บทที่ 217: ฮ่องเต้หนานซวนปลอบโยน
“เจ้าคิดว่าเขาจะตอบกลับว่าเช่นไรหรือ?” ฮ่องเต้หนานซวนถามเด็กหญิงเสียงเรียบ ในขณะที่คอยจับตามองอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา
มู่ไป๋ไป่ก็จ้องเขากลับเช่นกัน เธอไม่รู้ว่าจะตอบออกไปอย่างไรอยู่ชั่วครู่ เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าเซียวถังอี้คิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องของเธอ
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงว่าพวกเขาทั้ง 2 ชอบทะเลาะกันตลอดเวลาที่พบหน้า ส่วนใหญ่แล้วแทบไม่เคยได้พูดคุยกันดี ๆ เลยด้วยซ้ำ คนตัวเล็กก็รู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิม
“หม่อมฉันคิดว่าเขาไม่ชอบหม่อมฉันสักเท่าไหร่เพคะ” มู่ไป๋ไป่พูดออกไปตามความจริง
พอฮ่องเต้หนานซวนที่ได้ยินดังนี้ เขาก็ตบไหล่เล็กพลางพูดว่า “สิ่งที่เจ้าคาดเดานั้นถูกต้อง”
ยิ่งได้ยินแบบนี้มู่ไป๋ไป่ก็ยิ่งพูดไม่ออก
ใครจะไปคาดคิดว่าเจ้าสัตว์ประหลาดจะไม่ลงมือทำอะไรเลยหลังจากที่ได้รู้ว่าเธอถูกลักพาตัวไปในครั้งนี้ แม้กระทั่งตอนที่อีกฝ่ายยื่นข้อต่อรอง
“เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ” เด็กหนุ่มมองเด็กน้อยคล้ายกับว่าเขากำลังมองคนคนหนึ่งที่ประสบปัญหาเดียวกันกับตน
มู่ไป๋ไป่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเธอจะได้รับสายตาเห็นอกเห็นใจเช่นนี้จากศัตรู ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้ศัตรูไขว้เขว
ทว่าท่าทีของเซียวถังอี้ไม่ต่างจากการลากเธอไปตบกลางถนน
“หม่อมฉันเข้าใจแล้ว…” เด็กหญิงพยักหน้าหงอย ๆ
แต่ความโกรธที่มีต่อเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นฝังลึกลงไปในใจของเธอ เธอมักจะสงสัยอยู่หลายครั้งว่าทำไมเขาถึงไม่ทำอะไรสักทีทั้ง ๆ ที่เธอถูกลักพาตัวมานานแล้ว
อย่างไรก็ตาม การที่เธอคิดมากไปในตอนนี้มันก็ไร้ประโยชน์
“เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ฮ่องเต้หนานซวนยืนนิ่งมองมู่ไป๋ไป่สักพักก่อนจะวางร่างเล็กลงแล้วพูดออกมา
เมื่อคนตัวเล็กได้ยินอีกฝ่ายบอกให้ตนไปพักผ่อน เธอก็ช้อนสายตาเศร้าสร้อยมองหน้าเขา “แต่หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะกลับไปที่ไหน”
คนที่นี่ไม่ได้จัดที่พักให้เธอเป็นกิจจะลักษณะ เมื่อวานเธอไม่ถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางก็ถือว่าดีมากแค่ไหนแล้ว
มู่ไป๋ไป่กะพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่กำลังเอ่อล้นออกมา พอหันกลับไปเห็นสายตาเห็นอกเห็นใจของฮ่องเต้ เธอก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก
“พวกเขาไม่ได้เตรียมที่พักไว้ให้เจ้าอย่างนั้นหรือ?” เด็กหนุ่มถามเด็กน้อยอีกครั้ง
คนตัวเล็กตอบเสียงหนักแน่นว่า “ไม่มีจริง ๆ เพคะ”
หลังจากผู้เป็นฮ่องเต้ได้ยินดังนี้ เขาก็ยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง
“แล้วเช่นนี้เจ้าจะทำอย่างไร?” ฮ่องเต้หนานซวนถามความเห็นของอีกฝ่ายโดยตรง
ขณะนี้มู่ไป๋ไป่ก็คิดอะไรไม่ออกเช่นกัน
“หม่อมฉันจะอยู่กับพระองค์เพคะ” สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจพูดออกไปอย่างแน่วแน่
พอเด็กหนุ่มได้ฟังความคิดเห็นของคนตัวเล็ก เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเพราะเขาไม่คิดว่านางจะเอ่ยปากเช่นนี้ออกมา
“ข้าดูแลเด็กไม่เป็น” ฮ่องเต้หนานซวนปฏิเสธโดยให้เหตุผลตามความเป็นจริง
อีกทั้งเขาดูเหมือนไม่ใช่คนประเภทที่จะดูแลคนอื่นได้จริง ๆ ดังนั้นตอนที่เขามองเด็กน้อยตรงหน้า สีหน้าของเขาจึงตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
นั่นทำให้มู่ไป๋ไป่นิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะกล่าวกับฮ่องเต้หนานซวนด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หม่อมฉันทราบเพคะ แต่หม่อมฉันไม่ต้องการให้ใครมาดูแล”
เด็กหญิงพูดออกไปด้วยความมั่นใจ แต่คนที่ได้ฟังรู้สึกไม่ไว้ใจเธอมากนัก เขาจึงถามเธอเป็นการยืนยันอีกครั้ง
“เจ้าแน่ใจหรือว่าดูแลตัวเองได้?”
มู่ไป๋ไป่เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาหลังจากได้ยินคำถามของเขา
“นอกจากหม่อมฉันจะดูแลตัวเองได้แล้ว หม่อมฉันยังสามารถทำอาหารกินเองได้ด้วย”
ทางด้านฮ่องเต้มองดูใบหน้าบูดบึ้งของเจ้าตัวเล็กและอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นเขาก็พูดว่า “เจ้าอย่าโกรธไปเลย เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ตามใจ แต่ที่นี่ไม่ได้สะดวกสบายเหมือนอยู่ในเมืองหลวง”
ในฐานะฮ่องเต้ แม้ว่าการอยู่ที่นี่จะไม่ได้สะดวกสบายเท่ากับยามที่อยู่ในวังหลวง แต่กระโจมที่เขาอาศัยอยู่นั้นใหญ่โตมาก
ด้วยเหตุนี้เอง ตอนที่มู่ไป๋ไป่เสนอว่าจะอยู่ที่นี่ต่อ เขาจึงไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรมากนัก ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีพื้นที่กว้างขวาง การจะให้เด็กคนหนึ่งอาศัยอยู่มันคงไม่เปลืองพื้นที่สักเท่าไหร่
คนตัวเล็กสบตากับฮ่องเต้หนานซวนอีกครั้งและอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “พระองค์อยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือเพคะ?”
คำถามที่เด็กหญิงถามไม่ได้ทำให้สีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปเลย แต่เขากลับกวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่าย
“ใช่ ตามปกติแล้วข้าจะอยู่ที่นี่ตลอด” ผู้เป็นฮ่องเต้ตอบ
ที่เขามีปฏิกิริยาเช่นนั้นเป็นเพราะว่าในฐานะที่มู่ไป๋ไป่เป็นองค์หญิงของแคว้นศัตรู การที่นางมาเอ่ยปากถามเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัล มันเป็นเหมือนกับการมาสอดแนมข่าวกรองของกองทัพมากกว่าการไถ่ถามทั่วไป
กระโจมที่ฮ่องเต้หนานซวนอาศัยอยู่นั้นถูกซ่อนลึกอยู่ในค่ายทหาร
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของเด็กหนุ่มที่มีต่อเด็กหญิงในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รู้สึกหวาดระแวงที่จะตอบออกไปตามความเป็นจริง
“แล้วพระองค์อยากอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือไม่?” มู่ไป๋ไป่ถามขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อประกอบกับดวงตากลมโต มันทำให้เธอดูไร้เดียงสามาก
ฮ่องเต้หนานซวนเองก็ไม่ได้ระแวงเด็กหญิง
เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ข้าจะกลับวังหลวงไปได้ก็ต่อเมื่อการต่อสู้นี้จบลง”
เดิมทีมีหลายคนไม่พอใจกับการขึ้นครองบัลลังก์ของเขา หากเขาไม่สามารถทำผลงานบางอย่างได้ คนพวกนี้อาจจะหาเหตุผลโค่นเขาลงจากบัลลังก์
เมื่อมู่ไป๋ไป่เห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย เธอก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดหมายถึงอะไร
“เรื่องนี้มันจะต้องใช้เวลานานไม่ใช่หรือเพคะ?” มู่ไป๋ไป่เอ่ยถามเสียงเรียบ
ฮ่องเต้หนานซวนตอบกลับว่า “เจ้าน่าจะรู้จักเซียวถังอี้”
“เพคะ” คนตัวเล็กพยักหน้า เธอรู้จักเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นเป็นอย่างดี
แต่ฟังจากคำพูดของอีกฝ่าย ตอนนี้เธอรู้สึกว่ามันฟังดูตงิด ๆ ไปสักหน่อย
“ชายคนนั้นเป็นคนที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญการต่อสู้ ในหัวของเขามีกลยุทธ์มากมาย ข้าคิดว่าแคว้นหนานซวนไม่ใช่คู่มือของเขา” ฮ่องเต้หนานซวนพูดกับองค์หญิงตัวน้อยตามตรง
วาจาที่เขาเอ่ยทำให้มู่ไป๋ไป่เข้าใจเรื่องหนึ่งมากขึ้น
“พระองค์ไม่ควรดูถูกตัวเองเช่นนี้” เด็กหญิงกล่าวปลอบใจ แต่พอคิดว่าเซียวถังอี้ไม่สนใจว่าเธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกินจริงเลย
เด็กหนุ่มเหลือบมองคนตัวเล็กแล้วพูดปลอบใจนางอีกครั้ง “เจ้าเองก็อย่าได้เก็บเรื่องนี้ไปคิดมาก”
แม้ว่าสงครามจะต้องมีผู้แพ้หรือชนะ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังไม่แน่นอน
“แต่เมื่อใดที่แคว้นใดเริ่มประกาศสงครามกับแคว้นอื่น พวกเขาย่อมต้องการเป็นฝ่ายชนะเพียงผู้เดียวเท่านั้น” เขาพูดพลางแสดงสายตาแน่วแน่
หลังจากมู่ไป๋ไป่ได้พูดคุยเปิดอกกับฮ่องเต้หนานซวนแล้ว เธอก็ไม่รู้สึกเกลียดเขาอีกต่อไป
เธอมองอีกฝ่ายขณะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “หม่อมฉันอยากอยู่ที่นี่”
ที่จริงแล้วสำหรับมู่ไป๋ไป่ การจะอยู่ที่นี่หรือกลับไปมันไม่มีความหมายอะไรมากนัก
แต่เมื่อเธอพูดเช่นนี้ออกไป ฮ่องเต้หนานซวนก็รู้สึกประหลาดใจมาก เขาเบิกตามองเธอแล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าต้องการอยู่ที่นี่ เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะปลิดชีวิตเจ้า?”
เด็กหนุ่มจงใจทำสีหน้าดุดัน แต่เด็กหญิงก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้
มู่ไป๋ไป่มองเขาอีกครั้งพร้อมกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “พระองค์ไม่ใช่คนแบบนั้น”
ฮ่องเต้หนานซวนที่ได้ยินดังนี้ก็ต้องมององค์หญิงตัวน้อยใหม่อีกครั้ง ขณะที่ความรู้สึกบางอย่างในใจเปลี่ยนไป
จากนั้นเขาก็พูดกับอีกฝ่ายว่า “ในเมื่อเจ้าอยากอยู่ที่นี่ ก็อยู่ให้สบายใจเถอะ”
เส้นทางของคนทั้ง 2 นั้นบรรจบอย่างแปลกประหลาด คนหนึ่งถูกลักพาตัวมา ในขณะที่อีกคนถูกล่อลวงให้ติดกับจนกระทั่งทุกอย่างมาถึงจุดนี้
ยามที่พวกเขามองตากัน ทั้งคู่ก็ต้องตกตะลึง
ฮ่องเต้หนานซวนกับมู่ไป๋ไป่ยังคงเป็นศัตรูกัน ข้อเท็จจริงนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ทั้ง 2 ไม่คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะได้มาพูดคุยกันถึงขั้นเป็นสหายกันในตอนนี้
“พระองค์ทรงอนุญาตให้หม่อมฉันทำอาหารของแคว้นเป่ยหลงให้พระองค์ได้หรือไม่เพคะ?” จู่ ๆ คนตัวเล็กก็ถามอีกฝ่ายขึ้นมา
ทางด้านฮ่องเต้หนานซวนอดไม่ได้ที่จะมองร่างเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ
จากนั้นเขาก็ถามออกไปตามตรงว่า “เจ้าเนี่ยนะจะทำอาหาร?”
มู่ไป๋ไป่ตกใจกับคำถามนั้น สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นไม่พอใจในขณะที่เธอพูดด้วยความโกรธว่า “พระองค์อย่าได้คิดที่จะดูถูกหม่อมฉัน”
เด็กหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางโกรธเคืองของเด็กน้อย ถึงอย่างไรนางก็ยังมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง แล้วตอนนี้จู่ ๆ นางก็มาบอกว่านางสามารถทำอาหารได้
ช่างน่าขบขันยิ่งนัก มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่องค์หญิงจะทำอาหารกินเอง
อย่างไรก็ตาม มู่ไป๋ไป่ผุดลุกขึ้นพร้อมกับถามอีกฝ่ายว่า “ครัวของที่นี่อยู่ที่ไหนหรือเพคะ?”
แม้ว่าฮ่องเต้จะหัวเราะเด็กหญิง แต่พอเขาเห็นว่าเจ้าตัวอยากทำอาหารให้เขาลองลิ้มรส เขาจึงตอบออกไปว่า “ครัวอยู่ทางโน้น”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้รับข้อมูลมาก็รีบมุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยความตื่นเต้น ทางด้านเด็กหนุ่มที่อยากเห็นกับตาตัวเองก็ได้เดินตามอีกคนไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 71
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น