ดวงตาปีศาจ
“โทมัส! มีอะไรหรือจ๊ะ?” สเตฟานี่เอ่ยถามด้วยท่าทางตื่นเต้น “กระหม่อมอยากสอบถามเกี่ยวกับเรื่องในโรงเรียนพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นสีหน้ากระตือรือร้นของโทมัส อดไม่ได้ที่จะสงสัยในความอยากรู้อยากเห็นของบุตรชาย “ได้สิจ๊ะ ลูกอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?” สเตฟานี่ยิ้มที่มุมปาก “เกี่ยวกับสภาโรงเรียน สภานักเรียนและกลุ่มจัสติคพ่ะย่ะค่ะ” รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปทันที “กลุ่มจัสติค…” เธอพึมพำอยู่ในลำคอก่อนที่นัยน์ตาจะเริ่มมีน้ำใสปรากฏขึ้น “ท่านแม่? เหตุใดจึงทรงพระกันแสงพ่ะย่ะค่ะ?” สเตฟานี่ตอบคำถามของโทมัสด้วยเสียงร้องไห้จนนางกำนัลหันมองหน้ากันก่อนจะวิ่งเข้ามาประคองร่าง สเตฟานี่ในตอนนี้หมดสติไปแล้ว
โทมัสวิ่งไปดูอาการของสเตฟานี่ด้วยความตื่นตระหนก “ต้องขอประทานอภัยเพคะฝ่าบาท ในส่วนของข้อมูลที่พระองค์ต้องการทราบ ดิฉันจะเป็นผู้ให้คำตอบแทนเพคะฝ่าบาท” เสียงหย่อนยานแต่ทรงอำนาจของอิสตรีผู้ยืนหลังห้องและกำลังมีสายตามองมาที่โทมัสอย่างเยือกเย็น
“ท่านมาเรีย เรากำลังอยากพบท่านอยู่พอดีเลยครับ” โทมัสกล่าวเสียงเรียบในขณะที่เดินนำหญิงชราไปยังหอนั่งเล่น นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมเหมือนในวันนั้น ความเงียบยังคงไม่เลือนหายราวกับพวกเขาพูดคุยกันผ่านทางจิต ความเงียบนั้นทำให้หญิงรับใช้ภายในต่างรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
เสียงถอนหายใจดังออกจากฝั่งโทมัส มาเรียหลับตาลง ก้มหน้าลงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม “เช่นนั้นดิฉันขอตัวเพคะฝ่าบาท” “ครับ” โทมัสแหงนคอขึ้นมองเพดาน เขาผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง ลากเสียงยาวและดูเหนื่อย
“วันนี้เราจะเรียนเรื่องสีไฟกันครับ” ห้องเรียนวันอังคารมีนิโคลัสเป็นอาจารย์ประจำชั้นเรียนทั้งวัน ทุกอย่างเหมือนเดิมหากแต่มีบางอย่างที่เพิ่มเติมขึ้นมานั่นก็คือโต๊ะเรียนของโทมัสที่เคยว่าง 2 ที่กลับกลายเป็นว่ามีสมาชิกสาวสวยคนละแบบกำลังจับจองเก้าอี้ ล้อมรอบเก้าอี้ของซาคาเรียสอย่างจงใจจนแม้แต่โทมัสก็ต้องยอมสละที่นั่งประจำและมานั่งคู่กับวิลเลี่ยมอย่างไม่เต็มใจ โต๊ะที่เคยเงียบสงบ ถูกเคลือบด้วยบรรยากาศอันน่าประหลาดจากมุมขวานำโดยโรซาลิน ซาคาเรียสและจูปิตันตามลำดับ 2 สาวและใบหน้าที่แตกต่าง จ้องหน้ากันอย่างกับกำลังทำสงครามทางจิตในขณะเดียวกันก็สร้างความอึดอัดให้วิลเลี่ยมที่กลายเป็นต้องนั่งข้างจูปิตันแทนโทมัสเพราะถูกขอโดยใบหน้าเรียบเฉยนั้นแต่แม้จะมีท่อนซุงขนาดใหญ่คั่นกลางแต่สายตาที่มักจับจ้องมาที่โทมัสด้วยความสงสัยทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่ชอบใจ นักเรียนสาวที่มาจากตระกูลสตาร์ลินดูท่าจะมีลางสังหรณ์ที่เฉียบแหลมมากพอที่จะทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจในฐานะที่ซ่อนเร้นของนักเรียนหนุ่มหล่อผู้ครองผมสีดำและใบหน้าเรียบนิ่งดั่งผิวน้ำในที่ขังได้เป็นอย่างดี
“ความแตกต่างของสีไฟบอกความร้อน ปัจจุบันมีการค้นพบสีไฟทั้งหมด 4 สีได้แก่สีแดง สีส้ม สีเหลืองและสีม่วงที่มีอำนาจทำลายล้างรุนแรงที่สุด” นิโคลัสจุดไฟสีแดงบนมือก่อนจะเริ่มเปลี่ยนสีตามคำอธิบาย ยกเว้นไฟสีม่วง “การจุดไฟขึ้นในแต่ละครั้งผู้ควบคุมจะต้องเสียปริมาณพลังจิตตามอำนาจความร้อนของสีไฟ ผมเชื่อว่าทุกคนยังไม่ลืมว่าปริมาณพลังจิตคืออะไรนะครับไม่งั้นคุณเดเมียนคงจะเสียใจแน่” นิโคลัสที่กำลังกล่าวอย่างติดตลกอยู่ๆ ก็เงียบไป
“สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้อยู่นอกหลักการสอนของวิชาแต่พวกคุณควรรู้เอาไว้เพื่อคลายข้อสงสัยที่ไฟจากไฟเออร์ ออร์บไม่สามารถสร้างความเสียหายสิ่งของในห้องเรียนและตัวพวกคุณ อย่างแรกที่พวกคุณต้องรู้ก็คือทุกสิ่งที่อยู่ภายในอาณาเขตโรงเรียนทำมาจากวัสดุต้านไฟ ยกตัวอย่างเช่นชุดโต๊ะเรียน ทำมาจากวัสดุที่เรียกว่าต้นเอริฟิทนาซึ่งปลูกอยู่ทั่วป่าของโรงเรียนครับ” นิโคลัสกล่าว
“ในการทดสอบบทเรียนที่ 1 พวกคุณคนไหนสงสัยบ้างครับว่าทำไมร่างกายที่วิ่งออกจากเวทีมาได้สักระยะถึงไม่ตอบสนองทั้งที่ไม่รู้สึกเมื่อยล้าหรือมีบาดแผล?” โทมัสขมวดคิ้ว การสอนเริ่มน่าสนใจขึ้นสำหรับเขาในตอนนี้
“โรงเรียนมัธยมฟรานซิสโก้มีมาตรการการป้องกันความเสียหายทางร่างกายของนักเรียนซึ่งอาจเกิดจากอุบัติเหตุในระหว่างการฝึก การทะเลาะวิวาทหรือความผิดพลาดของอุปกรณ์การเรียนจึงมีการใช้ไอเทมพลังจิตระดับสูงที่เรียกว่าตัวตายตัวแทน มีพลังการถ่ายโอนความรู้สึกจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 รวมถึงบาดแผลทั้งภายนอก ภายในและทางวิญญาณให้ไปรวมกันที่ตัวตายตัวแทนซึ่งถูกเก็บไว้ในสถานที่ปลอดภัยในโรงเรียนครับ” ข้อสงสัยที่หลบซ่อนอยู่ในจิตใจที่จดจ่อกับบทเรียนถูกทำลายไปจนเกือบหมด การเรียนยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึงช่วงพักเที่ยง
ในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่เดินทางออกจากห้องเรียนอย่างร้อนรน เป็นอีกครั้งที่ 3 หนุ่มใบเถาที่ยังคงมองดูความวุ่นวายภายในห้อง “ยังมิทรงเสด็จหรือเพคะฝ่าบาท?” จูปิตันเอ่ยทักขึ้นอย่างสงสัย ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าที่จ้องซาคาเรียสอย่างกับลูกแมวนั้นก่อให้เกิดความร้อนฉ่าบนใบหน้า “ผม....เอ่อ.....คือผมยัง.....ผมรอก่อนดีกว่าครับ” ซาคาเรียสยิ้มแหย่ๆ เขาเริ่มจะวางตัวไม่ถูกแล้วในเวลาแบบนี้แต่หารู้ไม่ว่าจูปิตันทำทุกอย่างเพราะจงใจยั่วให้คู่กัดของเธอเกิดอารมณ์ จูปิตันใช้เพียงหางตามองโรซาลินแต่อีกฝ่ายกลับไม่แสดงอาการหึงหวงแต่อย่างใด แถมดูจะไม่ได้ใส่ใจในการกระทำอันยั่วยวนของเธอด้วยซึ่งมันทำให้จูปิตันเกิดยัวะขึ้นมาแต่ก็แสดงออกเพียงชั่ววินาทีและคงไม่มีใครสังเกตเห็น หากไม่ใช่สายตาอันเฉียบคมของโทมัส
ที่สุดก็เหลือเพียงกลุ่มของเขา นักเรียนสาวที่ชื่อรูบี้และยังมีกลุ่มนักเรียนอีก 2 กลุ่มย่อยซึ่ง 1 ในนั้นโทมัสมองด้วยหางตาเห็นว่าพวกเขากำลังเดินมาที่โต๊ะของเขาและเพียงชั่วอึดใจนั้น เสียงที่ไม่คุ้นเคยก็ได้ดังขึ้น “เจ้าชายฟรานซิสโก้ โทมัส เชิญมากับพวกเราด้วย” หนึ่งในกลุ่มนักเรียนเอ่ยขึ้นในขณะที่มองซาคาเรียสและเห็นว่าจูปิตันลุกขึ้นยืน “ขอโทษนะคะแต่ว่าทำไมพวกคุณถึงกล้ากล่าวทักทายฝ่าบาทด้วยภาษาไม่เป็นทางการในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ใด” จูปิตันกล่าวอย่างอาจหาญ “หุบปากของแกไปเสียนังหนู!!” ชายที่ยืนหน้าสุดประกาศกร้าว “คุณว่าอะไรนะ?!!” จูปิตันขึ้นเสียงบ้าง
“พวกเธอมีอำนาจอะไรมาสั่งนักเรียนผู้นี้ให้เดินทางไปไหนมาไหนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าตัว ขอให้ฉันได้เข้าใจด้วยสิ” คราวนี้เป็นโรซาลินที่ลุกขึ้นยืน ดวงตาจ้องมองกลุ่มนักเรียนไร้กาลเทศะดั่งทวารบาลผู้เฝ้าประตูและเป็นด่านแรกก่อนถึงตัวของเจ้าชายตัวปลอม “2 หญิงออกหน้าแทนชายเพียงหนึ่งเดียว ชั่งน่าสนใจอะไรแบบนี้” เสียงที่คุ้นชินนั้นบังคับให้โทมัสต้องหันไปมองอย่างสนใจ ร่างที่ยืนอยู่ระหว่างช่องว่างของประตูห้องเรียนที่เปิดออก ซีสจ์และรอยยิ้มที่แสนคุกคามกำลังเดินลงจากบันไดทีละขั้น
“ตอนแรกก็เห็นว่าเป็นพวกหน้าใหญ่ ออกตัวปกป้องคนอื่น ทำไมตอนนี้แกถึงกลายเป็นอีกคนไปแล้วล่ะ คนที่อะไรนะ หลบอยู่หลังแผ่นหลังบางของสาวน้อยไม่เพียงแค่ 1 แต่ถึง 2 คน” “กล้าดียังไงถึง.....” การกระทำย่อมเร็วกว่าคำพูด ดาบยาวที่ถูกชักออกจากฝักอย่างรวดเร็วจ่อที่ปลายคอหอยของซีสจ์ผู้เงยหน้าขึ้นราวกับการท้าทายความตายที่ห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตรตรงหน้า “หากกล้าหมิ่นพระเกียรติของพระองค์อีกแม้แต่เพียงคำเดียว ฉันจะประดับรูระหว่างคอหอยของนายเสีย” สายตาที่จ้องมองซีสจ์ของโรซาลินบ่งบอกว่าเธอเอาจริงแต่อย่างนั้นซีสจ์กลับไม่แสดงอาการเป็นต่อและส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เพียงเสี้ยววินาทีที่ความสับสนกำลังเล่นงานโรซาลิน รู้ตัวอีกทีแขนที่ยื่นออกไปข้างหน้าก็ถูกผนึกด้วยแรงบีบอันแข็งแกร่งของร่างที่เขยิบตัวเข้าหาเธออย่างฉับพลัน
“น่าเสียดายที่แกไม่ใช่เหยื่อของฉัน” ซีสจ์ออกแรงบีบจนดาบหลุดจากมือที่ไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับผลักโรซิลินออกไปจากทางที่เขากำลังเดินหากแต่นั่นไม่ได้หยุดการคุกคามจากเธอที่กลับมาทรงตัวได้อย่างรวดเร็ว โรซาลินยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว หมายจะจับไหล่ที่กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าและเป็นเวลาเดียวกับที่ซีสจ์ปล่อยหมัดอันรุนแรงและทรงพลังสวนกลับมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่มีใครที่นั่นเร็วพอที่จะลุกไปหยุดการโจมตีอย่างฉับพลัน ไม่มีใครนอกจากเขาคนนั้น
แสงสว่างจ้าแสบตาอย่างกับมีใครกดสวิตช์ไฟในห้องมืดอย่างกะทันหัน เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งจึงพบว่าด้านหน้าของซีสจ์ปรากฏร่างปริศนาของนิโคลัส เป็นอีกครั้งที่กำปั้นนี้ถูกหยุดโดยง่ายดายโดยชายกำยำผู้นี้ “เอ่ะอ่ะก็ใช้แต่กำลังนะครับ” นิโคลัสกล่าว ไม่มีใครรู้ว่าใบหน้าใต้ผ้าคลุมสีดำนั้นกำลังแสยะยิ้มอย่างสะใจหรือแค่ทำหน้าเฉยเมยกันแน่
ซีสจ์ชักมือออก ถอยหลังไปตั้งหลักถึง 3 ก้าว ดวงตาสีท้องทะเลแม้ดูไร้พิษภัยแต่ซีสจ์เคยได้สัมผัสถึงสิ่งที่หลบซ่อนภายในม่านสีดำของน้ำลึกและมันน่าสะพรึงจนจิตใจในคราวนั้นแทบแตกสลายเป็นเสี่ยง ซีสจ์หลบสายตาที่นิโคลัสส่งมา ”อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง!!!” แต่ก็ยังไม่วายพยายามหาเรื่องต่อ “ถ้าผมปล่อยให้คุณชกหน้านักเรียนแล้วไม่ห้ามปรามอะไรเลย คุณว่าผมจะยังเป็นครูที่ดีได้หรือครับ?” ซีสจ์กำหมัดแน่น ละสายตาจากสีแดงของพื้นพรมและเหลือบมองไปที่ซาคาเรียสที่กำลังยืนอยู่ก่อนจะหันกลับไปมองที่นิโคลัสอีกครั้งก่อนจะปล่อยหมัดฮุกลงไปบนผิวโต๊ะข้างตัวอย่างรุนแรงจนได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ “ไว้ฉันจะมาเล่นกับแกใหม่” ซีสจ์มองทั้งนิโคลัส โรซาลินและซาคาเรียสอย่างอาฆาตก่อนจะเดินจากไปพร้อมกลุ่มนักเรียนปริศนา
เมื่อความสงบกลับมาอีกครั้ง ซาคาเรียสจึงได้โอกาสนำกลุ่มออกไปรับประทานอาหารตามปกติซึ่งในระหว่างเดินออกจากห้อง โดยมีนิโคลัสเดินปิดท้ายเพื่ออำนวยความสะดวกและให้มั่นใจว่าซีสจ์จะไม่ตามมารังควานอีก โทมัสกับสายตาที่แสนยาวดั่งเหยี่ยวมองเห็นกลุ่มนักเรียนปริศนาอีกกลุ่มที่ยังนั่งเงียบตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาสังเกตเห็นว่าผ้าคลุมสีแดงกับลายถักที่น่าประหลาด รูปร่างของหมาป่าที่ทำให้ขนลุกขึ้นมา
“งั้นแล้วพวกเราจะไปรับประทานอาหารที่ไหนกันดีครับวันนี้?” วิลเลี่ยมเปิดเรื่องทันทีที่พวกเขาเดินทางมาถึงชานอาคารอันแออัด ตั้งแต่วันที่เจ้าชายตัวปลอมอย่างซาคาเรียสถูกเข้าใจผิดว่าเป็นตัวจริงก็ไม่มีใครในโรงเรียนนี้ที่จะไม่หันหรือเหลือบตามามองที่เขาจนบางทีก็ทำให้เครียดๆ และกดดัน “ไปที่เดิมไงครับ” สิ้นเสียงกล่าวของซาคาเรียส ในขณะที่วิลเลี่ยมกำลังจะเดินนำไปนั้น “ฝ่าบาท มิทรงประสงค์เสด็จไปยังโรงอาหารตะวันตกบ้างหรือขอรับฝ่าบาท?” เสียงที่ดังออกมาเรียกความสนใจของซาคาเรียสจนขนลุกชัน โรซาลินและจูปิตันต่างหันไปมองโทมัส เจ้าของเสียง “อย่าดีกว่ามั้งคะ โรงอาหารตะวันตกออกจะกันดารเป็นที่สุด มีแต่หญ้ารก ที่นั่งก็ไม่มี แล้วก็ดิฉันเกรงว่าหากพระองค์ทรงเสด็จไปที่นั่นอาจจะมีปัญหาตามมาได้” จูปิตันเสนอ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นดุลยพินิจน์ของซาคาเรียสที่จะทำตามข้อเสนอของใครแต่ท้ายที่สุดก็เป็นไปตามความประสงค์ของเจ้าชายตัวจริง ยิ่งเมื่อมองเห็นใบหน้าที่จริงจังผิดปกตินั้นแล้ว หากเกิดคิดว่าตัวเองคือเจ้าชายที่แท้จริงและปฏิเสธคำขออ้อมๆ ของโทมัสแล้วล่ะก็ เขาคงโดนโกรธไปทั้งสัปดาห์แน่ๆ
“ลองไปโรงอาหารตะวันตกดูก็แล้วกันครับวันนี้ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าโรงอาหารที่นั่นมันกันดารมากอย่างที่คุณ.....เอ่อ” “จะเป็นพระมหากรุณาธิกุลเป็นอย่างมากหากพระองค์จะทรงเรียกดิฉันว่าจูปิตันเพคะฝ่าบาท” จูปิตันแสดงความเคารพอย่างสง่างาม สมกับที่มาจากชนชั้นผู้ดี ซาคาเรียสยิ้มรับอย่างเขิดเขิน ไม่รู้ว่าโทมัสจะคิดยังไงเพราะถ้าว่ากันตามหลักแล้วไม่ใช่ตัวเขาที่ต้องได้รับการแสดงความเคารพแบบนี้สักนิด “ไปกันเลยครับ” ซาคาเรียสรู้สึกว่าหากเขาต่อความยาวสาวความยืดจะทำให้ตัวเขาหลุดความเป็นตัวตนของตัวเองออกมาจึงตัดบทและเดินนำไปที่รถม้าสาธารณะ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 286
แสดงความคิดเห็น