ปักษายักษ์เหนือเวหา
ละอองหิมะเริ่มโปรยปรายบนเส้นทางที่แสนโดดเดี่ยว ที่สุดรถม้าก็มาถึงยังชานเมืองลารูแทนนู ผู้คนที่สัญจรดูน้อยและส่วนใหญ่แต่งตัวด้วยชุดผ้าบางดูวาบหวิวทั้งที่บรรยากาศในยามนี้หนาวจับใจ พื้นถนนเป็นดินลูกรัง มีรถม้าและรถเข็นสัญจรอย่างบางตา พื้นที่ชุมชนเป็นทุ่งหญ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาว เต็นท์คือสิ่งเสมือนบ้านเรือนของที่นี่ ที่สุดภาพทิวทัศน์ก็เปลี่ยนจากลานหิมะขาวมาเป็นผืนป่าและไม่นานก็จอด
เสียงวิพากษ์วิจารณ์หลังพวกนักเรียนได้เห็นพื้นที่โดยรอบ ลานดินกว้างปกคลุมด้วยต้นไม้สูงซึ่งน่าจะเป็นพันธุ์เดียวกับที่พบในเขตนอกเมืองลอว์เนอร์ “ก่อนอื่นผมขอให้พวกคุณจัดแถวตอนลึกครับ”
นิโคลัสเดินนำแถวนักเรียนเข้าสู่เส้นทางในป่าลึก ความเงียบที่มากเกินไปภายในป่าไร้เสียงนี้ ไม่มีทั้งเสียงนกร้องเพลงในยามเช้าหรือเสียงของสิ่งมีชีวิตอื่นใดก็ไม่ได้ยิน ไม่มีแม้แต่เงาการเคลื่อนไหวแต่แล้วทุกคนก็ได้ยินอย่างพร้อมเพรียง เหมือนกับลมกระโชก ดังอยู่เป็นจังหวะและมันทำให้ทุกคนหันมองตามก่อนจะมีอีกเสียงดังขึ่น มันคือเสียงกระทบพื้นอย่างแรงจนนักเรียนหลายคนหลุดกรี๊ดออกมา “เสียงอะไรน่ะ?!” จากหนึ่งที่เอ่ยขึ้นแพร่กระจายเหมือนโรคติดต่ออย่างรวดเร็วจนแทบทั้งหมดอยู่ในอาการตื่นตระหนกตกใจกับสิ่งที่มองไม่เห็น “ตั้งสติหน่อย!!” เสียงแผดผิดวิสัยนิสัยของนิโคลัสสยบอารมณ์สงสัยและกังวลทันที “อีกไม่นานก็จะถึงจุดหมายแล้ว รบกวนอย่าแตกแถวเพราะผมไม่อยากนั่งเก็บศพใครกลับนะครับ!!” ไม่มีใครกล่าวอะไรต่ออีกหลังจากนั้น กระทั่งหัวแถวหลุดออกมาจากป่าและเห็นภูเขา 3 ลูก คลุมด้วยกองหิมะที่รอการเสียรูปลักษณ์ เสียงอากาศบิดเบี้ยวเป็นจังหวะกับเสียงคำรามของสิ่งมีชีวิตคล้ายวิหคที่กำลังสยายปีกอยู่บนท้องนภา “ไม่ได้เห็นนานแล้วนะครับ” นิโคลัสแหงนมอง รอยยิ้มอันอบอุ่นไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีร่างปริศนา 2 คน ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้
ร่างปริศนาสวมเครื่องแต่งกายเหมือนของชาวบ้านในเมืองนี้ ต่างตรงที่มีสายพานพาดไหล่บนตัวของชายวัยกลางคน ผมน้ำตาลเข้ม ใบหน้าอันดุดันแม้ในยามที่กำลังแสดงรอยยิ้ม สิ่งที่แขวนไว้กับสายพานคือกรงเล็บและเขี้ยวมังกรนับร้อย ร่างกายมีแต่บาดแผลเล็กและใหญ่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ ส่วนชายหนุ่มผมบลอนด์ หน้าอกแข็งแกร่งและสมชายชราตรีของปรากฏรอยข่วนลากยาวจากเหนือยอดอกจนถึงสะดือ กางเกงทำจากหนังและเกล็ดมันวาว ดูแล้วสบายและยืดหยุ่น เท้าไม่สวมเครื่องนุ่งห่มซึ่งมันทำให้โทมัสรู้สึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของคนพวกนี้กับตระกูลไททาเนียน
“ยินดีที่ได้พบพวกเจ้าทุกคน ลูกหลานมังกรทั้งหลาย” เสียงหนักแน่นและมั่นคงจากลาเบริฟ ชายวัยกลางคนผู้ทอดสายตามาที่เหล่านักเรียนด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข “ทุกคนทำความเคารพ!!” นิโคลัสเป็นคนสั่งด้วยตัวเอง เสียงของนักเรียนดังอย่างพร้อมเพรียงและเมื่อมันหยุดลง นิโคลัสเดินออกไปหาพวกนั้นและโค้งตัวลงอย่างยำเกรง “ผมโบนกิน นิโคลัส ขอแสดงความเคารพต่อท่านลาบาริฟครับ” นิโคลัสโค้งตัวแสดงความเคารพ “ท่านเทิ่นอะไรกัน นิโคลัส อย่าทำตัวเป็นคนอื่นไกลนักสิ เจ้าอุตส่าห์ช่วยดูแลหน่อเนื้อเชื้อไขของข้าให้เติบโตมาเป็นกุลสตรีผู้เพียบพร้อมออกเรือนได้ ข้าขอบใจเจ้ายิ่งนัก” ลาเบริฟเพ่งดวงตาผ่านนักเรียนหลายร้อย
“หลานของท่านเป็นเด็กฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร ผมแทบจะไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำครับ” นิโคลัสกล่าวอย่างถ่อมตน พวกพูดคุยกันเหมือนเพื่อนต่างวัยที่ไม่ได้เจอกันนาน เสียงหัวเราะชอบใจดังสลับไปมาพร้อมการแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบ “ท่านพ่อ ข้าว่าเรื่องส่วนตัวไว้คุยกันตอนไปถึงที่พักเถอะ” ในที่สุดดินอร์ธก็เอ่ยปากขึ้นมา เขาคือชายหนุ่มผู้ยืนข้างๆ ลาเบริฟ “เออ นั่นสินะ ฮ่าๆๆ” ลาบาริฟหัวเราะชอบใจ “ไปกันเลย!” ลาเบริฟออกเดินไปข้างหน้า “ท่านพ่อ…” “มีอะไรรึ?” เขาหันมองหน้าบุตรชายด้วยความไม่รู้ “ท่านยังไม่ได้แนะนำตัวเองกับสถานที่แห่งนี้แล้วจะเดินทางไปลานกว้าง ข้าว่ามันดูไม่ค่อยถูกต้องนัก” “ดีมากไอ้ลูกชาย!! ถ้างั้นข้าขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ตัวข้าชื่อลาบาริฟ ผู้นำชนเผ่าน็อกการ์ดเดี้ยนและนี่คือลูกชายของข้าชื่อดินอร์ธ ผู้ฝึกมังกร”
เป็นการแนะนำตัวที่สั้นและกระชับแต่นั่นก็เพื่อการรักษาเวลาของความสนุกหลังจากนี้ พวกเขาพานักเรียนเดินชมเบื้องล่างของภูเขาแต่ละลูกพร้อมอธิบายระบบนิเวศน์และสัตว์ที่อาศัยเหนือฟากฟ้าแห่งนี้ พวกมังกร “เมืองลารูแทนนูไม่เหมือนเมืองใดในประเทศโนซาล์บเพราะเป็นเมืองของชนเผ่าผู้สืบทอดสายเลือดมังกรอันเก่าแก่ ชนเผ่าน็อกการ์ดเดี้ยน” ลาบาริฟกล่าว “5 เขตได้แก่เขตหมู่บ้าน เขตตลาด เขตสกาย มาวน์เท็นซ์ เขตที่จอดรถม้าและเขตป่าลึก” เสียงคำรามจากท้องฟ้าทำเอาขนแขนของนักเรียนบางคนลุกชัน
“เสียงคำรามของมังกร นี่คือสวรรค์ของพวกมันแต่ไม่ต้องกลัวไปเจ้าหนูทั้งหลาย พวกมันไม่กินเนื้อมนุษย์เหมือนมังกรนอกประเทศ พวกมันเป็นมิตรและไม่ทำร้ายมนุษย์” ลาเบริฟกล่าวเพื่อปลอบประโลมความกลัวของสิ่งที่อยู่เหนือกว่า “มังกรบนสกาย มาวน์เท็นซ์มีหลากหลายสายพันธุ์ จำแนกจากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นหลัก ฮึ่ม~ ถ้าสนใจข้อมูลเพิ่มเติมให้สอบถามลูกชายของข้านอกรอบก็แล้วกัน” ลาเบริฟกล่าวปัดด้วยความขี้เกียจ จบจากเขตหุบเขาก็เป็นลานหญ้ากว้าง มีชาวบ้านกำลังประลองอาวุธอยู่หลายคู่ “นี่ไม่ได้เป็นลานประลองของอัศวินอย่างเดียวแต่ยังเป็นตลาดยามเย็นด้วย” ดินอร์ธส่งเปลวไฟสีแดงที่เผาผลาญในมือสู่ผืนฟ้า
“นั่นเขาทำอะไร?” นักเรียนคนอื่นคิดตามแต่ไม่นานคำตอบก็ปรากฏเหนือหัวของพวกเขา เสียงแหวกอากาศที่ดังสนั่นและลมกระโชกราวกับกำลังจะเกิดพายุในไม่ช้า “มะ-มังกร!!!” โทมัสยกแขนขึ้นบังเศษฝุ่นในขณะที่เพื่อนนักเรียนวิ่งหนีกันอย่างชุลมุน พยายามเพ่งตามองภาพตรงหน้าของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สีแดงสว่าง คอยาวไม่แพ้ยีราฟ ปีกที่กำลังกระพือเพื่อพยุงร่างกายใหญ่โตคือสาเหตุของกระแสลมมหาศาลนี้ แขนและขาของมันคือกรงเล็บยาวแหลมที่ทำให้จิตใจของผู้มองเสียววาบ มันบินลงมาที่ดินอร์ธและเมื่อขาทั้งแตะพื้น คอของมันโงนลงจนแนบชิดติดพื้นตรงหน้าของดินอร์ธ ดวงตาสีเหลืองสว่างคู่โตจ้องเขม็งมาที่กลุ่มนักเรียนด้วยแววตาเพชฌฆาตที่พร้อมขย้ำเหยื่อแต่เมื่อถูกดินอร์ธลูบหัวก็ทำให้มันเหมือนกับหมาเชื่องตัวหนึ่ง
ดินอร์ธปีนขึ้นไปยืนบนหัวมังกรและผิวปากในขณะที่มังกรตัวนั้นชูคอขึ้นอีกครั้ง ลูกไฟสีแดงลอยขึ้นฟ้าและเพียงชั่วนาทีที่รอคอย มังกรอีกตัว เขาสีน้ำตาลค่อนดำ ดูไม่เป็นมิตร บินมาจากทิศทางของสกาย เมาว์เท็นซ์ ลงมายังที่ๆ ชายชาวบ้านคนหนึ่งยืนอยู่ เขาทำเหมือนกับดินอร์ธ รอให้หัวอันยาวยืดของเจ้ามังกรแตะถึงพื้น “เอ้า!! พวกเจ้ามัวแต่ยืนรออะไรกัน ไปจับจองที่นั่งได้แล้ว ดินอร์ธกำลังจะสาธิตการต่อสู้พร้อมมังกรให้พวกเจ้าชมแล้วนะ!!” ลาเบริฟตะโกน นักเรียนที่กลัวและตกตะลึงกับภาพตรงหน้าถึงมีสติกลับมา
การปะทะกันของมังกร 2 ตัวนั้นเป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งพ่นไฟ ทั้งใช้ฟันแหลมที่ปากและกรงเล็บที่มือจิกไปที่อีกฝ่ายอย่างมีชั้นเชิง โทมัสนั่งมองการประลองเหนือเวหาอย่างละเอียดและสังเกตว่าผู้คุมมังกรทั้งคู่ไม่ได้ทำท่าทางหรือเปล่งเสียงสื่อสารกับมังกรของพวกเขา “กุญแจสำคัญในการควบคุมมังกรคือความสุขุมของผู้คู่หู” คำอธิบายจากปากของร่างที่นั่งข้างโทมัส ทำเอาคนฟังตกใจพอสมควรเพราะไม่รู้สึกตัวเลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลาเบริฟนั่งตรงนี้ “ความสุขุมหรือครับ? มันช่วยควบคุมมังกรยังไง ผมนึกไม่ออกจริงๆ ครับ” ซาคาเรียสที่นั่งถัดจากโทมัสถามด้วยความไร้เดียงสา “มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่ พวกมันมองเห็นในสิ่งที่มนุษย์ไม่เห็น” ทั้งซาคาเรียสและโทมัสต่างขมวดคิ้วเข้าหากัน “พลังจิตยังไงครับ มังกรสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของเจ้านายจากคลื่นพลังจิตที่แผ่ออกจากตัวของมนุษย์ โดยธรรมชาติแล้วพวกมังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายดังนั้นหากผู้เป็นนายมีจิตใจที่สับสน พวกมันจะแว้งทำร้ายทันทีครับ” นิโคลัสที่นั่งข้างกับลาเบริฟตอบคำถามแทน “ถูกต้อง มังกรมีสันดานดุร้าย เป็นราชันต์แห่งท้องนภา ผืนป่าและผืนน้ำ พวกมันไม่เลือกรับใช้พวกที่อ่อนแอกว่ามันดังนั้นอารมณ์ในขณะที่ขี่มังกรจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดยังไงล่ะ” ลาเบริฟกล่าวเสริม
“อืม~ อันตรายเหมือนกันนะครับ” ซาคาเรียสกล่าว “ฮ่าๆ เจ้าอายุเท่าไหร่กัน?” ลาเบริฟถาม “ปีนี้ย่างเข้า 30 ครับ” คำตอบของเขาทำให้วิลเลี่ยมและรูบี้ตกใจเป็นอย่างมากเพราะใบหน้าขาวเนียนนั้นไม่ได้บ่งบอกอายุที่มากกว่า 20 แต่ที่ดูจะตกใจที่สุดดูจะเป็นโทมัส “โอ้!! ไอ้หนูผ่านพิธีกรรมการคัดสรรแห่งไฟแล้วสินะ?” ลาเบริฟเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “ผมไม่ได้มีฐานะทางสังคม.....ผมเอ่อ” ซาคาเรียสยิ้มกลบเกลื่อนเมื่อถูกศอกของคนที่นั่งข้างๆ สะกิดอย่างเป็นนัย “อืม~~ เรื่องแบบนี้มันก็นะ” เขาเอ่ยเสียงเศร้าก่อนจะแหงนหน้ารับชมการต่อสู้เหนือเวหาต่อไป ไม่รู้ว่าใครบ้างที่จะได้ยินเรื่องที่ซาคาเรียสหลุดปากออกมา ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่นั่งไม่ไกลกันมากแต่เหนือสิ่งอื่นใด ทำไมชายที่ชื่อลาเบริฟถึงคุยกับซาคาเรียสเสมือนว่าไม่รู้จักในฐานะจอมปลอมที่เขาสวมใส่อยู่?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 254
แสดงความคิดเห็น