บทที่ 1 คำทำนาย
จะกล่าวถึงเมืองสุริยะ เมืองแห่งนี้งดงามดุจเมืองสวรรค์ ผู้คนพลเมืองสืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพ บ้านเมืองอยู่กันอย่างสงบสุขเรื่อยมา
พลเมืองส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม และส่งค้าขายให้ต่างเมือง สร้างผลกำไรมหาศาล คนภายในเมืองจึงมั่งคั่งร่ำรวย และมีจิตใจโอบอ้อมอารี
ถึงยามอุษาสาง สุริยวงศ์ราชา ผู้เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองเมือง ออกมาทอดพระเนตรชีวิตของราษฎรอยู่ตลอด พระองค์มีนโยบายว่า การปกครองโดยใช้อำนาจเข้าข่มเหงย่อมเป็นที่เกลียดชังของประชาชน ดังนั้น เราควรเอาเมตตาเข้าปกครองพวกเขา ประชาชนจึงจะรักใคร่
แผ่นดินสงบสุขมาช้านาน ในเมื่อไม่มีข้าศึกมารุกรานแผ่นดิน พวกทหารจึงไม่ได้ซ้อมอาวุธเท่าที่ควร จึงเป็นความผิดพลาดอย่างยิ่งใหญ่
วันหนึ่ง กองลาดตระเวนได้มารายงานว่า เผ่าอินทระได้เคลื่อนมาจนใกล้จะถึงชาญพระนครแล้ว ทุกคนที่รู้ข่าวต่างตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่นึกว่าจะมีข้าศึกมารุกรานแผ่นดิน
คนเผ่าอินทระสืบเชื้อสายมาจากพระอินทร์ พวกเขามีผิวสีขาว ผิดจากคนเผ่าสุริยะที่มีผิวสีเข้ม เดิมทีพวกอินทระจะอยู่ดินแดนอีกแถบนึง แต่แผ่นดินแถบนั้นเกิดภัยธรรมชาติอย่างใหญ่หลวง พวกเขาจึงอพยพหาแผ่นดินใหม่อยู่อาศัย
สุริยวงศ์ราชาแต่งทหารออกไปต้านทานไว้ ให้ผู้คนเก็บเกี่ยวข้าวในทุ่งเอามาเป็นเสบียงให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้นก็ให้เผาทิ้งเสีย เพื่อไม่ให้ศัตรูใช้เป็นประโยชน์ได้
ณ สมรภูมิรบ อินทวงศ์มหาราชประทับอยู่บนพระคชาธาร พระหัตถ์ถือพระแสงของ้าว ล้อมรอบด้วยจตุรางคบาทและทหารรักษาพระองค์
“ฆ่ามัน อย่าให้พวกเผ่าสุริยะเหลือรอดแม้แต่คนเดียว สังหารมันให้สิ้น แผ่นดินแห่งนี้ต้องเป็นของเผ่าอินทระเท่านั้น” สิ้นกระแสรับสั่ง ทหารเผ่าอินทระก็บุกเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างกระหายเลือด เสียงศาสตราวุธปะทะกันดังสนั่น ผสานกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของทั้งสองฝ่าย กลิ่นคาวเลือดน่าสะอิดสะเอียนลอยมาตามสายลม
ทหารเผ่าสุริยะต่อสู้เต็มความสามารถ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานแสนยานุภาพของอริราชสตูได้ ในที่สุดก็ต้องแตกพ่ายกลับเข้าไปในกำแพงเมือง และปิดประตูเมืองเอาไว้อย่างแน่นหนา
ณ ท้องพระโรงแห่งเมืองสุริยะ ราตรีนั้น พระมเหสีแก้วเกศินีได้ประสูติพระกุมารสามองค์ พระโอรสนั้นมีสังวาลย์ติดวรกายมาด้วย คนพี่มีสังวาลย์สีขาว สลักชื่อว่าอดิเทพ คนกลางมีสังวาลย์สีแดง สลักชื่อว่าวีรเทพ ส่วนคนเล็กมีสังวาลย์สีม่วง สลักชื่อว่าศรุตเทพ
สุริยวงศ์ราชา กษัตริย์เผ่าสุริยะ จึงตั้งพระนามโอรสตามนั้น น่าเสียดายที่ข่าวการประสูติของโอรสชาวเมืองมิได้รับรู้ เพราะตอนนี้มีข้าศึกประชิดเมือง จึงมีแต่ขุนนางใกล้ชิดเท่านั้นที่รับรู้
สงครามระหว่างเผาได้เริ่มขึ้นอีก ผลก็ปรากฏออกมาเช่นทุกครั้ง ทหารเผ่าสุริยะได้พ่ายแพ้สงครามตามเคย และต้องเป็นฝ่ายนี้เข้ามาในกำแพงเมือง
กาลเวลาผ่านผันเข้าปีเศษ
เหตุอาเพศบังเกิดแผ่นดินไหว
วายุพัดรุนแรงแสยงใจ
พระเพลิงไหม้บ้านเรือนจนวุ่นวาย
อัสนีส่งเสียงสำเนียงลั่น
ผู้คนหวั่นร้องหวีดด้วยใจหาย
บังเกิดเป็นนิมิตแจ้งเหตุร้าย
เมืองจะล่มคนจะตายในเร็ววัน
บังเกิดเหตุอาเพศไปทั่วพระนครสุริยะ สุริยวงศ์ราชาจึงเรียกโหรหลวงมาทำนายเหตุ โหรหลวงจึงทำนายว่า
“บัดนี้ แผ่นดินสุริยะกำลังจะสูญสิ้น ผู้คนจะล้มตายเป็นอันมาก แต่ในอนาคตกาล พระโอรสจะสามารถกอบกู้แผ่นดินให้กลับคืนมาได้”
สุริยวงศ์ราชาถอนปัสสาสะยาว ก่อนดำรัสว่า “เราเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องแผ่นดินเอาไว้ได้ แต่เราจะไม่ยอมให้ชาวเมืองถูกฆ่าตายเป็นผักปลาเด็ดขาด เราจะออกไปทำยุทธหัตถีกับมัน ถึงแม้จะตาย แต่ก็ขอสู้ให้สมศักดิ์ศรีของนักรบ”
ดังนั้น พระองค์จึงแต่งราชทูตออกไปเจรจา แต่อินทวงศ์มหาราชหายินยอมไม่ เพราะพระองค์ไม่ต้องการเสี่ยงใดๆทั้งสิ้น จึงสั่งให้เพชฌฆาตนำราชทูตไปประหาร และให้เอาหัวไปเสียบประจานไว้หน้าค่าย หลังจากนั้นพระองค์จึงเข้าบรรทมในกระโจม
“อินทวงศ์มหาราช อินทวงศ์มหาราช อินทวงศ์มหาราช” สำเนียงของบุรุษเรียกนามของพระองค์ดังสนั่น พระองค์พยายามมองหา จึงมองเห็นชายหนุ่มถือดาบจ้องอยู่
“เจ้าเป็นผู้ใด เหตุไฉนจึงบังอาจถือดาบเข้ามาหาเราอย่างนี้ เจ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ” พระองค์รับสั่งถามออกไป บุรุษผู้นั้นยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น ก่อนตอบว่า
“ข้าคือมฤตยู ข้าจะมาเอาชีวิตของท่าน” สิ้นเสียงนั้น ดาบในมือของชายปริศนาก็เปล่งแสงอัคคีโชติช่วง ก่อนเผาผลาญพระองค์ไปทั้งวรกาย
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” พระองค์ส่งพระสุรเสียงดังลั่น มหาดเล็กที่ถวายงานใกล้ชิดรีบเข้ามาดู แล้วเขย่าปลุกผู้เป็นเจ้าเหนือหัว
“พระองค์ พระองค์ ตื่นบรรทมเถิดพระเจ้าค่ะ”
จอมกษัตริย์ลืมพระเนตรขึ้นมา เสโทเปียกชุ่มไปทั้งพระพักตร์ ลุกขึ้นยืนกะทันหัน ยื่นพระหัตถ์ไปหยิบพระแสงดาบที่อยู่บนพานแก้วมาถือไว้ พยายามมองหาชายปริศนาที่ใช้ดาบอัคคีเผาผลาญพระองค์ แต่ก็พบเพียงมหาดเล็กที่มาหมอบเฝ้าเท่านั้น
“วารุธ เจ้าเองหรือนั่น”, ทรงตรัสถามมหาดเล็กที่มาเข้าเฝ้าเบาๆ
“พระเจ้าค่ะ ข้าพเจ้าเอง” ขุนพลวารุธก้มหน้าตอบ
“เจ้าเห็นชายผู้นั้นหรือไม่วารุต ตอนนี้มันอยู่ที่ใดแล้ว”
“หามีผู้ใดไม่พระเจ้าค่ะ มีแต่ข้าพเจ้าเท่านั้น”
“ไม่จริง!” อินทวงศ์มหาราชกล่าวเสียงดัง พยายามใช้พระเนตรค้นหาอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบเป้าหมายเลย
“เมื่อคู่เราเห็นจริงๆ ชายผู้นั้นมันใช้ดาบอัคคีเผาผลาญเรา เรายังรู้สึกร้อนอยู่เลย มันหายไปได้อย่างไร”
ขุนพลวารุจจึงกราบทูลขึ้นว่า “พระองค์สุบินไปพระเจ้าค่ะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหาใช่ความจริงไม่”
อินทวงศ์มหาราชถอนพระไทยอย่างโล่งอุระ แล้วนั่งลงบนตั่งทอง ก่อนเล่าเรื่องในนิมิตรให้วารุตฟัง
“เจ้าลองทำนายทีรึ ความฝันของเราจะดีร้ายประการใด”
ขุนพลจึงกราบบังคมทูลว่า “ความฝันของพระองค์เป็นลางบอกเหตุในอนาคต เรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะกราบทูลต่อไปนี้ หากพระองค์ไม่พอพระทัยก็ได้โปรดอภัยโทษให้ข้าพเจ้าด้วย”
วารุธถอนหายใจออกมา แล้วบังคมทูลต่อไปว่า “ในอนาคตกาล จะมีบุรุษผู้หนึ่งโค่นบัลลังก์ของพระองค์ลงได้ ชายผู้นั้นมีเดชานุภาพมาก แผ่นดินจะต้องลุกเป็นไฟด้วยฤทธาของเขา”
“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ! พอมีวิธีแก้ไขหรือไม่” อินทวงศ์มหาราชถามอย่างตกพระไทย พระเนตรฉายความหวาดหวั่นออกมา
ขุนพลวารุตพิจารณาอยู่นาน ในที่สุดก็บังคมทูลว่า “มีวิธีเดียวพระเจ้าค่ะ พระองค์ต้องสังหารเด็กทารกเผ่าสุริยะทุกคน อย่าให้มันได้มีโอกาสเติบโต”
เมื่อนั้น อินทวงศ์มหาราชจึงมีพระราชโองการให้โจมตีเมืองสุริยะให้แตกในเร็ววัน เพื่อจะได้สถาปนาเมืองขึ้นใหม่
การต่อสู้เริ่มขึ้นตั้งแต่อุตสาห์สาง ทหารเผ่าสุริยะถูกฆ่าตายเหมือนใบไม้ร่วง พวกอินทระตามฆ่าฟันอย่างอำมหิต แผ่นดินจึงถูกย้อมด้วยสีแดงเข้ม มองไปทางไหนก็พบแต่ศพของทหาร กำแพงเมืองถูกระดมยิงด้วยธนูเพลิง ในที่สุดก็โค่นทลายลงมา ทหารอินทระจึงเข้าไปในเมืองได้สำเร็จ
“ฆ่ามัน ฆ่ามันให้หมด อย่าไว้ชีวิตแม้แต่คนเดียว” ทหารอินทระประกาศเสียงดังลั่น ไล่ฟาดฟันเผ่าสุริยะไม่หยุด เสียงเด็กร้องไห้จ้า ผู้เป็นแม่โอบกอดลูกเอาไว้ ทหารอินทระจึงระดมยิงธนูเข้าใส่ สองแม่ลูกจึงถูกลูกธนูผนึกร่างติดกัน สร้างความสังเวชให้แก่ผู้พบเห็นอย่างยิ่ง
ชาวบ้านวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต หากใครดวงดีหน่อยก็รอดตาย แต่ถ้าใครโชคร้ายก็ถูกดาบของอินทระประหารจนตาย อนิจจา เมืองที่ง
ดงามดั่งสวรรค์, บัดนี้กลายเป็นทะเลเพลิงเสียแล้ว
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 194
แสดงความคิดเห็น