ภูพิง-อิงธารา บทที่ 2
เช้าตรู่ของทุกวันทำงานอิงธาราต้องรีบตื่นแต่เช้า เพื่อออกไปก่อนที่คนบ้านใหญ่จะตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน เพราะเธอต้องเดินผ่านหน้าบ้านใหญ่เพื่อไปยังประตูทางออกซึ่งมีเพียงทางเดียว เหตุที่หญิงสาวต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้านั้นเพราะต้องการเลี่ยงการถูกกระทบกระทั่งระหว่างวาสนาและวีร์นัชชา แต่หลังจากนี้คงต้องรวมกฤตดนัยเข้าไปด้วยอีกคน มือบางค่อยๆ เลื่อนปิดประตูรั้วอย่างแผ่วเบา ลมหนาวปะทะร่างจนต้องกระชับผ้าพันคอไหมพรม ป้ามะลิเดินออกมาส่งเหมือนทุกวัน แต่วันนี้แกรู้สึกกระวนกระวายใจแปลกๆ
"ไปถึงโรงเรียนก็โทรมาบอกป้าหน่อยนะคะคุณหนู" อดไม่ได้ที่จะแสดงความกังวลออกไป
"วันนี้มาแปลดนะคะเนี่ย ทำไมเหรอคะป้า ป้าไปได้ยินอะไรมาอีกแล้ว" ที่เธอถามพี่เลี้ยงสูงวัยอย่างนี้ก็เพราะว่า คุณๆ ของบ้านใหญ่มักจะหาเรื่องมาจัดการเธออยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งที่รอดมาได้ก็เพราะคนใช้บ้านโน้นมักแอบมาบอกป้ามะลิอยู่เสมอ
"ไม่ใช่บ้านโน้นหรอกค่า แต่ป้ารู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้ค่ะ ยังไงก็อย่าลืมโทรมาบอกหน่อยแล้วกันนะคะคุณหนู"
"ถ้าไม่ใช่บ้านโน้นก็สบายใจได้ค่ะ เพราะน้ำอิงไม่มีศัตรูที่ไหนแล้ว เพื่อความสบายใจของป้าถ้าถึงโรงเรียนแล้วน้ำอิงจะโทรหานะคะ" หญิงสาวส่งยิ้มสดใสให้พี่เลี้ยงสูงวัย ก่อนที่จะหมุนตัวเดินห่างออกไป ป้ามะลิมองส่งจนแผ่นหลังบอบบางกลืนหายไปกับแสงขมุกขมัวของย่ำรุ่ง
หญิงสูงวัยถอนใจอย่างกังวล อดสะท้อนใจกับชะตากรรมลูกสาวของผู้มีพระคุณไม่ได้ ขนาดมีบริษัทของครอบครัวยังถูกกีดกันจนต้องออกมาทำงานเป็นครูอนุบาลในโรงเรียนซึ่งมุกราตรีเป็นเจ้าของ โชคดีที่คุณหนูของแกมีเพื่อนที่ดีอย่างมุกราตรี ไม่งั้นก็ไม่รู้ชีวิตจะลำบากเพียงใด เพราะหลังจากที่อิงธาราเรียนจบปองพลก็ไม่ได้ส่งเสียอะไรลูกสาวอีกเลย ดังนั้นค่าใช้จ่ายของหญิงสาวจึงมาจากการทำงานของเธอ ส่วนป้ามะลิเองก็ยังได้รับเงินเดือนจากบ้านโน้นตามปกติ ชีวิตจึงไม่ลำบากมากนัก แกก็ได้แต่หวังว่า
อิงธาราจะได้เจอคู่ครองที่ดี แต่ก็นั่นแหละ พอได้เจอแล้วจะอย่างไรก็ในเมื่อเงินและสมบัติพัสถานยังคงเป็นปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต แล้วผู้ชายดีๆ ที่ไหนจะมามองหญิงสาวที่ไม่มีแม้แต่บ้านที่จะซุกหัวนอนอย่างคุณหนูของแกอีกเล่า
ฤดูหนาวอย่างนี้ฟ้ามักจะสว่างเร็ว อิงธาราเดินลัดเลาะไปตามทางเล็กๆ ซึ่งตัดผ่านบ้านใหญ่ เมื่อลุงดำคนสวนเก่าแก่เห็นหญิงสาวก็กุลีกุจอเปิดประตูรั้วรอ อันที่จริงแล้วมีคนใช้เก่าแก่ไม่กี่คนที่ยังจำได้ว่าเธอเป็นคุณหนูอีกคนของบ้าน ลับหลังคุณผู้หญิงพวกเขาก็จะปฏิบัติตัวอย่างดีต่อเธอ แต่คนใช้รุ่นหลังๆ มักคิดว่าเธอเป็นผู้อาศัยเท่านั้น จึงไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้เพราะลูกสาวเจ้าของบ้านไม่ชอบขี้หน้า ขืนมาคลุกคลีตีโมงกับเธอเข้าอาจโดนเจ้านายบ้านโน้นเพ่งเล็งเอาได้
ลมเย็นจนต้องกระชับผ้าพันคออีกครั้ง ไฟหน้าบ้านยังคงเปิดอยู่ น้ำพุในอ่างที่เธอชอบมานั่งเล่นประจำเริ่มทำงานตามเวลาของมันแล้ว บรรดาคนใช้เริ่มตื่นมาทำกิจวัตรของตน หญิงสาวทอดน่องช้าๆ มองตัวบ้านด้วยความคิดถึง อยากเข้าไปข้างในแต่เธอรู้ดีว่าไม่มีวันนั้นอีกแล้ว ทุกอย่างในนั้นเป็นเพียงภาพฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น ไม่มีพ่อแม่ลูก ไม่มีครอบครัวที่อบอุ่นรอเธออยู่ในนั้น อิงธาราได้แต่ทอดถอนใจอย่างหม่นเศร้าแล้วเร่งจังหวะก้าวเดิน แต่เสียงเรียกของคนข้างหลังทำให้เธอจำต้องหยุดฝีเท้าลง
"เดี๋ยวก่อนซิน้ำอิง" หญิงสาวหันกลับไปยังต้นเสียง
ชายที่อยู่ในความทรงจำของเธอทั้งยามหลับและยามตื่น ชายผู้ที่เธอพยายามจะลืมเดินลงจากบันใดหน้าบ้านตรงมาหาเธอช้าๆ วันนี้เขาสวมเครื่องแบบที่เธอเห็นจนเจนตา เครื่องแบบของโรงเรียนที่เขาเข้ามาบริหารแทนคุณกุลวดีผู้เป็นแม่ เธออุตส่าห์หลบการเผชิญหน้ากับเขาได้ตั้งเกือบเดือนแล้ว แต่วันนี้ก็มาถึงจนได้
"สวัสดีค่ะพี่นาย เอ่อ...กำลังจะไปทำงานเหรอคะ" อิงธารากระพุ่มมือไหว้แล้วถามไถ่เมื่อเห็นว่าเขากำลังเอื้อมมือมาตั้งใจจะประคองมือของเธอ แต่ด้วยอาการเลี่ยงหลบของเธอนั้นเป็นธรรมชาติทำให้ชายหนุ่มไม่ทันสังเกตถึงความผิดปกติ เขาจึงลดมือลงข้างตัวแล้วส่งยิ้มอ่อนโยนให้
"ใช่จ๊ะ พี่กำลังจะไปทำงาน น้ำอิงเองก็จะไปทำงานเหมือนกันใช่ไหมคะ"
เขาถามเพื่อชวนคุยมากกว่าจะสนใจคำตอบ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องออกไปทำงานเวลานี้เพื่อเลี่ยงการพบหน้ากับเขา และวันนี้มันก็ไม่ใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด แต่เขาตั้งใจมารอพบเธอต่างหาก ที่สำคัญกฤตดนัยพยายามที่จะทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม ทั้งคำพูด การปฏิบัติตัวต่ออิงธาราแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้เธอตัดใจจากเขาได้ เพราะเขายังต้องการเธออยู่ และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเสียด้วย เมื่อเธอเผลอแสดงอาการบางอย่างออกมา และเขาเองก็ทันได้เห็นพอดี
"เอาอย่างนี้ไหมคะ น้ำอิงติดรถพี่ไปจะได้ไม่ต้องโหนรถเมล์" เขาเสนอเมื่อเห็นอาการเหม่อลอยของเธอ
ขอบคุณมากค่ะ แต่น้ำอิงไม่รบกวนพี่นายดีกว่า อีกอย่างวันนี้มุกก็จะแวะมารับด้วย เลยต้องงดโหนรถเมล์ไปหนึ่งวัน ไว้ครั้งหน้าดีกว่านะคะ" เธอปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าเธอต้องการเลี่ยง แค่คำพูดและการกระทำของเขาเมื่อครู่ก็ทำให้อิงธารารู้สึกลำบากใจมากพอแล้ว ขืนติดรถไปกับเขา งานใหญ่ต้องเข้าเธอทั้งวันแน่ๆ พอนึกถึงมุกราตรี ก็ทำให้อิงธารานึกถึงสูทเจ้าปัญหาขึ้นมา เธอรึอุตส่าห์โทรไปเลียบๆ เคียงๆ ถามถึงเจ้าของสูทเผื่อจะได้รับคำตอบ แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธแล้วยังถามเธอกลับ ทำเอาเธอมืดแปดด้าน สุดท้ายก็ต้องปล่อยสูทเจ้าปัญหาทิ้งไว้ในห้องอย่างนั้น
"อย่างนั้นก็ได้ค่ะ" เขาว่า แล้วมองเธออย่างอาลัยอาวรณ์ นั่นทำให้อิงธารารู้สึกอึดอัดและทำตัวไม่ถูก
"งั้นน้ำอิงขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวจะสาย" พูดจบก็รีบกระพุ่มมือไหว้ชายหนุ่มเร็วๆ แล้วเร่งจังหวะก้าวเดิน ไม่นานก็ลับหายไปจากคลองสายตา
กฤตดนัยพลูลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดแล้วตรงไปกระแทกตัวนั่งลงบนม้าหินอ่อนในสวนหย่อมหน้าตึก คนใช้ยกถาดอาหารเช้าวางลงบนโต๊ะก่อนจะเลี่ยงออกไป เมื่อสัมผัสถึงอารมณ์ขุ่นมัวของเจ้านายคนใหม่ ชายหนุ่มหวลนึกถึงเวลาหกปีที่คบกับอิงธารามา หญิงสาวรักเขาเพียงใดเขารู้ดี เธอคอยช่วยเหลือและตามใจเขาทุกอย่าง มีอย่างเดียวที่เธอไม่เคยตามใจเขาเลยสักครั้ง คือความสัมพันธ์ทางร่างกาย เธอให้เขาได้มากที่สุดคือการโอบกอด ริมฝีปากของเขาไม่เคยได้ลิ้มลองกลีบปากของเธอเลยสักครั้ง สี่ปีแรกชายหนุ่มเข้าใจได้ว่ายังอยู่ในช่วงวัยเรียน อาจจะไม่เหมาะไม่ควร แต่สองปีหลังจากที่อิงธาราทำงานแล้ว ความสัมพันธ์ทางร่างกายก็ไม่คืบหน้าแม้แต่นิด เขายังคงเข้าใกล้เธอได้มากสุดคือการโอบกอด และนั่นทำให้เขาเริ่มไปมีสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น และแน่นอนว่าผู้หญิงเหล่านั้นไม่ชอบผูกมัดเช่นเดียวกันกับเขา ดังนั้นความรักของเขากับอิงธาราจึงสวยงามตามที่เธอต้องการ เขาได้กลายเป็นสุภาพบุรุษแสนดีในสายตาของเธอ และนั่นทำให้เธอไม่เคยระแวงเขาเลย
ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขาแวะมาหาอิงธาราในวันหนึ่งเพื่อจะชวนเธอไปทานข้าว แต่วันนั้นป้ามะลิป่วยแล้วอิงธาราต้องไปเฝ้าที่โรงพยาบาลจึงคลาดกัน วีร์นัชชาลงมาเจอเขาที่กำลังจะกลับ เธอจึงเรียกให้เขาอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนเพราะคุณปองพลและคุณวาสนาไปต่างประเทศ เขาเองก็ไม่มีธุระจะไปที่ไหนจึงตกลงอยู่เป็นเพื่อนหญิงสาว
อาหารมื้อแรกของเขากับวีร์นัชชาเริ่มที่ศาลาริมน้ำในบ้านของเธอเอง โคมไฟที่อยู่ตามมุมต่างๆ ในศาลาหลังน้อยทำหน้าที่แทนแสงเทียน ทำให้บรรยากาศในการรับประทานอาหารมื้อนี้โรแมนติกไม่น้อย และนั่นทำให้กฤตดนัยลืมความหงุดหงิดที่คลาดกับอิงธาราไปเสียสิ้น และเขาก็รู้สึกสนใจวีร์นัชชาขึ้นมาบ้างแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้กฤตดนัยตั้งกฎเหล็กกับตัวเองว่าจะไม่ให้ความสนิทสนมกับวีร์นัชชา เพราะคุณกุลวดีห้ามไว้อย่างเด็ดขาด และชายหนุ่มก็ไม่เคยแหกกฎของตัวเองเลยสักครั้ง แต่พอได้พบ ได้พูดคุยเขากับประทับใจในตัวเธอ และติดใจในเสน่ห์ของเธอเสียแล้ว
กฤตดนัยรู้สึกว่าวีร์นัชชานั้นรู้จักเอาใจ อีกทั้งยังมีรสนิยมคล้ายคลึงกับเขา จึงไม่แปลกที่เพียงเวลาสั้นๆ เขาจะรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับเธอ ท้ายที่สุดแล้วชายหนุ่มก็ไม่ได้ดำเนินความสัมพันธ์กับหญิงสาวต่อ เพราะจะอย่างไรวีร์นัชชาก็ยังเป็นกฎเหล็กที่คุณกุลวดีสั่งห้ามอยู่นั่นเอง ต่อให้เขาต้องการจะสารความสัมพันธ์ต่อเพียงใดก็ต้องตัดใจ กฤตดนัยไม่อยากมีปัญหากับผู้เป็นแม่ภายหลัง
หลังจากครั้งนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้พบกับวีร์นัชชาอีก เขากลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เป็นคนรักที่ดีของอิงธาราในตอนกลางวัน เป็น
คาสโนวาในยามค่ำคืน จนกระทั่งเขาไปเจอวีร์นัชชาโดยบังเอิญเมื่อพาคู่ควงคนใหม่ไปเที่ยวทะเลโดยอ้างกับอิงธาราว่าไปสัมมนา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นระหว่างเขากับวีร์นัชชา
"คุณนายใช่ไหมคะ" หญิงสาวสวมเสื้อตัวยาวตรงเข้ามาทักชายหนุ่มที่กำลังนั่งจิบเบียร์บนเก้าอี้ผ้าใบ กฤตดนัยเงยหน้ามองคนทัก ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจ ใครจะลืมใบหน้าสวยเฉี่ยว และรูปร่างเย้ายวนของเธอได้กัน บิกินี่ใต้เสื้อตัวบางที่เจ้าตัวสวมอยู่ทำให้เขาแทบน้ำลายหก
"คุณวีร์" เขาส่งยิ้มทรงเสน่ห์ให้หญิงสาว
"ดีใจจังเลยครับ มาเที่ยวหรือมาทำงานครับเนี่ย" ที่ถามอย่างนี้เพราะโรงแรมในเครือครอบครัวของเธอก็อยู่ในจังหวัดนี้ด้วย
"มาเที่ยวค่ะ คุณนายล่ะคะ" เธอชวนคุยพลางหย่อนตัวลงนั่งยังเก้าอี้ที่ว่าง
"ขอนั่งหน่อยนะคะ เมื่อยจะแย่" พูดพลางใช้มือคลึงปรีน่องเบาๆ เสื้อตัวยาวร่นขึ้นมาทำให้มองเห็นขาอ่อนได้ถนัด
"มาเที่ยวเหมือนกันครับ" เขาตอบ ตาก็ลอบมองบริเวณขาของเธอเป็นระยะ พยายามไม่ให้เธอรู้ตัว เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของน้องสาวเธอ จะทำอะไรก็ไม่ควรรุ่มร่ามจนเธอจับได้ จึงต้องระมัดระวังตัวเองสักหน่อย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง
"มาคนเดียวหรือว่ามากับน้ำอิงคะ" วีร์นัชชายังคงชวนคุยต่อไป ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้อึดอัด ติดจะชอบด้วยซ้ำ
"มาคนเดียวครับ รายนั้นทำแต่งาน ชวนไปไหนก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ ผมเลยต้องเที่ยวคนเดียวบ่อยๆ ว่าแต่คุณวีร์เถอะ มาเที่ยวคนเดียวหรือพาใครมาด้วยครับ" เขาถามล้อๆ ลองส่งสายตาวิบวับให้เป็นการหยั่งเชิงเพื่อรอดูท่าที แก้มแดงก้มต่ำ แต่ก็ยังไม่วายส่งยิ้มอายๆ
"มาคนเดียวเหมือนกันค่ะ วีร์ไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่" เธอว่า กฤตดนัยรู้สึกแปลกใจเมื่อแอบเห็นสายตาที่วีร์นัชชาใช้มองเขา มันเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม...หลงใหล หรืออาจจะเลยเถอดไปถึงความรู้สึกรักด้วยซ้ำ ต่อให้จะเห็นอย่างนั้นก็ตาม เขาจะต้องพิสูจน์
"เบียร์ไหมครับ" เขาแกล้งยื่นให้ หญิงสาวจ้องมองกระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือของเขาอย่างช่างใจ ชายหนุ่มส่งสายตาท้าทาย เธอสบตาเขา มีแววลังเลอยู่ในตาคู่นั้น เขาตั้งท่าจะชักมือกลับแต่ก็ถูกมือบางกระชากกระป๋องเบียร์ไปจากมือ
กฤตดนัยรู้สึกตื่นเต้น แต่ที่ต้องเผลอหลุดอาการก็เพราะวีร์นัชชาจลดริมฝีปากลงบนขอบกระป๋องซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับเขา หญิงสาวส่งกระป๋องเปล่าคืนชายหนุ่ม เขายื่มมือมาแต่ไม่ได้รับกระป๋องในมือเธอ แต่ใช้ปลายนิ้วเช็ดคลาบเบียร์ที่มุมปากของเธออย่างอ้อยอิ่ง
"ปากคุณเปื้อน" เขาตั้งใจก้มลงมากระซิบชิดหู เพื่อสังเกตอาการขัดขืน แต่สิ่งที่หญิงสาวแสดงออกนั้นคืออาการประหม่า เขินอาย เขาไม่เข้าใจเลย บางครั้งวีร์นัชชาก็ดูเหมือนเป็นคนกล้า แต่บางครั้งก็ดูอ่อนต่อโลกเหลือเกิน
"ถ้าอย่างนั้นวีร์ขอตัวไปว่ายน้ำก่อนนะคะ" พูดจบวีร์นัชชาก็ลุกจากที่นั่งยัดกระป๋องเบียร์ใส่มือชายหนุ่ม แล้วเดินเร็วๆ จากมา วีร์นัชชาไม่ต้องกลัวว่ากฤตดนัยจะหาเธอไม่เจอ เพราะกุญแจห้องที่เธอแกล้งลืมไว้มันจะพาเขามาหาเธอในคืนนี้
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 953
ความคิดเห็น
ฝากภูพิง-อิงธาราด้วยนะค้า
รอตอนต่อไปค่า
รอตอนต่อไปครับ
แสดงความคิดเห็น