ทานข้าวที่บ้าน
ทานข้าวที่บ้าน
ผมนั่งมองเพื่อนๆ ที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุก พร้อมกับนั่งกินบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างด้วยรอยยิ้ม ยังมีเพื่อนบางส่วนลุกไปตักของกินมาเพิ่ม...ชีวิตผมมันก็น่าจะมีความสุขดี แต่ก็เหมือนขาดอะไรบางอย่าง
ร้านแห่งนี้เป็นร้านบุฟเฟ่ต์ชื่อดังในละแวกหอพักของผม ภายในร้านจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัยนักศึกษาไม่ต่างจากผมและเพื่อนๆ ดังนั้นในร้านจึงค่อนข้างครึกครื้นพอสมควร สิ่งเหล่านี้น่าจะทำให้ผมลบความรู้สึกบางอย่างออกไปได้...แต่ว่าก็ไม่
“นายเป็นอะไร ฉันเห็นนายดูเหม่อๆ มาได้สักพักแล้วนะ?” เมย์เพื่อนสาวในกลุ่มเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เปล่า ก็แค่รู้สึกเซ็งๆ” ผมตอบเนือยๆ พลางคีบเนื้อชิ้นเล็กๆ ใส่ปาก แม้แต่ผมเองก็บอกชัดไม่ได้ว่าทำไมผมถึงมีอาการแบบนี้ เพราะถึงผมจะอยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน แต่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้เลย
“แกอกหักเปล่าวะ สาวไหนกล้าทิ้งเพื่อนเราวะนั่น?” นัด เพื่อนชายในกลุ่มเอ่ยถามอย่างไม่จริงจังมากนัก แต่ก็เรียกความสนใจจากเพื่อนในกลุ่มได้ไม่น้อย จนมีเสียงถามว่า ‘ใครๆ เล่าให้ฟังหน่อย’ ตามมาอีกหลายเสียง
“ไม่ได้อกหัก แฟนไม่มีจะอกหักได้ไง บอกไม่ถูกว่ะ ก็แค่รู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ เท่านั้นเอง” ผมตอบไป ตามด้วยยกเครื่องดื่มขึ้นจิบคลายร้อน
กลุ่มของผมนั่งอยู่ที่ร้านถึงราวๆ ห้าทุ่ม ก่อนจะแยกย้ายกันกลับหอใครหอมัน เนื่องจากหอผมค่อนข้างใกล้ ประกอบกับช่วงดึกรถบนถนนมีน้อย เลยกลับถึงหอเร็วหน่อย
คิดว่ากลับมาดูหนังคนเดียวที่ห้องแล้วความรู้สึกบางอย่างจะหายไป...แต่ก็เปล่าอีกตามเคย
ระหว่างที่ไล่ดูหนังบน Youtube ก็ปรากฏโฆษณาสินค้าบางตัวขึ้นมา ทีแรกผมนั่งดูมันเพราะขี้เกียจกดข้าม เนื้อหาของโฆษณาเกี่ยวกับการเดินทางกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวของผู้หญิงคนหนึ่ง ภายหลังจากดูจบ ผมยอมรับเลยว่าสินค้าดังกล่าวทำโฆษณาออกมาได้จับใจคนดูจริงๆ
มันทำให้ผมหันมาถามกับตัวเองว่า...ผมไม่ได้กลับบ้านไปหาพ่อและแม่มานานเท่าไหร่แล้ว?
ผมมองดูนาฬิกาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพาพบว่านี่ก็เกือบจะตีสามแล้ว ผมเลยตัดสินใจปิดคอมแล้วเข้านอน คิดว่าพรุ่งนี้คงจะต้องกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวสักวันสองวัน ก่อนจะกลับมาสู้ชีวิตในการเรียนปีสามอีกครั้ง
ผมก้าวท้าวลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้างเมื่อรถมาหยุดอยู่บ้านอันคุ้นตา ผมเดินเข้าไปในประตูรั้วบ้านที่เปิดเอาไว้อย่างคุ้นเคย
ถนนปูด้วยบล็อกซีเมนต์สีขาวทอดยาวไปจนถึงระเบียงเตี้ยหน้าบ้าน ก่อนจะโค้งเข้าไปทางโรงจอดรถ ด้านขวาเป็นสนามหญ้าขนาดพอดี มีกระถางดอกไม้ตั้งอยู่เป็นระยะแลดูสวยงาม ส่วนด้านซ้ายก็เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิด
ผมเดินมองดูทัศนียภาพที่คุ้นเคยไปอย่างช้าๆ กระทั่งถึงตัวบ้าน ผมจึงถอดรองท้าวแล้วก้าวขึ้นไปยังระเบียงเตี้ยๆ ก่อนจะเดินผ่านประตูกระจกที่ถูกเปิดเอาไว้เพื่อไปหาคนที่อยู่ข้างใน
เมื่อผมเดินเข้ามาในตัวบ้าน ภาพชายวัยกลางคนกำลังนั่งอ่านหนังสือเป็นสิ่งแรกที่ผมมองเห็น ผมเร่งฝีท้าวเดินเข้าไปหาแล้วพูดอย่างดีใจ
“สวัสดีครับพ่อ” ผมยกมือไหว้
พ่อวางหนังสือในมือลงไว้บนโต๊ะกระจกเตี้ยๆ แล้วยิ้มรับ “เป็นไงมาไงวะ ทำไมวันนี้ถึงได้กลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่ได้?”
ผมเคลื่อนตัวไปนั่งตรงโซฟาอีกตัว “รู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ น่ะครับ เลยคิดว่าจะกลับมาเล่นที่บ้านสักวันสองวัน” ผมตอบ “แล้วแม่ไปไหนครับพ่อ?”
“แม่แกทำกับข้าวเที่ยงอยู่หลังบ้านโน่น แกรออยู่นี่ก็ได้ อีกหน่อยแม่คงจะออกมาแล้วล่ะ เราจะได้กินข้าวกินปลากัน” พ่อหยุดพูดพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “เครื่องดื่มอยู่ในตู้เย็นนะ เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ อยากจะกินอะไรก็เดินไปหยิบเอา”
ผมเดินไปเอาเครื่องดื่มกระป๋องจากตู้เย็นมาสองกระป๋อง แล้วส่งให้พ่อไปกระป๋องหนึ่ง ระหว่างที่เรากำลังพูดคุยกันไปเรื่อยๆ หญิงวัยกลางคนร่างเล็กก็เดินถือถาดอาหารเข้ามา
“อ้าวลูก กลับมาถึงนานหรือยังฮึเรา?”
ผมยกมือไหว้ “เพิ่งถึงเมื่อครู่นี้เองครับแม่” ผมตอบพร้อมกับลุกไปช่วยถือถาดอาหารไปวางที่โต๊ะสำหรับทานข้าว
น่าแปลกที่อาหารมื้อนี้ไม่มีคนเยอะ ไม่มีเสียงเพลง ไม่ได้อยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยความเลิศหรูอลังการ ทว่ามันกลับเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปของผมได้
ถึงแม้อาหารที่บ้านจะเป็นเพียงอาหารง่ายๆ มีคนร่วมทานเพียงไม่กี่คน...แต่ความอบอุ่นที่ได้รับมันช่างมหาศาลมากกว่าไปกินข้าวที่ไหนๆ
ในที่สุดผมก็ได้รู้สักที ว่าความรู้สึกที่ขาดหายไปในระหว่างที่ผมอยู่กับเพื่อนๆ อยู่ในร้านอาหารดีๆ อยู่ในพื้นที่อันเต็มไปด้วยผู้คนมันคืออะไร
...นั่นก็คือความอบอุ่นจากครอบครัวเล็กๆ ที่มีคนเพียงไม่กี่คน แต่ทว่าเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม
ผมทอดสายตาผ่านหน้าต่างห้องนอนที่หันออกไปทางสนามหญ้าหน้าบ้านแล้วเอ่ยกับตัวเอง “หากช่วงไหนว่างๆ ที่พอจะกลับบ้านได้ ผมจะกลับมากินข้าวที่นี่ทุกครั้ง” สายลมพัดเอื่อยๆ มาต้องผิวกาย นำพาเอาอากาศอันสดชื่นมาสู่ร่างกาย เป็นอะไรที่ไม่มีทางหาได้ในเมืองใหญ่
- 👁️ ยอดวิว 1421
แสดงความคิดเห็น