเขาแล้ววางแก้มนิ่มของตัวไว้แนบเรือนผมของคนในอาณัติ
เพราะร่างกายแทบแนบชิดกัน ทั้งคู่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจของกันและกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันกำลังโครมครามด้วยความรู้สึกที่มวนรวมกันไปหมดถ้าความอบอุ่น ความกลัว ความเศร้า ความหวั่นไหว ความโกรธเกรี้ยว แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก
อัคนีเริ่มสั่นไม่เป็นท่าอีกแล้ว และไม่นานก็มีความรู้สึกเปียกชื้นที่แขนจากน้ำตาของอัคนี เขากำลังร้องไห้
“ร้องไห้ทำไมเล่า”
“…”
“ฮึบ! ฮึบไว้แล้วไปกินข้าวกันเถอะ”
แดนประคองอัคนีไปยังกลางบ้านที่มีถุงเนื้อวางกองอยู่ อัคนีค่อยๆชายตาไปยังกองเนื้อเหล่านั้น สารคัดหลั่งวาวชุ่มไปทั้งปากตามสัญชาติญาณ ลิ้นเลียดุนไปตามฟันที่เริ่มงอกแทงเหงือกเป็นรูปเป็นเขี้ยวคมแล้วแทบทั่วทั้งปาก ตาที่เพ่งไปที่ก้อนเนื้อนั้นวาวโรจน์และชุ่มฉ่ำไม่ต่างอะไรกับเนื้อในถุง
เขาสั่นน้อยลงและค่อยๆคลานออกจากอ้อมกอดของแดนเชื่องช้าและระมัดระวัง จมูกของเขาสูดฟืดๆเป็นช่วงสั้นเพื่อตรวจสอบสิ่งตรงหน้าตามธรรมชาติ ก่อนจะง้างเขี้ยวคมกัดฉับลงไปที่เนื้อชุ่มนั้น
“อาาาา”
อัคนีคำรามเสียงพร่าในลำคออย่างพึงใจ เขาเหลือบหันมามองแดนที่นั่งชันเขามองอยู่แว่บหนึ่ง อัคนียกยิ้มมุมปากให้เล็กน้อย นั่นหมายความว่าเนื้อเกรดต่ำในวันนี้อาจจะได้แย่เกินรับประทานเท่าไรนัก รวมทั้งการที่ต้องขดตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำเพื่อหนีการตรวจสอบของทหารจากรัฐบาลเผด็จการถึงสองวันสองคืน ต่อให้เป็นเนื้อกวางแก่หลังแร้งลงก็ยังคงต้องกินเพื่อประทังชีพ
แดนยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางตะกลุมตะกลามขอัคนีที่ไม่ต่างอะไรจากวันแรกที่ได้เจอกัน
วันที่ฟ้าเย็นในช่วงเวลาโพล้เพล้ เด็กชายวัยสิบขวบเศษออกไปวิ่งเล่นที่สวนไผ่ในละแวกบ้าน เงาตะคุ่มๆในกอไผ่กำลังจับจ้องตัวเขาตลอดเวลา
ถึงจะเป็นเด็กแต่แดนก็ใช่ว่าจะสมาธิสั้นจนไม่อาจสังเกต เขารู้สึกได้ถึงการจับจ้องเช่นกัน ตัวเล็กหยุดมองเข้าไปในกอไผ่นั้น แม้ว่าจะมีม่านไผ่บางบังอยู่แต่ก็รู้สึกได้ว่าเด็กชายตัวน้อยกำลังผสานสายตากับบางสิ่งที่เร้นกายอยู่ภายใต้ความมืดนั้น
และมันกำลังร้องขอความช่วยเหลือจากเขา
แดนค่อยๆก้าวเข้าไปยังกอไม้ไผ่นั้นอย่างระแวดระวังด้วยเท้าน้อยๆ เสียงเหยียบหญ้าแห้งดังฟอบแฟบทำให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังมีบางสิ่งใกล้เข้ามายังที่หลบซ่อน มันขยับตัวเล็กน้อย ทำให้แดนหยุดค้างตัวเองไว้ เพราะเขาก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร และมันจะเป็นอันตรายหรือไม่ แต่แน่นอนว่ามันมีชีวิต
หรือเราควรจะวิ่งไปบอกพ่อแม่ดี คุณครูสอนว่าถ้าเกิดมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น เราควรบอกผู้ใหญ่ก่อน อย่าทำอะไรเอง แต่พ่อไม่มาหรอก ป่านนี้คงจะเมาแล้วก็ตีแม่อยู่อีกตามเคย
ไม่ทันทีเด็กชายตัวน้อยจะตัดสินใจทำอะไร แขนเรียวก็ค่อยๆค่อยเผยตัวออกมาจากความมืด สีผิวรูปร่างไม่ต่างจากอวัยวะของคนทั่วไปผิดที่ขนตามร่างกายออกจะรุงรังไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากมายไปกว่าลุงขี้เมาแถวบ้านที่วันๆไม่ดูแลตัวเองและไม่มีเมีย
มันค่อยๆเผยรูปร่างออกมา นัยน์ตาเรียวขวางอย่างสัตว์ป่าเด่นชัดออกมาเป็นอย่างแรก แสงสะท้อนจากตาของมันพุ่งคล้ายดาวสีแดงบนพื้นป่า มันมองมาที่เด็กชายไม่วางตา ร่างกายกำยำที่เต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อสมความเป็นชายชาญไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิด ทำให้เห็นชัดเจนว่ามันบาดเจ็บ แผลกว้างที่แขนเลือดยังไม่แห้งดีด้วยซ้ำ มันอ้าปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมส่งเสียงโอดครวญครางแหบต่ำในลำคอ เสียงที่ไม่ชัดเจนว่าเป็นเสียงคนหรือสัตว์
เค้าหน้าคมยังคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มันคลานมาได้เพียงก้าวสองก้าวก็ล้มตัวลงนอนคุดคู้ เมื่อเห็นเป็นมนุษย์ เด็กชายแดนก็วิ่งเข้าไป
ด้วยความไร้เดียงสา เด็กชายเอานิ้วสัมผัสไปที่แผลเหวอะหวะของมัน พลันมันก็ถลึงตาขึ้นทันทีพร้อมกับเสียงขู่คำรามฮือในลำคอ แดนสะดุ้งเฮือกและรู้ว่าไม่ควรทำอีก เขาจึงลองลูบไปที่แก้มตอบไล่ลงไปถึงสันกรามแล้วลำคอ เขาลูบมันเบาๆราวกลับจะปลอบให้หายหวาดกลัว พลันขนที่เคยลุกรุงรังกลับซ่อนกลืนเข้าไปใต้ผิวกร้าน เหลือไว้แต่เพียงขนในที่ลับอย่างที่มนุษย์วัยเจริญพันธุ์มีกัน
มันกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว
ร่างที่นอนอยู่บนพื้นพยายามยกแขนที่สั่นเทาไปวางบนต้นคอของเด็กน้อย มันโน้มใบหน้าหวานเข้ามาใกล้ แล้วส่งเสียงแห้งที่เค้นออกมาอย่างยากเย็น
“ช่วย เหลือ ฉัน”
“…”
“มีสิ่งใดให้ฉันกินบ้างไหม”
แดนถอยออกจากการกอบกุมไปเล็กน้อย
“ฉันไม่กินนายหรอก” มันยกยิ้มเล็กๆ แม้จะดูยากลำบากก็ตามที
เด็กชายนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งออกจากที่ตรงนั้น
สองเท้าก้าวสับอย่างไว พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าลงไปแล้ว เส้นทางคดเคี้ยงช่างวิ่งได้ยากเย็น แต่ด้วยสายตาที่ยังไม่เสื่อมถอยทำให้สามารถมองเห็นในเวลากลางคืนได้ดีอยู่ แต่กลับเป็นความเย็นเยียบต่างหากที่ทำให้เขาวิ่งได้ยากลำบาก ขาแข็ง แขนชา ปากซีดไปหมดเพราะความเย็นที่แทรกเข้าไปถึงขั้วกระดูก
แดนดั้นด้นวิ่งมาได้จนถึงบ้าน เขาค่อยลอบเดินไปเข้าทางหลังบ้าน ระหว่างนั้นสายตาก็กวาดมองรอบกายด้วยระแวดระวังคนข้างในบ้าน กลิ่นหอมกรุ่นโชยมาแตะจมูกทันที วันนี้แม่นึ่งมันหวานไว้อีกแล้วแน่ๆ
แดนแง้มประตูหลังบ้านออกช้าๆ โชคดีที่วันนี้ประตูไม่ได้ลงกลอน ควันหอมฉุยโชยออกมาจากหม้อนึ่ง เด็กชายเขย่งขึ้นไปดูที่ปากหม้อด้วยตาประกาย มือน้อยค่อยๆล้วงเข้าไปแตะเจ้ามันหวานที่เริ่มปริเนื้อสีเหลืองอ่อนตัดกับผิวสีม่วงแดงนอนแอ้งแม้งอยู่ในหม้อ
ไม่ทันได้คิดว่ามันจะร้อน แดนสะดุ้งเฮือกเอามืออมเข้าปากแทบไม่ทัน ความร้อนทำให้ผิวบางแสบแดงไปหมด แต่เทียบกับความทะโมนของเด็กชาย แค่นี้ถือว่าเล็กน้อย ร่างเล็กเอาเสื้อยืดของตัวห่อมือไว้แล้วหยิบมันอย่างระวัง เขาได้มันมาห้าหกก้อนใหญ่ ก่อนจะรีบวิ่งพ้นประตูหลังบ้านไป
“ขอบน้ำใจมาก”
มันหวานร้อนๆควันฉุยกองอยู่ตรงหน้าร่างแกร่งที่ยังอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า มันค่อยๆเหยียดกายพลิกร่างขึ้นไปอยู่ในท่าคลาน จมูกสูดดมฟุดฟิดไปที่ก้อนมันก่อนจะใช้ลิ้นแตะลงไป มันค่อยๆละเลียดกินไปทีละเล็กน้อยน้อย แดนมองจ้องท่าทีของมันอยู่นาน ใจก็นึกสนุกโน้มตัวยื่นมือเข้าจะลูบหัวเหมือนกับที่คนเขาเลี้ยงหมากัน
ไม่ทันทีมือน้อยจะเข้าไปสัมผัส ขนสากที่เคยผลุบหายไปกลับแทงหน่อทะลุเนื้อกายขึ้นมากอีกครั้ง มันขนลุกตั้งชัน ตาเบิกโพลงขึ้น เขี้ยวคมงอกกลับมาอยู่ในสภาพพร้อมใช้การ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในร่างถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง อวัยวะทั่วสรรพางค์กายลุกชันขึ้นไม่เว้นแม้เครื่องเพศ ก่อนมันจะขย้ำกองมันหวานตรงหน้าอย่างตะกลุมตะกลาม
แดนถอยหลังกลับไปแทบไม่ทัน เด็กน้อยถอยหลังออกไปกอดเข่าพิงกองฟางมองภาพตรงหน้าด้วยใจระทึก เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่ง ดุดัน แต่อ่อนโอน เย้ายวนและน่าทะนุถนอมในเวลาเดียวกัน
เด็กชายนั่งมองภาพนั้นในท่าทางที่ไม่จากแดนในวัย 17 ปีวันนี้
ท่าทางอัคนีไม่เปลี่ยนจากวันนั้นแม้แต่นิด อันที่จริงถ้านับเพียงร่างกาย เขาไม่เคยไม่เปลี่ยนมาร้อยกว่าปีแล้วตามคำบอกเล่าของเขาเอง อัคนีไม่มีอายุ เขาไม่ตายเองตามธรรมชาติเว้นเสียจะมีใครฆ่าเขา
เขายังเป็นคนที่แข็งแกร่งแต่อ่อนโยน ดุดันแต่อบอุ่น ในวันนั้นที่อัคนีเข้ามา พ่อและแม่ก็หายไปแบบไม่กลับมาจนถึง ณ เวลานี้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาทุกโมงยามมีแต่อัคนีเท่านั้นที่คอยเฝ้าดูแลปกป้องคุ้มภัยตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จนตัวเขาเองก็เติบโตไล่ทันกัน และในวันหนึ่งเราจึงตัดสินใจอยู่ร่วมกันแบบ….เขาเรียกว่าอะไรล่ะ…
คู่รัก…ได้รึเปล่า
ไม่ว่าจะเป็นสถานะอะไรก็ตามแต่ การอาศัยอยู่กับอัคนีนับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชั่วชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ อย่าหาว่าเนรคุณพ่อแม่เลย ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะพบเจอประสบการณ์เกี่ยวกับพ่อแม่แบบเดียวกัน
“อึก อา”
อัคนีเหมือนจะลุกเดินไปเลียน้ำจากถังไม้ที่มุมห้องแล้ว โดยที่เขายังไม่คืนร่างกลับ พายุอารมณ์ที่เคยบ้าคลั่งในดวงตาของเขาได้สงบลงแล้วหลังจากได้เหยื่ออันโอชะไปเติมกระเพาะ
แดนแกล้งเดินเข้าไปโอบรัดเจ้าหมาป่าจากด้านหลัง กลิ่นฉุนเปรี้ยวตีขึ้นแตะจมูกของแดน อัคนีไม่ชอบอาบน้ำมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ครั้งแรกที่เจอกันจำได้ว่าหนีไปซ่อนอยู่ดงไผ่ข้างบ้าน กว่าจะลากมาลงอ่างแล้วยอมให้ขัดล้างเช็ดได้ก็แทบหืดขึ้นคอ
แต่วันนี้ไม่ไหวแล้วล่ะ…
ในที่สุดเขาก็โหมกำลังทั้งหมดลากอัคนีมานอนอยู่ในอ่างน้ำจนได้ กลิ่นแอมเบอร์ผสานอโรมา ลาเวนเดอร์ทำให้ร่างในอ่างน้ำเริ่มสงบลง แดนปลดกระดุมเสื้อนักเรียนออกตามด้วยกางเกงขายาวและชั้นในที่ถูกรูดออกไปพร้อมกัน เขาก้าวขายาวลงไปในอ่างอาบน้ำเดียวกับอีกคน ภารกิจของเขาในเวลานี้ก็คือชำระล้างร่างกายของตัวและอีกคนให้สะอาดทุกซอกทุกมุม
ใยบวบสีหวานที่บัดนี้เต็มไปด้วยฟองสบู่ขัดถูไปตามแผ่นหลังกว้าง แดนรู้ว่าอัคนีไม่สบายตัวนักที่ต้องมาอยู่ในอ่างอาบน้ำนานๆ แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ถ้าเขายังมีดีเอ็นเอของมนุษย์อยู่ในอีกครึ่งหนึ่ง เขาลากมันลามไปถึงช่วงท้องแขนที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแกร่ง เขาขอให้อัคนีลุกยืนขึ้นพร้อมกันเมื่อนึกได้ว่าเขาจำเป็นต้องขัดสีช่วงล่างด้วย
ฟองสบู่ไล่ลามไปตามต้นขาแกร่งที่เรียวแต่อัดแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อแรงมหาศาลอย่างสัตว์ป่า อัคนีรู้สึกจักจี้เล็กน้อยเมื่อมือเล็กลูบมาใกล้กับส่วนที่ไวต่อสัมผัสแต่ก็ไม่ใคร่พูดอะไรตามนิสัย เขาเลือกปล่อยให้อีกคนล่วงล้ำร่างกายของตนไปเรื่อยๆตามปรารถนา
“ยังกลัวอยู่ไหม” อัคนีถามในลำคอ
“เธอถามฉันหรอ”
“เปล่า…ฉันแค่ตรวจสอบความแน่ใจของตัวเอง”
มือของแดนยังคงสาละวนอยู่แถวซอกโคนขา
เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สัมผัสส่วนที่ไวต่อสัมผัสของอีกคน
“อัคนี เธอไม่ต้องกลัว”
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะรอดผ่านมันไปได้ ฉันไม่ไว้ใจตัวเองเลย”
“อย่างมากฉันก็แค่ตาย อัคนี อย่าเป็นกังวลเลย”
“แดน เธอคิดว่าเธอรู้จักความตายแค่ไหน”
“ไม่เลย ฉันไม่รู้…แต่ฉันอยากเป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ฉันในเวลานี้”
“…”
“ถ้าฉันเป็นอย่างเธอได้…ก็คงจะดี”
แดนพยายามน้ำเสียงที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่จะพยายามได้
เพราะอย่างไรก็ตามแต่เหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องพิธีกรรมในคืนพระจันทร์เต็มดวงนี่หรอกแต่ความตายต่างหากที่จะครอบกินเขาไปในวันใดก็วันหนึ่ง อย่างไรก็หนีไม่พ้นที่อัคนีจะต้องเผชิญความโดดเดียวอีกร้อยพันปีข้างหน้า เขาเลือกไม่ได้เลย
“มันออกจะเสี่ยงไปสักหน่อยนะ”
“นายรู้จักรัชเชี่ยนรูเลตต์ไหม…นั่นแหละ”
“นายแค่ต้องลั่นไก…มันเป็นกฎ”
“…”
“ไม่ว่านัดนี้หรือนัดต่อไป ฉันก็ต้องตายอยู่ดี”
“…”
“เราต่างเป็นจำเลยของโลกใบนี้…อัคนี…เราต้องทำ”
เขาเคยกลัวถึงขั้นขีดเดือนขีดตะวัน นับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวคนคลั่งประสาท การเผชิญหน้ากับความตายไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันไม่เคยง่ายสำหรับใคร ถ้ามันเป็นความตายที่สูญเปล่า…แต่ถ้าลองคิดดูให้ดีแล้ว นี่อาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
เขายังมีสิทธิ์มีลมหายใจหลังผ่านเขี้ยวคมขอัคนี
เป็นลมหายใจใหม่ภายใต้ขนสั้นสีเทาปกคลุมในคืนพระจันทร์เต็มดวง
“ถ้าเธอตายหล่ะแดน…ถ้าหนึ่งพันปีข้างหน้าฉันไม่มีเธออีก”
“ถามจริงเถอะ เธอคิดว่าฉันจะอยู่ไปได้อีกนานเท่าไร โดนซ้อมจนน่วมในตรอกเยี่ยวหมาทุกวันแบบนั้น”
“แต่…”
“ถ้าฉันตาย ฉันจะกลับมาที่นี่…กลับมารับเธอที่กอไผ่นั่นอีกครั้ง ฉันสัญญา”
แดนรั้งร่างเปลือยอีกคนลงมาในน้ำฟองสีนมข้นด้วยกัน ก่อนจะโอบรัดไว้จากด้านหลัง
อัคนีตอบรับสัมผัสนั้น ถูไถเนื้อกายแนบชิดอยู่อย่างนั้น ราวกับเป็นคำอำลาสุดท้าย
ลมหายใจฮืดฮาดดังอยู่ไม่ไกล เมื่อแสงนวลเริ่มฉายออกลอดผ่านหน้าต่างที่ปิดด้วยม่านทึบ แต่แค่นั้นก็ทำให้คนทั้งคู่ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
มือบางค่อยๆเปลื้องชุดคลุมกำมะหยี่สีเลือดออกพ้นไหล่ขาว นี่เป็นของชิ้นที่มีค่าที่สุดในเป็นบ้าน เดาเล่นๆว่าน่าจะเป็นของขวัญวันแต่งงานของแม่กับพ่อ ซึ่งก็ดูไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรเท่าไรนักกับผัวเมียชาวสวน แดนไม่เคยเห็นแม่สวมมันซักครั้งเดียว แต่ก็ยังดีที่มันไม่หายไปไหน ให้เขาได้หยิบใช้ในวันนี้
อัคนีในร่างมนุษย์ซ่อนกายเปลือยเปล่าไว้ใต้ผ้าบุนวม แดนยื่นขายกสะโพกคร่อมร่างใต้ผ้านั้นไว้ ก่อนที่จะคลี่ผ้าคลุมออกให้เห็นกายอันปราศจากอาภรณ์ใด เขาหย่อนผ้ากำมะหยี่นั่นลงข้างเตียง
อัคนีโยกตัวขึ้นมาแล้ววางมือสัมผัสหัวไหล่ของอีกคน ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไป
“แล้วแต่งสวยทั้งที่จะถอดทำไม”
“ก็แต่งให้นายดูเฉยๆ ถ้าฉันกลายเป็นหมาป่าขนเยอะอาจจะไม่เร้าใจแบบนี้แล้วนะ”
บทสนทนาเรื่อยเปื่อยเข้าแทรกกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเมฆทะมึนในดวงตาคนทั้งคู่ ทั้งร่างที่คร่อมและคนที่นอนทิ้งตัวต่างสบตา ไม่มีช่วงเวลาใดที่พวกเขาจะเข้าใจความรู้สึกของกันและกันไปได้มากกว่าเวลานี้แล้ว
เพราะความกลัวเป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน
มนุษย์จึงต้องโหยหาอ้อนวอนต่อพระเจ้าไง
“นายกลัวมั้ย”
“ไม่เลย แล้วนายล่ะ”
“น่าจะไม่”
“อย่าเป็นอย่างนี้สิ อัคนี”
“นายรู้มั้ย ฉันอยากมีชื่ออัคนีตลอดไป มีคนเปลี่ยนชื่อให้ฉันทุกหกสิบปี แต่ฉันไม่อยากเปลี่ยนอีกแล้ว และอยากให้นายได้เรียกฉัน เรียกด้วยชื่อที่สร้างขึ้นมาจากนาย”
“ถ้างั้น…นี่ก็เป็นทางเดียวที่จะทำให้ชื่อของนายคงอยู่ ฉันจะมีโอกาสได้เรียกหาอัคนีตลอดไป”
แดนเหลือบมองชายม่านที่ไหว เขาเห็นแสงขาวสาดเข้ามามากขึ้น
“พระจันทร์ส่องแล้ว เริ่มกันเลยไหม” แดนถาม
“ก็คงได้ นายจะเป็นคนกระชากม่านใช่ไหม”
“อื้ม”
อัคนีได้ยินคำตอบรับนั่นก็หลับตาลงขณะที่เลื่อนตัวขึ้นไปประกบริมฝีปากกับอวัยวะส่วนเดียวกันของแดน ลิ้นเล็กสอดรับประสานจังหวะกันอย่างดี แดนพยายามมอบความหอมหวานครั้งนี้อย่างประณีตบรรจงที่สุด เพราะไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้มีร่างกายแนบชิดกับผู้ที่เขามอบหัวใจไปหมดทั้งดวงนี้อีกแล้วหรือเปล่า
เชื่อว่าการเล้าโลมที่ดีจะทำให้พิธีกรรมครั้งนี้เป็นไปได้ด้วยดี
ถึงมันจะเป็นแค่ความเชื่อก็ตามที
มือทั้งสี่ปัดป่ายไปทั่วร่างกายไม่มีจุดหมาย ทั้งยังสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แต่ถึงกระนั้นก็พยายามสร้างอารมณ์หื่นกระหายให้อีกฝ่าย การแข็งตัวจะได้เกิดขึ้น นำไปสู่การสอดใส่ที่จะพาไปถึงจุดสุดท้าย จุดที่เส้นเป็นตายพาดผ่านชะตาชีวิตของแดน
แดนลดมือลงไปเค้าคลึงองคชาติใต้ผ้านวม มันเริ่มตึงตัวขึ้น เขาจึงเลื่อนสะโพกขึ้นทับแล้วบดบี้กับส่วนกลางนั้น เสียงครางอือลอดริมฝีปากที่สะละวนอยู่กับหัวนมสีน้ำตาลอ่อน ลิ้นไล้เลียตามไรขนอ่อน
แดนเชิดหน้าขึ้น อ้าปากออก
เมื่อรู้สึกว่าผ้านวมเป็นสิ่งเกินจำเป็น อัคนีลากมันออก องคชาติคล้ายมนุษย์ที่ตั้งตรงเต็มที่ดีดผึงล้อกับผ้า แดนโหย่งสะโพกขึ้น ก่อนคว้านิ้วของคนที่อยู่ข้างใต้มาอมในปาก น้ำลายแฉะเยิ้มตามนิ้วชี้และกลางขอัคนี เขายิ้มอย่างพึงใจ อัคนีสอดนิ้วเข้าทวารของแดนเพื่อเบิกทาง
จนร่างกายของแดนถูกเตรียมพร้อมพอเพียง อัคนีเริ่มเข้าสู่พิธีที่ไม่มีชื่อเรียกเพราไม่มีใครหรือมนุษย์หมาป่าตนใดบ้าบิ่นแบบนี้มาก่อน ร่างกายของอมนุษย์ร่วมรวมกับมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน สารคัดหลั่งอันแปลกประหลาดต่อกันและกันไหลกลืนกัน การเคลื่อนองคาพยพเริ่มร่วมจังหวะสอดคล้อง แดนยิ้มอย่างอิ่มสุข ทำให้อัคนีพยายามที่จะมีความสุขไปด้วย
เนื้อขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่ออุณหภูมิในกายเริ่มถีบตัวสูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ อัคนีผ่อนจังหวะคล้ายถ่วงเวลาแห่งการนาบชิดนี้ไว้ให้ไกลออกไป เขายังไม่กล้าพอที่จะทำที่จะเสี่ยงให้เรื่องราวทั้งหมดนี้มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล แต่แดนเองกลับเร่งการเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นเอง คงเพราะอยากที่จะหลุดพ้นออกไปเต็มที
มือที่กำองชาติของตัวยังสั่นเทาและกระแทกกระทั้นไม่ปราณี ดูแดนกำลังจะใกล้ถึงเส้นแดงเต็มที
“อัคนียา ฉัน”
“ฉันก็พร้อมแล้ว”
ไม่มีโอกาสได้หน้าซีดเพราะความร้อนจากข้างในมันปะทุรุนแรง จนกระทั่งความร้อนจากภายนอกแผดผิวกาย แสงจันทร์แทรกผ่านช่องว่างระหว่างม่านลอดสัมผัสผิวดวงตาขอัคนี สายตาหวาดกลัวกลับวาววับจับจ้องราวสัตว์ป่า มือของแดนคว้ากำกระชากผ้าม่านหลุดทั้งแผงดังควับ!!
พระจันทร์เต็มดวงเปิดเผยหน้าออกมาแล้ว สาดแสงแสบสันต์เข้ามาให้ร่างกายกำยำร้อนเป็นไฟผลาญ อนูร่างกายเกิดเปลี่ยนแปลงฉับพลัน คมเขี้ยวงอกขื้นเหงือกจนร้าวไปหมดทั้งปาก ขนสากหนาแทงทะลุผิวหยาบไม่ต่างจากโดนธนูแทงจากข้างใน มือเท้ากลายเป็นอุ้งรองรับกรงเล็บคบกริบ ลูกตาเหลือกลานจนแทบระเบิด อวัยวะภายในเคลื่อนย้ายสลับที่ฉับพลัน เสียงหอนแรกแห่งค่ำคืนกู่กังวานขึ้น
อัคนีพยายามจดจ่อสติจับต้องทุกปฏิกิริยาของอีกคน เครื่องเพศของเขาขยายตัวขึ้นในช่องทางคับแคบ แดนเสียดร้าวจนแทบจะปล่อยมือที่รูดรั้งอยู่ แต่แรงอารมณ์ของการปลดปล่อยและเปลี่ยนผ่านกลับพัดโหมจนถึงเวลาอันเหมาะควร
“อึก”
หยาดหยดแรกของน้ำกามมาถึงปลายท่อ กรามเคี้ยวอ้ากว้างออก ซอกคอเนื้อขาวเปื้อนแดงอยู่เลือดไหลเวียนหนัก กล้ามเนื้อทุกมัดบีบเกร็งแน่น แดนหยุดหายใจไปชั่วขณะ อัคนีฉวยจังหวะงับช่วงคอขาวจมเขี้ยว สาวเหลวแตกประทุทั้งภายนอกและภายใน กรงเล็บกดเข้าแผ่นหลังอย่างควบคุมไม่ได้ กลิ่มคาวหวานเลือดซ่านไปทั่วปาก ไหลร่วมกับน้ำลายไหลย้อยกลบแผลฉกรรจ์ไม่เห็นเนื้อ
อัคนีใจตกวูบ
แรงขับไปสู่ความตายและความเงี่ยนง่านสัมผัสตัดกันเป็นจุดเดียว แดนสามารถสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าได้แค่ชั่วอึดใจ เขากับเขาซึ่งไม่ควรเอ่ยนามอยู่ห่างกันแค่ด้ายกั้น และทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ถูกกระชากจากข้างใน สิ่งมีชีวิตบางอย่างงอกและสืบพันธ์อย่างรวดเร็ว เซลล์ของเขาเปลี่ยนแปลงฉับพลันเป็นโดมิโน เหมือนงูดำมะเมื่อมเลื้อยไหลเวียนและขดอยู่กลางกาย ภายนอกเปียกแฉะไปด้วยเลือด น้ำกามและสารคัดหลั่ง แดนหมดเรี่ยวแรงทิ้งตัวลงเป็นหน้าท้องแกร่งขอัคนีราวกับเป็นร่างเดียวกัน
ราวกับปลดเปลื้องพันธนาการแห่งบาปและความเกลียดชังทั้งหมด
ร่างกายของแดนโอบรับสิ่งใหม่อันแปลกประหลาดนี้อย่างเต็มใจ
แสงจันทร์ยังสาดส่องลงมา กายเปลือยเปล่าแสบร้อนทั้งที่แฉะไปด้วยของเหลว ดวงตาที่ปิดสนิทเปิดขึ้นพร้อมกับแววตาใหม่ วาววับและปราศจากซึ่งความกลัว อนูขนแทรกขึ้นผ่านผิวหนัก ฟันทู่ทื่อกลับกลายเป็นเขี้ยวคม ร่างกายของแดนกำลังกลายไปสู่สิ่งใหม่
อัคนีถอนตัวเองออกจากแดนเชียบช้า โอบอุ้มร่างนั้นราวกับเด็กอ่อนลงไปตระกองกอดไว้ที่พื้นบ้าน
“สำเร็จแล้วนะ”
“อื้อ”
“นายนะกลัวมากไป”
“ฉันขอโทษ”
“ไปจากที่นี่กันเถอะ”
แดนในอ้อมกอดพูดเสียงรวยริน อาจเพราะยังปรับวิธีใช้อวัยวะภายในไม่ได้ อัคนีก้มลงจูบหน้าผากแผ่วเบา
“รอมานานแล้วใช่ไหม”
“ที่สุดเลย”
เสียงหอนสุดท้ายแห่งค่ำคืนกู่ขึ้นและบางลงตามระยะทางที่ห่างออกไป ทิ้งบ้านหลังโทรมเงียบเชียบไว้เบื้องหลัง เปิดเปิดอ้าทิ้งไว้แม้ว่าจะไม่มีใครกลับมาที่นี่อีก รอยเลือดเป็นทางยาวออกไปจากประตู ถึงรั้ว ถึงถนน และหายเข้าไปในป่าลึกในที่สุด
จะไม่มีใครกลับมา
ที่แห่งนี้อีก
ลาก่อน
(จบ)
- 👁️ ยอดวิว 691
แสดงความคิดเห็น