บทที่ 216: หม่อมฉันอยากอยู่ที่นี่
“เหตุใดเจ้าถึงทำท่าทางเช่นนั้น?” ฮ่องเต้หนานซวนมองมู่ไป๋ไป่และถามออกมาด้วยความรู้สึกสับสนเมื่อเห็นว่านางดูจะไม่พอใจ
เด็กหญิงตอบออกไปตามตรงว่า “หม่อมฉันไม่อยากกลับไปเพคะ”
คราวนี้ผู้เป็นฮ่องเต้ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น การที่จู่ ๆ เด็กคนหนึ่งไม่อยากกลับบ้าน ประกอบกับทุกสิ่งที่นางพูดมันทำให้เขาแปลกใจมาก
มู่ไป๋ไป่เห็นท่าทางไม่เข้าใจของฝ่ายตรงข้าม แต่เธอก็ไม่ตั้งใจที่จะอธิบายอะไรให้เขาฟัง แล้วเธอก็พูดต่อว่า “หม่อมฉันเพียงแค่ไม่อยากกลับไป”
ฮ่องเต้หนานซวนไม่คาดคิดว่าองค์หญิงจะตอบเช่นนี้ เขาจึงมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นสักพักก่อนจะพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่กลับไปตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสให้กลับไปอีกแล้วนะ”
ถึงกระนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ยังแสดงท่าทีสงบนิ่ง “ถึงพระองค์ไม่อนุญาต หม่อมฉันก็ไม่ได้คิดที่จะกลับไปเพคะ”
ตอนนี้ดูเหมือนคนตัวเล็กจะไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องที่จะกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเลย นั่นทำให้ฮ่องเต้หนานซวนประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก เดิมทีเขารู้สึกแปลก ๆ ที่องค์หญิงหกไม่ยินยอมที่จะกลับไป
แม้ว่านางจะเป็นเด็กที่ไม่มีใครในแคว้นเป่ยหลงรัก แต่นางก็ต้องยอมรับสิ่งหนึ่งว่าสถานะของนางในแคว้นเป่ยหลงนั้นทรงอำนาจมาก
หลังจากที่นางกลับไปยังบ้านเกิด นางก็ยังจะได้รับการปรนนิบัติในฐานะองค์หญิงซึ่งมันทำให้นางไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
“หม่อมฉันแค่ไม่อยากไปไหน” มู่ไป๋ไป่ย้ำเป็นครั้งที่ 3 แล้วเด็กหนุ่มก็ส่งสายตาเคลือบแคลงสงสัยมองเธออีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน เธอก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หม่อมฉันไม่อาจทนทิ้งพระองค์ไปได้”
เดิมทีฮ่องเต้อยากจะได้ยินคำตอบอื่นจากองค์หญิง แต่จู่ ๆ เขาก็ได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของนาง มันทำให้สีหน้าของเขามืดมนลง และดวงตาที่มองเด็กตรงหน้าก็เรียบนิ่งอยู่เป็นเวลานาน
“หม่อมฉันไม่อยากกลับไป…” มู่ไป๋ไป่พึมพำเสียงเบาลงเรื่อย ๆ ในขณะที่เธอก้าวเข้าไปคว้าชายเสื้อของฮ่องเต้หนานซวนเอาไว้แน่น
แม้ว่าการกระทำนี้จะอุกอาจมาก แต่เธอก็ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เด็กหนุ่มที่คอยมองจับผิดเธออยู่ตลอดเวลาไม่พบสิ่งผิดปกติอื่นใด
แล้วเขาก็เปิดปากถามคนตัวเล็กกว่า “ที่แคว้นเป่ยหลงไม่มีใครที่เจ้าห่วงหาเลยหรือ?”
เด็กหญิงไม่คิดว่าฮ่องเต้หนานซวนจะถามคำถามนี้กับเธอ แต่เพื่อให้ทั้ง 2 สนิทสนมกันมากขึ้น เธอจึงพยักหน้าตอบว่า “...เพคะ ทุกคนพูดกันไปเองว่าหม่อมฉันได้รับความโปรดปรานมากที่สุด”
มู่ไป๋ไป่อึกอักพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะช้อนสายตามองชายตรงหน้าด้วยสายตาเศร้าสร้อย
ในขณะที่มือเล็กกำชายเสื้อแน่นยิ่งขึ้นจนทำให้ฮ่องเต้หนานซวนต้องพูดกับคนตัวเล็กว่า “เจ้าอย่าจับแน่นนักสิ เสื้อผ้าข้ายับหมดแล้ว”
ถึงมู่ไป๋ไป่จะได้ยินดังนั้น แต่เธอก็ยังกำชายเสื้อเขาไว้แน่นเพราะเธอกลัวว่าถ้าเธอปล่อยไป ทุกอย่างที่ทำมาจะพังลง
นั่นยิ่งส่งผลให้ผู้เป็นฮ่องเต้ทำตัวไม่ถูก จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปดึงมือเล็ก ๆ ขององค์หญิงน้อยออกจากชายเสื้อ และย้ำคำเดิมที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ แม้แววตาของเขาจะดูขุ่นเคืองไปสักหน่อยก็ตาม
“ข้าบอกว่าจะส่งเจ้ากลับ แต่ถ้าเจ้าไม่อยากกลับไป ข้าก็จะไม่บังคับ” เด็กหนุ่มพูดขึ้น
มู่ไป๋ไป่มองคนตรงหน้าอย่างตกตะลึงอีกครั้ง เพราะเธอไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะใส่ใจความคิดเห็นของเธอมากขนาดนี้
“กษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ” เด็กหญิงรู้สึกว่าปฏิกิริยาบางอย่างของเธอเป็นไปตามสัญชาตญาณในสายตาของฮ่องเต้
ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงจงใจเอ่ยประโยคข้างต้นเพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อใจเธอ
และปฏิกิริยาของฮ่องเต้หนานซวนในครั้งนี้ก็ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเขาเชื่อใจตนมากขึ้นจริง ๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากอยู่ข้างกายพระองค์จริง ๆ เพคะ” มู่ไป๋ไป่ย้ำจุดยืนต่อหน้าอีกฝ่าย
ในแคว้นหนานซวน เขาเคยได้ยินคนมากมายให้เหตุผลหลายประการว่าทำไมถึงต้องการสวามิภักดิ์ต่อเขา แต่เขาไม่เคยพบเจอใครที่ต้องการติดตามเขาด้วยความจริงใจอย่างเด็กคนนี้มาก่อน
“ตกลง” ฮ่องเต้หนานซวนตอบรับคำขอของคนตัวเล็กโดยไม่คิดอะไรอีก
นั่นทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกประหลาดใจมาก ถ้าตอนนี้เธอไม่ได้ถูกจับเป็นตัวประกัน มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะได้มาอยู่ในแคว้นหนานซวน
ดังนั้นเด็กหญิงจึงเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
ปกติฮ่องเต้หนานซวนเป็นคนประเภทที่ปลอบใจใครไม่เป็น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใด เจ้าตัวเล็กก็ไม่หยุดร้อง
หลังจากเด็กหนุ่มทนฟังเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยมาสักพัก เขาก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ เดิมทีเขาอยากจะถามคำถามนางเพื่อหยั่งเชิงต่อไป แต่เขาก็ต้องเลือกที่จะยอมแพ้
ทว่าปฏิกิริยาถัดไปขององค์หญิงตัวน้อยก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงอีกครั้ง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันหิวแล้วเพคะ” เนื่องจากมู่ไป๋ไป่พยายามหยั่งเชิงความคิดของฮ่องเต้หนานซวนมาเป็นเวลานาน เป็นผลให้ตอนนี้เธอรู้สึกหิวมากจริง ๆ
ทางด้านเด็กหนุ่มทำเพียงแค่ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วกอดอกถามออกมาว่า “ถ้าข้ารั้งเจ้าไว้ที่แคว้นหนานซวน เจ้าจะไม่คิดถึงครอบครัวของเจ้าจริง ๆ หรือ?”
จู่ ๆ เด็กหญิงก็ได้รับคำถามแบบกะทันหัน ดวงตากลมโตจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เพราะเธอคิดถึงหลาย ๆ คนมากจริง ๆ
แต่เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจ มู่ไป๋ไป่เลยเลือกที่จะส่ายหัวเต็มแรง ก่อนจะเลียนแบบท่าทีของฮ่องเต้เวลาพูด
“หม่อมฉันไม่คิดถึงใครหรอกเพคะ ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็ไม่ได้สนใจหม่อมฉันอยู่แล้ว”
ผู้เป็นฮ่องเต้รู้สึกแปลกใจกับคำตอบของคนตัวเล็ก
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่สนใจเจ้า ถ้าพวกเขาไม่สนใจเจ้าจริง ๆ ข้าเกรงว่าข้าจะไม่มีโอกาสได้เจรจากับพวกเขาด้วยซ้ำ” เด็กหนุ่มพูดเช่นนี้เพื่อเป็นการปลอบโยนเด็กน้อย
วาจานั้นทำให้มู่ไป๋ไป่เริ่มระวังตัวมากยิ่งขึ้น แม้เธอจะเคยคิดว่าฮ่องเต้หนานซวนทั้งโง่เขลาและไร้เดียงสา แต่การกระทำส่วนใหญ่ของเขาไม่ได้โง่เลย เขาดูค่อนข้างฉลาดมากด้วยซ้ำ เธอจึงต้องระมัดระวังในการรับมือกับเขาเสมอ
“พระองค์ได้เจรจากับชาวเป่ยหลงแล้วหรือเพคะ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้าให้เด็กหญิงเป็นคำตอบ ก่อนจะกล่าวว่า “หลังจากที่เจ้าถูกพาตัวมา ข้าได้ส่งข่าวให้กับคนของแคว้นเป่ยหลงทราบทันที”
เขาแจ้งฝั่งโน้นทันที!
มู่ไป๋ไป่เบิกตามองอีกฝ่าย ชั่วครู่หนึ่งเธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนโง่
ก่อนหน้านี้เธอพยายามโกหกเพื่อหลอกล่อฮ่องเต้หนานซวนไปต่าง ๆ นานาว่าตนไม่เป็นที่ต้องการ แต่ความจริงตรงหน้าได้ตบเข้าที่ใบหน้าของเธอเต็มแรง
ตอนนี้ดูเหมือนว่านอกจากเธอจะโน้มน้าวฮ่องเต้พระองค์นี้ไม่ได้แล้ว เธอยังทำให้ตัวเองต้องอับอายต่อหน้าฝ่ายศัตรูอีกด้วย
“แล้วพวกเขาเป็นอย่างที่หม่อมฉันพูดหรือไม่ พวกเขาไม่สนใจหม่อมฉันเลยใช่หรือไม่เพคะ?” มู่ไป๋ไป่ถามพร้อมกับทำหน้าเศร้าสร้อย
เด็กหนุ่มเหลือบมองคนตัวเล็กแล้วพยักหน้า
“หลังจากที่เซียวถังอี้ได้ฟังคำพูดของทูตที่ไปส่งข่าว เขาก็พูดออกมาเพียงว่า อย่างน้อยก็มีภาระน้อยลง 1 เรื่อง”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วเธอก็ถลึงตามองคนเป็นฮ่องเต้ด้วยความโกรธ
“พระองค์ตรัสว่าเช่นไรนะเพคะ?” เด็กหญิงฟังไม่ผิดแน่นอนว่าเขาพูดชื่อเซียวถังอี้ แต่อีกฝ่ายกลับพูดถึงสิ่งที่เจ้าสัตว์ประหลาดตอบกลับซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
“เขาบอกว่าความเป็นความตายของเจ้าไม่สำคัญ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
มู่ไป๋ไป่นิ่งอึ้งไป เมื่อเธอมองหน้าอีกฝ่าย ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเชื่อมั่นในตัวเธอมากขนาดนี้
ที่แท้เขาได้ส่งคนไปเจรจากับเซียวถังอี้เพื่อหาหลักฐานเรียบร้อยแล้ว เดิมทีคนตัวเล็กคิดว่าด้วยสถานะปัจจุบันของเธอ คนพวกนั้นจะหาทางช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่
แต่คำตอบที่เธอได้รับจากฮ่องเต้หนานซวนกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกผิดหวังมากจริง ๆ
ขณะเดียวกัน เมื่อฮ่องเต้หนานซวนเห็นท่าทีเหม่อลอยของมู่ไป๋ไป่ เขาก็ยิ้มมุมปากก่อนจะก้าวเข้าไปตบไหล่ปลอบอีกฝ่าย
“ข้าเข้าใจว่าเจ้ารู้สึกเช่นไร” เด็กหนุ่มพูดปลอบเด็กน้อย
คำพูดและการกระทำของคนตรงหน้ายิ่งทำให้เด็กหญิงพูดไม่ออก เธอรู้สึกไม่กล้าสู้หน้าฮ่องเต้หนานซวน เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เธอปลอบใจเขา คำบางคำนั้นเป็นเพียงการโกหก
เนื่องจากการพยายามตีสนิทของเธอ มันอาจจะทำให้พวกเธอไว้วางใจกันมากขึ้น แต่ปรากฏว่าเป็นเธอที่คิดเข้าข้างตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว
หลังจากสังเกตให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง ดูเหมือนว่ามันจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้คนผู้นี้แสดงออกเช่นนั้น
“เซียวถังอี้ตอบกลับมาเช่นนั้นจริง ๆ หรือเพคะ?” มู่ไป๋ไป่เอ่ยถาม
ฮ่องเต้หนานซวนไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถามเช่นนี้ เขาหันไปมองนางด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาตรงหน้า
มู่ไป๋ไป่ไม่ได้ขัดขืนอะไรมากนัก แต่เธอยังคงมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจังเช่นเดิม
ถึงแม้ใบหน้ากลมมนจะแสดงออกว่าอยากรู้คำตอบมาก ทว่าการกระทำของเจ้าตัวนั้นแตกต่างจากเด็กทั่วไปอย่างสิ้นเชิง
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เวรกรรม กลายเป็นตัวเองที่โดนปั่นหัวเสียเอง แต่ด้วยนิสัยของเซียวถังอี้ จะพูดแบบนั้นก็ไม่แปลกเพราะไม่ต้องการตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและวิ่งเต้นอยู่บนฝ่ามือของศัตรู
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 60
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น