การเคลื่อนไหวของปีศาจ
“เช้านี้ดูจะหนักเกินไปสำหรับคุณซาคาเรียสนะครับ” วิลเลี่ยมหัวเราะร่า พวกเขากำลังพักกลางวันอยู่ในบ้านหลังเดิม ซาคาเรียสดูซึมๆ เงียบผิดปกติ ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเรียบนิ่ง ที่เป็นแบบนี้ก็ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในตอนเช้า
“คุณควรเริ่มพูดเกี่ยวกับผู้คุมประชาชนได้รึยังครับ?” วิลเลี่ยมถึงกับสะอึก หันไปมองใบหน้าอันเรียบเฉยนั้นที่กำลังจ้องมาที่ตนอย่างน่ายำเกรง “ได้ครับๆ ถ้างั้น…เอ่อ…เริ่มจากเท้าความก่อนนะครับ” เพราะอำนาจแห่งสายตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกว่าริมฝีปากมันไม่ขยับตามธรรมชาติ วิลเลี่ยมลุกขึ้นและเดินออกจากบ้านไป ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอย่างงุนงง เพียงไม่นาน ประตูบ้านก็เปิดออกอีกครั้ง วิลเลี่ยมกวักมือเรียกคนข้างในให้เดินออกไป ด้านนอกโทมัสมองเห็นแต่ไกลกิ่งไม้ 9 กิ่ง ถูกปักอยู่บนพื้นหญ้าด้านนอก
“ก่อนอื่นผมต้องขออธิบายถึงโครงสร้างของโรงเรียนและการบริหารงานเพราะทั้ง 2 อย่างนี้เกี่ยวข้องกับผู้คุมประชาชนโดยตรงครับ” วิลเลี่ยมกล่าว “ภายในอาณาเขตของโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้มีอาคารเรียนทั้งหมด 7 แห่ง โรงอาหาร 2 แห่งและหนึ่งลานอเนกประสงค์ อาคารเรียนที่พวกเราใช้เรียนมีชื่อว่าอาคารไวเวิร์น” โทมัสขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ต่อไปก็แผนผังโรงเรียน” วิลเลี่ยมวาดเส้นเชื่อมโยงจนกลายเป็นรูปร่างของแผนที่ “กิ่งไม้ยาวแทนอาคารเรียน 7 แห่ง กิ่งไม้สั้นแทนโรงอาหาร 2 แห่ง วงกลมแทนลานน้ำพุมังกร สี่เหลี่ยมแทนลานอเนกประสงค์ส่วนขีดแทนเส้นถนน” โทมัสคิดตามทุกคำพูดอย่างละเอียด “ถ้าดูจากแผนผังจะเห็นว่ามี 6 อาคารที่ตั้งขนานทางปีกซ้ายและขวา แต่ละปีกมี 1 โรงอาหาร”
“ระบบการบริหารของโรงเรียนถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนได้แก่สภาโรงเรียนและสภานักเรียนที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนโรงเรียน เริ่มจากสภาโรงเรียนที่มีสมาชิกทั้งหมด 7 คน หนึ่งในนั้นคือพระราชินีแห่งราชวงศ์ฟรานซิสโก้ที่ 15 ครับ” วิลเลี่ยมกล่าว “หน้าที่ของสภาโรงเรียนคือการบริหารทรัพยากรภายในโรงเรียนให้ได้ตามงบประมาณที่ได้รับในแต่ละปี ส่วนสภานักเรียน สมาชิก 4 คนเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มฟอร์เทร็ซเซส” วิลเลี่ยมเสริม “หน้าที่ของสภานักเรียนคือการควบคุมนักเรียนให้อยู่ในนโยบายที่ถูกสร้างขึ้นโดยสภานักเรียนจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงถูกเรียกอย่างติดปากว่าผู้คุมประชาชนครับ” เสียงของวิลเลี่ยมเริ่มสั่นเครือ มันหมายความว่ายังไง?
“1 ปีก่อนที่จะเกิดกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสเป็นช่วงที่โรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้รุ่งเรืองไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของนักเรียน มีกลุ่มมากมายก่อตั้งขึ้นเพื่อลงสมัครชิงตำแหน่งสภานักเรียนแต่ไม่มีกลุ่มไหนเอาชนะกลุ่มที่มีประวัติเก่าแก่และยาวนานซึ่งสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างกลุ่มจัสติคได้” เสียงของวิลเลี่ยมเริ่มแผ่วลง “ท้ายที่สุดยุคทองของพวกเขาก็ยุติลงหลังจากการปรากฏตัวของนักเรียนปีหนึ่ง 4 คนผู้ก่อตั้งกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสและใช้มันลงแข่งการเลือกตั้งสภานักเรียนกับกลุ่มจัสติค” โทนเสียงนั้นแฝงด้วยความหดหู่ “จากที่ผมได้ยินมา ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อว่ากลุ่มฟอร์เทร็ซเซสที่มีสมาชิกเพียง 4 คนจะสามารถเรียกคะแนนเสียงของนักเรียนได้อย่างล้นหลามจนทำให้กลุ่มจัสติคแพ้ราบคาบ” สีหน้าของซาคาเรียสแสดงออกอย่างตกใจ กลับกันที่โทมัสยังมีใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร “หลังจากการขึ้นรับตำแหน่งสภานักเรียนของพวกเขา ทำให้เกิดการประท้วงขนาดย่อมของกลุ่มนักเรียนที่ไม่เห็นด้วยและคิดว่ากลุ่มฟอร์เทร็ซเซสเล่นตุกติกกับการเลือกตั้ง” สิ้นเสียงกล่าวไปเพียงเท่านั้น
เสียงผ่อนลมหายใจบ่งบอกการเริ่มใหม่ของนิทานที่ยังไม่จบดี “ผลลัพธ์ของการประท้วงจบลงที่ผู้ประท้วงทั้งหมดถูกไล่ออกจากโรงเรียน มีข่าวลือว่าการอนุมัติไล่นักเรียนผู้ประท้วงการเลือกตั้งเป็นมติเสียงข้างมากจากสภาโรงเรียน...” “เดี๋ยวก่อนสิครับ” ซาคาเรียสแย้งขึ้นทันใด “ทำไมสภาโรงเรียนถึงต้องไล่นักเรียนที่ประท้วงออกอย่างง่ายดายแบบนั้นล่ะครับทั้งที่หนึ่งในนั้นเป็นถึงพระราชินีผู้ทรงธรรม พระองค์ไม่มีทางเห็นด้วยกับมติที่ว่าอย่างแน่นอนครับ” ซาคาเรียสค้านชนฝา “เรื่องนั้นก็ใช่แต่ว่า....” วิลเลี่ยมเขยิบตัวเข้าใกล้พวกเขาก่อนจะยื่นหน้าออกไปใกล้ที่สุด “สมาชิกในสภาโรงเรียนไม่ได้จงรักภักดีต่อพระราชินีทุกคนนะครับ” คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยของโทมัส ชัดเจนว่าเขาเริ่มจะให้ความสนใจกับวิลเลี่ยมมากขึ้นแล้ว
“หลังจากที่การประท้วงสงบลง สภานักเรียนออกนโยบายที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญในโรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้ ไม่ใช่ในทางที่ดีนะครับ มันคือนโยบายว่าด้วยการแบ่งอาณาเขตโรงเรียน แบ่งเป็น 2 ส่วน อาณาเขตปีกขวาที่มีอาคาร 4 หลังซึ่งรวมถึงอาคารที่พวกเราใช้เรียน โรงอาหารตะวันออกและลานกว้างอเนกประสงค์ ทั้งหมดนี้สำหรับนักเรียนหลวงหรือก็คือพวกนักเรียนที่จ่ายเงินค่าเล่าเรียน” “อาณาเขตปีกซ้ายมีอาคารเรียน 3 หลังและโรงอาหารตะวันตก เป็นอาณาเขตของเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนหรือก็คือนักเรียนที่ไม่ต้องชำระเงินค่าเล่าเรียนแต่สามารถเรียนที่โรงเรียนได้เหมือนนักเรียนหลวงซึ่งถูกเรียกว่านักเรียนทุน”
“พวกเขาถูกนโยบายว่าด้วยเครื่องแต่งกายนักเรียนพิเศษ โดยบังคับให้นักเรียนทุนทุกคนต้องสวมเครื่องแบบชนิดพิเศษที่ทางสภานักเรียนเป็นผู้คัดสรรให้และนโยบายว่าด้วยการไม่อนุญาตให้นักเรียนทุนเหยียบในอาณาเขตปีกขวาของโรงเรียน” ใบหน้าเคร่งขรึมกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“โหดร้ายเกินไปแล้ว!!” ซาคาเรียสอุทาน “ผมกลับมองว่ามันคือความเมตตาจากสภานักเรียนนะครับเพราะแต่เดิมแล้วเจ้าพวกนั้นมันตั้งใจจะถอนรากถอนโคนนักเรียนทุนให้หมดไปจากโรงเรียนด้วยซ้ำไป” วิลเลี่ยมกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แล้วไม่มีกลุ่มไหนคิดจะล้มสภานักเรียนกลุ่มปัจจุบันเลยหรือครับ?” ซาคาเรียสถามอย่างสงสัย “ไม่มีหรอกครับ อำนาจของกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสได้ขยายไปทั่วอาณาเขตโรงเรียนแล้วครับ พวกคุณเคยสังเกตผ้าคลุมโรงเรียนของแต่ละคนในห้องเรียนไหมครับ? มันมีลายถักที่แตกต่างออกไป 5 แบบด้วยกัน ที่พวกเราใช้คือลายถักรูปมังกรห่อปีกใช่ไหมครับ?” ซาคาเรียสรีบสำรวจผ้าคลุมตนเองทันทีซึ่งก็เป็นจริงตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้าง
“นักเรียนที่ร่วมกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสจะมีอภิสิทธิ์มากกว่านักเรียนที่ไม่เข้าร่วม อย่างเช่นการได้รับประทานอาหารที่โรงอาหารตะวันออกหรือแม้แต่การเข้าใช้งานลานอเนกประสงค์ที่มักจะเป็นสถานที่จัดกิจกรรมของโรงเรียนครับ” “หมายความว่าคุณวิลเลี่ยมและนักเรียนที่นั่งอยู่ในละแวกนี้คือคนที่ไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสอย่างงั้นหรือครับ?” ซาคาเรียสกล่าวขึ้นอย่างตกใจ “ใช่ครับ ในป่าก็มีนะครับ” อยู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างน่าประหลาด เพราะเสียงที่ดังอยู่เบื้องหลัง เสียงของผืนหญ้าที่เหยียบ โทมัสเป็นคนแรกที่หันไปมอง มันคือกลุ่มนักเรียนปริศนาที่เขาไม่คุ้นตา นำโดยนักเรียนชายตัวสูงผู้มีผมสีแดงดั่งกลีบกุหลาบ
“นี่คุณ?!!” ปฏิกิริยาที่วิลเลี่ยมแสดงเมื่ออยู่ต่อหน้าของบุรุษรูปงามผู้นั้นกลายเป็นความสงสัยอย่างจับใจ โทมัสมองนักเรียนคนนั้น เครื่องแต่งกายก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เขากำลังใส่อยู่แต่ทำไมกันนะ? ทำไมริมฝีปากที่เรียบนิ่งถึงดูเหมือนกับว่ามันกำลังแสยะยิ้มอยู่ น่าคุกคามและน่าหวาดกลัว
“เจอกันจนได้นะครับ เจ้าชายฟรานซิสโก้” แฟรงก์ลินโค้งตัวลงอย่างนอบน้อม สายตาก่อนที่จะถูกหลบซ่อนชัดเจนว่ากำลังจ้องหน้าซาคาเรียสอยู่ และมือที่กำลังยื่นออกไปข้างหน้านั้นคงอยากจะจับมือกับซาคาเรียสที่ได้แต่จ้องมองมือนั้นอย่างกดดัน เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถ้าหากเผลอเหลือบตาไปมองโทมัสในตอนนี้จะทำให้ความจริงที่ว่าเขาคือตัวปลอมความแตกรึไม่? ถ้างั้นแล้วควรเล่นไปตามบรรยากาศหรือจะอยู่เฉยๆ เลียนแบบพฤติกรรมเย็นชาของโทมัสดี
“ถ้าไม่ว่าอะไร พวกเราขอตัวนะครับ” ซาคาเรียสเชิดหน้าเดินผ่านกลุ่มคนที่กำลังก้มแสดงความเคารพอย่างเยือกเย็น ตามด้วยโทมัสและวิลเลี่ยมที่แอบยิ้มอยู่ในใจกับการแสดงที่เหมือนกับเป็นตัวจริงมากๆ “จะรีบไปไหนหรือครับ?” เสียงที่ดังตามหลังทำเอาขาชะงักไปทันใด “ผมไม่มีธุระอะไรกับคุณครับ” ซาคาเรียสหันกลับมามองด้วยหางตา เขารู้ดีว่านี่คือสิ่งที่โทมัสน่าจะทำในสถานการณ์แบบนี้ ถึงจะกล่าวออกไปอย่างไร้เยื่อใย ใบหน้านั้นก็ยังคงไม่แสดงออกว่าสะทกสะท้านอะไรและยอมปล่อยให้พวกเขาเดินจากไปแต่โดยดี
“ผู้ชายคนนั้นคือใครหรือครับ?” คำถามแรกจากซาคาเรียสหลังจากที่พวกเขากลับมาถึงห้องเรียนในยามบ่าย คำตอบที่ได้รับจากวิลเลี่ยมคือการถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า “เขาคนนี้แหละครับ” เสียงผ่อนลมหายใจดังอีกครั้ง “โรบัสต้า แฟรงก์ลิน หัวหน้ากลุ่มฟอร์เทร็ซเซส ชายผู้ทำลายความภาคภูมิใจของกลุ่มจัสติคของพวกเราครับ” วิลเลี่ยมกล่าว
ชั่วโมงเรียนวันนั้นซาคาเรียสเห็นอย่างชัดเจนว่าโทมัสมีสีหน้าผิดแปลกไปจากทุกครั้งในขณะที่นั่งฟังคำบรรยายของเดเมียนกับการจำแนกไอเทมพลังจิตในแต่ละระดับ มีบางอย่างที่ชายคนนั้นกำลังคิดและคงเป็นกังวล บางอย่างที่ทำให้ใบหน้าเย็นยะเยือกผันเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิด เป็นความหงุดหงิดที่เขาไม่เคยแสดงให้ใครเห็นมาก่อน
´โรบัสต้า แฟรงก์ลิน´ ไม่ใช่แค่โทมัสที่กำลังคิดถึงใบหน้านั้น เหมือน 2 จิตที่เชื่อมต่อกันอย่างผิดพลาด ใบหน้าที่แหงนมองตะแกรงไม้เลื้อย แสงแดดยามบ่ายที่ลอดผ่านลดสีสันบนดวงตาสีม่วงคู่นั้นจนเจือจางลง
“มันเป็นยังไงบ้าง?” ซีสจ์กล่าวขึ้นอย่างหงุดหงิด จิตใจพุ่งออกจากร่างไปไกลแล้วแต่ร่างกายมันยังคงนั่งอยู่กับที่ที่ขอบลานน้ำพุมังกรภายในสวนพฤกษชาติ ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่ายซึ่งมันยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม “เฮ้ยได้ยินไหมว๊ะ?!!” เสียงตะคอกของซีสจ์สร้างความรำคาญให้เด็กหนุ่มผมดำที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ปากเก่งเหมือนเดิมทั้งที่อยู่ในมนต์สะกดของเจ้าวินเซอร์ หมูพยศจริงๆ เลยนะ” วินเซนต์กล่าวขึ้นลอยๆ แต่ไม่วายคำกล่าวของเขาจะไปสะกิดต่อมหัวร้อนของซีสจ์จนได้ “แกว่าไงนะ?” ออกแรงจนสุดกำลังก็ไม่สามารถทำลายบ่วงแห่งอำนาจลึกลับของวินเซอร์ผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับซีสจ์ได้
ท่ามกลางช่วงเวลาแห่งความวุ่นวาย เสียงหัวเราะดังขึ้นผ่ากลางทุกสิ่ง มันคือเสียงหัวเราะจากแฟรงก์ลิน “พวกแกนี่มันยังไงว๊ะ?” แฟรงก์ลินกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข “แกก็เลิกปากหนักแล้วพูดมาสิว่ามันเป็นยังไง? วันนี้แกไปหามันมาไม่ใช่รึ?!!” เสียงของซีสจ์ดังไม่แผ่ว “ใช่แล้วมันจะทำไมรึ?” แฟรงก์ลินตอบกลับอย่างเรียบๆ “ให้ฉันไปหามันบ้างสิ! ทำไมแกไปได้คนเดียว?! หรือว่าแกจงใจสั่งให้วินเซอร์ขัดขาฉัน?” ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด คิดไปเอง คิดไปเรื่อยเปื่อย “ไร้สาระสิ้นดี” เสียงอันล่องลอยอย่างไร้จุดหมายนั้นจุดประกายไฟให้ลุกท่วมมากขึ้น กระนั้นแฟรงก์ลินกลับยังยิ้มออกมาได้อย่างชอบใจ “ไร้สาระกันจริงๆ นั่นแหละ” แฟรงก์ลินกล่าวอย่างชอบใจ ภาพจำในวันนี้ยังคงชัดเจนในสายตา ใบหน้าเย็นชาของเด็กหนุ่มผมดำคนนั้น ทำไมกันนะ ทำไมถึงดูน่าสนใจกว่าเจ้าชายฟรานซิสโก้อย่างน่าแปลกใจ
ท้องฟ้าเย็นย่ำ โทมัสเดินลงจากรถม้า ใบหน้าบูดบึ้งขมึงตึงราวกับพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ องครักษ์รักษาหน้าประตูแม้จะกล่าวทักทายอย่างนอบน้อมแต่อีกฝ่ายกลับไม่ทักทายกลับเหมือนเคย ไม่มีแม้แต่การพยักหน้ารับ หน้าเชิดตลอดเวลาที่เดินเข้าไปภายในอย่างเงียบงัน
ณ ห้องบรรทมของพระราชินีฟรานซิสโก้ที่ 15 แจกันดอกไอริสขาว ผนังกำแพงสีเดียวกันตัดกับสีแดงของพรมเบื้องล่างอย่างลงตัว สิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องเป็นของที่พบได้ในห้องนอนของโทมัสเว้นแต่โต๊ะเครื่องแป้งใกล้กับบานหน้าต่างขนาดใหญ่ มีหญิงสาวชุดขาวยืนรายล้อมอย่างเป็นระเบียบ สเตฟานี่ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยาวสลวยของเธอถูกสางด้วยหวีอย่างเบามือ แต่อยู่ๆ จังหวะอันน่าฉงนใจดังขึ้น ทำลายความสงบเงียบภายใน ปลายนิ้วเรียวยาวที่ยกขึ้นทำมุมกับดวงตาของเธอเป็นดั่งการออกเสียงที่มิอาจได้ยิน เหล่าผู้รับใช้สาวทั้งหมดต่างหยุดการกระทำ ถอยห่างออกมาและก้มตัวแสดงความเคารพร่างที่กำลังลุกขึ้นเดินอย่างนอบน้อม “ใครหรือจ๊ะ?” เสียงที่ตอบกลับมาจากอีกฟากของประตูทำให้หัวใจของหญิงชุดดำเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ ดั่งลางบอกเหตุบางอย่าง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 411
ความคิดเห็น
เนื้อหาน่าสนใจมากครับ
แต่การย่อหน้าดูงงๆ นิดหนึ่ง เพราะบางทีก็งงว่าตัวละครไหนพูด
ผมว่าถ้าแบ่งการบรรยายตัวละครแต่ละตัวออกให้เป็นคนละย่อหน้าจะเยี่ยมมากเลยครับ
เช่น
วินเลี่ยมรู้สึกกดดันกับอำนาจลึกลับในตัวอีกฝ่ายจนแทบพูดไม่ออก ริมฝีปากแห้งผากอย่างบอกไม่ถูก เขาฝืนข่มกลั้นความรู้สึกกดดันเอาไว้ "ผมจะอธิบายให้คุณฟังทุกอย่างเอง" เขาเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก
โทมัสจ้องมองอีกฝ่ายหนึ่งนิ่งๆ "ดี ผมรอฟังคุณพูดเรื่องนี้มานานแล้ว" คำพูดถูกเอ่ยจากปากเขา พร้อมกับสายตาทรงอำนาจที่จ้องมองไปยังอีกฝ่าย
"งั้นผมเริ่มเรยนะครับ" วินเลี่ยมเริ่มเอ่ยถึงเรื่องของผู้คุมประชาชน ขณะที่เขาเดินนำอีกฝ่ายออกไปภายนอกตัวบ้าน
ถ้าแบ่งย่อหน้าแบบนี้ จะทำให้คนอ่านรู้ว่า ย่อหน้าไหน ใครเป็นคนพูดอะครับ คนอ่านจะได้ไม่งง
แสดงความคิดเห็น