ตอนที่ 726 การรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญ
ตอนที่ 726 การรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญ
ณ สวนสายลมในกลุ่มดาวม้าขาวซึ่งดูเป็นสวนธรรมดาที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไร แต่เหล่าบรรดาผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงต่างก็ชอบเรียกมันว่าสวนคนคลั่ง เพราะมันคือแหล่งรวมตัวของผู้คนจากตระกูลสกายวิง
โดยปกติตระกูลใหญ่มักจะสร้างสวนอันสวยงามเพื่อแสดงความรุ่งเรืองของครอบครัว แต่สายลมแห่งนี้มีพื้นที่น้อยกว่าร้อยเอเคอร์ด้วยซ้ำ และไม่ได้รับการตกแต่งที่โดดเด่นอะไรเลย อย่างไรก็ตามมันก็ไม่มีใครกล้าดูถูกสวนคนคลั่งเลยแม้แต่คนเดียว เพราะเมื่อไหร่ที่ใครรู้ว่าสวนแห่งนี้คือสวนของตระกูลสกายวิง แค่นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
ในเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 1 นาทีหลังจากที่เซี่ยจงไห่ทำลายตราอสูรคลั่ง สวนสายลมที่ปกติจะเป็นสวนที่สงบก็ถูกเปิดประตูออกมาจากด้านใน
ชายชราผู้มีหนวดเคราสีขาวผลักบานประตูเปิดออกอย่างช้า ๆ ก่อนที่เขาจะหยิบไม้กวาดขึ้นมากวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นตามท้องถนนราวกับว่าเขาไม่มีอะไรทำ
“ถึงเวลาทำความสะอาดแล้วสินะ คนอื่นน่าจะอารมณ์ไม่ดีแน่ ๆ ถ้ากลับมาเห็นสวนรกแบบนี้”
ถนนที่นำไปสู่สวนสายลมค่อนข้างแคบและถูกรายล้อมไปด้วยบ้านธรรมดา ๆ อย่างมากมาย แต่การปรากฏตัวของชายชราที่ดูธรรมดาคนนี้กลับกระตุ้นความหวาดกลัวของทุกคนที่พบเห็นได้ในทันที
“สวนสายลมถูกเปิดออกงั้นเหรอ?”
“จริงหรือเปล่า?”
“จริงสิ ฉันเห็นกับตาว่าเซี่ยอู๋เย่พ่อบ้านของตระกูลสกายวิงกำลังเปิดประตูแล้วเริ่มทำความสะอาดสวนแล้ว”
“แบบนี้มันก็หมายความว่าใครสักคนในกลุ่มดาวม้าขาวกำลังเจอกับความโชคร้ายสินะ”
“ไม่ใช่แบบนั้น การที่ประตูของสวนสายลมถูกเปิดต้อนรับแขก มันหมายความว่าตระกูลสกายวิงกำลังจะทำสงครามกับตระกูลอื่นต่างหาก ฉันคิดว่าหลังจากนี้มันคงจะมีเรื่องใหญ่รออยู่”
“พวกเราต้องรีบไปแล้ว! ทุกคนรีบเตรียมตัวเอาไว้ดีกว่าดาบคลั่งถูกชักออกจากฝักแล้ว เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องตลก ๆ หรอกนะ”
ฝูงชนต่างก็เริ่มพูดคุยกันอย่างคับคั่ง ซึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่นานผู้คนหลายร้อยคนก็เริ่มมารวมตัวกันเพื่อสังเกตสถานการณ์ภายในสวนสายลม
แม้ว่าจะมีฝูงชนมามุงดูเป็นจำนวนมาก แต่เซี่ยอู๋เย่ก็ยังคงกวาดใบไม้ต่อไปราวกับว่าเขาไม่เห็นเพื่อนบ้านเหล่านี้เลย
ในเวลาเพียงแค่ไม่นานชายวัยกลางคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่มุมถนน ก่อนที่เขาจะพยักหน้าทักทายเซี่ยอู๋เย่ที่กำลังกวาดพื้นหนึ่งครั้งและเดินเข้าไปภายในสวนด้วยแววตาที่เฉียบคม
“นั่นใคร?” เพื่อนบ้านคนหนึ่งถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“เซี่ยหลานชาน ฉันได้ยินมาว่าเขาออกไปเรียนร้องเพลงแต่ฉันไม่ได้เจอเขามามากกว่า 20 ปีแล้ว ตอนเด็ก ๆ ฉันพอจะเห็นเขาอยู่บ่อย ๆ” ชายชราคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“คนจากตระกูลสกายวิงไปเรียนร้องเพลงเนี่ยนะ?! พวกเขาจะไม่ทำตัวไร้สาระเกินไปหน่อยงั้นเหรอ?” หนุ่มสาวบางคนที่ไม่รู้จักตระกูลสกายวิงกล่าวถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“พวกเอ็งนี่ไม่รู้อะไรเลยสินะ ตระกูลสกายวิงเป็นตระกูลใหญ่ที่ให้อิสระสมาชิกในตระกูลมากที่สุด แล้วพวกเขาไม่เคยบังคับให้สมาชิกภายในตระกูลทำอะไรเลย สมาชิกภายในตระกูลเลยอยากจะทำอะไรก็ทำไม่เหมือนกับลูกหลานของตระกูลใหญ่อื่น ๆ ที่ถูกบังคับให้ต้องเรียนรู้การต่อสู้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ใช้นามสกุลของตระกูลตัวเองด้วยซ้ำ” ชายชรากล่าวอธิบาย
“ถ้าพวกเขาใช้ชีวิตเสเพลแบบนั้น นักสู้ในตระกูลของพวกเขาก็ไม่ควรที่จะสู้กับตระกูลอื่น ๆ ได้สิ แล้วทำไมตระกูลทั่วทั้งกลุ่มดาวม้าขาวถึงกลัวตระกูลสกายวิงขนาดนี้?” ชายหนุ่มยังคงถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
“แม้ตระกูลสกายวิงจะให้อิสระสมาชิกในตระกูล แต่สมาชิกในตระกูลของพวกเขามันก็ไม่มีใครอ่อนแอเลยแม้แต่คนเดียว ยกตัวอย่างเช่น เซี่ยหลานชานที่ถึงแม้เขาจะชอบร้องเพลง แต่ตอนนี้เขาก็น่าจะมีพลังในระดับราชากฎแล้ว” ชายชรายังคงกล่าวตอบอย่างสงบ
“อะไรนะ?! ราชากฎ!” ทุกคนต่างก็อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะแม้แต่สมาชิกตระกูลสกายวิงที่เพิ่งเดินผ่านพวกเขาไปแบบสุ่ม ๆ ก็ยังเป็นถึงราชากฎผู้น่าเกรงขาม
“อีกอย่างสาเหตุที่ตระกูลอื่นกลัวตระกูลสกายวิงมาก มันก็เพราะว่าสมาชิกทุกคนภายในตระกูลต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นหมาป่าที่โหดเหี้ยม พวกเอ็งรู้ไหมว่าทำไมตระกูลสกายวิงถึงถูกเรียกว่าตระกูลดาบอสูรคลั่งที่ถูกผนึก?” ชายชรายังคงพูดต่ออย่างภาคภูมิใจ
“ไม่รู้ครับ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“ถ้าไม่รู้ก็กลับบ้านไปถามปู่เอ็งดิ”
ทันทีที่สิ้นคำตอบของชายชรา ฝูงชนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างฉับพลัน และมันก็ช่วยบรรเทาความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นจากการที่สวนสายลมได้ถูกเปิดออกมาอีกครั้งหนึ่งได้
แต่น่าเสียดายที่เสียงหัวเราะนั้นก็เกิดขึ้นได้เพียงแค่ไม่กี่นาที เพราะสมาชิกของตระกูลสกายวิงค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นมาทีละคน ซึ่งภายในเวลา 5 นาทีมันก็มีคนของสกายวิงเดินผ่านประตูเข้าไปถึงหกคนแล้ว
โดยปกติในสวนสายลมจะมีเพียงแค่เซี่ยอู๋เย่ผู้ซึ่งเป็นพ่อบ้านชรา และเซี่ยจงไห่ผู้ซึ่งทำงานภายในสมาคมผู้คุมกฎอาศัยอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น แตกต่างจากพื้นที่ของตระกูลขนาดใหญ่ตระกูลอื่นที่มีสมาชิกอาศัยอยู่ภายในตระกูลเต็มไปหมด
ท้ายที่สุดสมาชิกของสกายวิงแต่ละคนต่างก็ล้วนแล้วแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง โดยบางคนออกไปร้องเพลง, บางคนออกไปปรุงยาหรือบางคนชอบออกไปล่าสัตว์อสูร ทำให้ไม่มีใครกลับมาอยู่อาศัยในสวนแห่งนี้เลยแม้แต่คนเดียว
โดยสรุปก็คือสมาชิกตระกูลสกายวิงแต่ละคนต่างก็มีนิสัยชอบออกท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในจักรวาล และนี่ก็เป็นครั้งแรกของเพื่อนบ้านหลาย ๆ คนที่ได้เห็นสมาชิกของตระกูลสกายวิงกลับมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากขนาดนี้
อย่างไรก็ตามสมาชิกของตระกูลทุกคนต่างก็เดินเข้าไปภายในสวนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ และพบว่าฝูงหมาป่าอันดุร้ายค่อย ๆ เดินทางกลับมารวมกลุ่มกันเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกคนต่างก็สามารถตระหนักได้ในทันทีว่าบรรยากาศในสวนสายลมวันนี้แตกต่างไปจากปกติ และทุกคนก็ได้กลิ่นพายุแห่งความวุ่นวายกำลังจะพัดผ่านเข้ามา
“นั่นเซี่ยหวู่ ราชากฎของตระกูลอีกคนกลับมาแล้ว ตระกูลสกายวิงกำลังจะทำอะไรกันแน่? พวกเขาถึงได้เรียกรวมผู้เชี่ยวชาญกลับมาเป็นจำนวนมากขนาดนี้”
“อย่าบอกนะว่าเผ่าเทพกับเผ่ามารกำลังจะทำสงครามกันอีกแล้ว?”
เหล่าบรรดาเพื่อนบ้านต่างก็สันนิษฐานกันไปเรื่อย เพราะการเรียกรวมตัวสมาชิกของตระกูลในคราวนี้ แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออกว่าตระกูลสกายวิงกำลังจะทำอะไรบางอย่างที่เป็นงานใหญ่แน่ ๆ
ปัจจุบันมันได้มีสมาชิกของตระกูลสกายวิงกลับเข้าไปในสวนแล้วทั้งหมด 23 คน ซึ่งทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับราชากฎ และมันก็มีแม้กระทั่งราชากฎระดับสูงอยู่ท่ามกลางสมาชิกเหล่านั้นด้วย
“ดูนั่น! แม้แต่จักรพรรดิกฎของตระกูลก็ยังกลับมา”
เมื่อชายชราสวมแว่นคนหนึ่งเดินเข้าไปภายในสวน มันก็ทำให้ฝูงชนที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดรู้สึกตกตะลึงในทันที
เซี่ยเทียนเผยรอยยิ้มให้กับทุกคนก่อนที่จะเดินเข้าไปในประตู เพียงแต่รอยยิ้มนั้นเป็นเหมือนกับระเบิดเวลาในสายตาของผู้เฝ้าดู ที่มันพร้อมจะระเบิดความบ้าคลั่งออกมาได้ทุกเมื่อ
“จบแล้ว มันจบแล้ว! คราวนี้ตระกูลสกายวิงจะต้องระเบิดความวุ่นวายออกมาอย่างแน่นอน”
“ดาบอสูรคลั่งกำลังถูกชักออกมาจากฝัก! ใครมันกล้ามาทำให้สกายวิงรู้สึกโกรธแค้นได้จนถึงขนาดนี้กันแน่?!” แม้แต่ชายชราที่คอยอธิบายสถานการณ์อย่างสงบนิ่งในก่อนหน้านี้ก็กำลังตะโกนออกมาด้วยอารมณ์อันปั่นป่วน โดยไม่สามารถรักษาความสงบเอาไว้ได้อีกต่อไป
“คนเมื่อกี้เป็นจักรพรรดิกฎงั้นเหรอ? ทำไมท่าทางของเขาถึงดูไม่ได้เลย?” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความสับสน
“จำเอาไว้ว่าภาพภายนอกของคนจากตระกูลสกายวิงมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ตราบใดก็ตามที่ใครไปทำให้พวกเขาขุ่นเคืองแม้แต่เทพเจ้าก็ยังต้องรู้สึกเสียใจ เพราะพวกเขาคือกลุ่มคนที่บ้าที่สุดในดินแดนของผู้ใช้กฎ” ชายชรากล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน
ชายหนุ่มถึงกับกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ เมื่อได้รู้ว่าชายชราผู้สวมแว่นคนนั้นคือจักรพรรดิกฎจริง ๆ
อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของสมาชิกในตระกูลสกายวิงมันก็คล้ายกันกับนิสัยของเซี่ยเฟยมาก เพราะนอกเหนือจากชายหนุ่มจะฝึกฝนการต่อสู้แล้ว เขายังฝึกฝนความรู้ในด้านอื่น ๆ อย่างเช่นวิชาจักรกลและวิชาการปรุงยาอีกด้วย
ขณะเดียวกันตอนที่เขาไม่ได้อยู่ในโหมดต่อสู้ เขาก็จะเผยรอยยิ้มออกมาดูเป็นคนธรรมดาที่ไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เซี่ยเฟยจะต้องสู้ เมื่อนั้นเขาก็พร้อมที่จะระเบิดความบ้าคลั่งออกมาอย่างถึงที่สุด จนไม่เหลือภาพชายหนุ่มอารมณ์ดีในช่วงเวลาปกติเลย
ท้ายที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก ความบ้าคลั่งที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่จะปรากฏบนใบหน้าแต่มันเป็นสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในไขกระดูกต่างหาก และมันก็ไม่มีทางที่จะลบล้างนิสัยพวกนั้นออกไปจากตัวของพวกเขาได้
หากใครคุ้นเคยกับเซี่ยเฟยเป็นอย่างดีจะรู้ว่าเขาคือคนมีเหตุผลในช่วงเวลาปกติเท่านั้น แต่แก่นแท้ที่คงอยู่ติดตัวชายคนนี้ตลอดไปคือความบ้าคลั่งที่เขาพร้อมจะแสดงออกมาได้ทุกเวลา
ทันใดนั้นเหล่าบรรดาเพื่อนบ้านก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป พวกเขาจึงส่งชายชราผู้ซึ่งสนิทกับเซี่ยอู๋เย่มากที่สุดเข้าไปถามพ่อบ้านชราคนนี้ ว่าตระกูลสกายวิงกำลังพยายามจะทำอะไรอยู่กันแน่
“ผู้อาวุโสเซี่ยพอดีว่าเพื่อนบ้านของเรากำลังกังวลเล็กน้อย คุณพอจะบอกพวกเราหน่อยได้ไหมว่ามันกำลังมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับตระกูลสกายวิงกันแน่?” ชายชรากล่าวถามเซี่ยอู๋เย่ที่กำลังกวาดพื้นด้วยความเคารพ
แม้ว่าเซี่ยอู๋เย่จะใช้นามสกุลเซี่ยเหมือนกับสมาชิกในตระกูลสกายวิงคนอื่น แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ใช่สมาชิกของตระกูลนี้โดยตรง อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาคอยรับใช้ตระกูลมานานหลายปี เขาจึงได้รับอนุญาตให้ใช้นามสกุลเซี่ยและถูกปฏิบัติตัวเป็นเหมือนกับหนึ่งในสมาชิกของตระกูลในที่สุด
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่มันมีคนในตระกูลบีบตราอสูรคลั่งแตกเท่านั้นเอง ทุกคนเลยกลับมารวมตัวกันเพื่อรอฟังว่าพวกเราจะต้องทำอะไร” เซี่ยอู๋เย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ห้ะ!
ทันทีที่ชายเฒ่าได้ยินคำว่าตราอสูรคลั่งถูกทำลาย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวในทันที และในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าทำไมเหล่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของตระกูลสกายวิงถึงได้กลับมารวมตัวกันแบบนี้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ตราอสูรคลั่งถูกทำลายทุกคนจะต้องกลับมารวมตัวกันที่ตระกูลโดยเร็วที่สุด
“ดูเหมือนว่าคราวนี้อีกฝ่ายจะเป็น 1 ใน 9 ตระกูลชั้นยอดด้วยล่ะมั้ง ถ้าหากเป็นไปได้ทุกคนก็อย่าพึ่งเข้ามายุ่งกับพวกเราในตอนนี้ดีกว่า” เซี่ยอู๋เย่กล่าวพร้อมกับทำความสะอาดสวนสายลมต่อไป ราวกับว่าการจะทำสงครามกับ 1 ใน 9 ตระกูลชั้นยอดจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อสภาวะจิตใจของเขาเลย
“กะ…กะ… เก้าตระกูลชั้นยอด!!!” ชายเฒ่าอุทานออกมาด้วยเสียงตะกุกตะกัก และเขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เขาเพิ่งจะได้ยินไปเมื่อสักครู่เลยแม้แต่น้อย
—
ณ สำนักงานใหญ่ของกลุ่มมังกรฟ้า
ปัจจุบันสี่ผู้พิทักษ์แห่งกลุ่มมังกรฟ้า ซาเลม, คูรัน, แครี่และบรูซ รวมถึงผู้นำอย่างเฝิงคูชานต่างก็ถูกเรียกมารวมตัวกันอย่างเร่งด่วน
พวกเขาทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิกฎผู้แข็งแกร่ง และมันก็ไม่มีตระกูลใดในกลุ่มดาวม้าขาวที่สามารถรวบรวมกองกำลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ แม้แต่ภายใน 9 ตระกูลชั้นยอดแห่งกลุ่มดาวม้าขาวก็ตาม
ด้วยการรวมตัวกันของเหล่าบรรดานักสู้ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้นี่เอง มันจึงทำให้กลุ่มมังกรฟ้าได้รับการยกย่องว่าเป็นกลุ่มนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนกฎ
การประกาศสงครามระหว่างตระกูลสกายวิงกับตระกูลมูนวอร์ดไม่สามารถรอดพ้นไปจากสายตาของกลุ่มมังกรฟ้าได้ เพราะนอกเหนือจากที่พวกเขาจะทำหน้าที่เป็นศูนย์ฝึกนักสู้ชั้นยอดแล้ว พวกเขายังมีความรับผิดชอบในการรายงานสถานการณ์ทุกอย่างขึ้นไปยังเผ่าเทพอีกด้วย
บรรยากาศภายในห้องประชุมตอนนี้เต็มไปด้วยความกดดัน เพราะทุกคนรู้ดีว่าการทำสงครามระหว่างตระกูลสกายวิงกับ 1 ใน 9 ตระกูลชั้นยอด มันย่อมนำมาซึ่งความวุ่นวายไปทั่วทั้งดินแดนกฎอย่างแน่นอน
ตี๊ด ๆ
เครื่องสื่อสารบนโต๊ะของเฝิงคูชานดังขึ้นพร้อม ๆ กับทุกคนที่เงยหน้าพร้อมจะรับฟังข่าวสาร เพื่อติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์ในตอนนี้
“พูดมาได้เลย” เฝิงคูชานออกคำสั่ง
“ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายเริ่มเรียกระดมรวมกองกำลังมาที่ตระกูลของตัวเองแล้วครับ” ชายชุดดำบนหน้าจอรายงานด้วยความเคารพ
“ประเมินความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายในตอนนี้หน่อย” เฝิงคูชานกล่าวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ทางฝั่งของตระกูลมูนวอร์ดมีเซียงไป๋, เซียงอู๋เฉิงและเซียงจินเฉิงได้มารวมตัวกันแล้ว และพวกเขาก็มีราชากฎอีกเกือบ 40 คนเดินทางมารวมกองกำลังที่ตระกูลแล้วด้วยเหมือนกัน”
“จักรพรรดิกฎ 3 คนกับราชากฎอีกเกือบ 40 คนงั้นเหรอ!?”
นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเก้าตระกูลชั้นยอด เพราะภายในตระกูลขนาดเล็กอย่างตระกูลหยูมีราชากฎอยู่เพียงแค่ 3 คนเท่านั้น แต่หลังจากตระกูลมูนวอร์ดเรียกระดมพลในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พวกเขากลับสามารถเรียกรวมผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังให้มารวมตัวกันได้เป็นจำนวนมากขนาดนี้
“ไม่ใช่ว่าเซียงจินเฉิงขึ้นไปอยู่ในเผ่าเทพแล้วงั้นเหรอ?” เฝิงคูชานกล่าวถามอย่างสงสัย
“เซียงจินเฉิงได้รับเลือกให้เข้าสู่เผ่าเทพเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแต่เขายังไม่ได้ลงทะเบียน ตามกฎจึงถือว่าเขายังไม่ได้เป็นสมาชิกของเผ่าเทพ เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้โดยไม่ได้ละเมิดกฎที่ทางเผ่าเทพได้ตั้งเอาไว้ครับ” สายลับกล่าวรายงานอย่างเคร่งขรึม
ทุกคนต่างก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะท้ายที่สุดผู้ที่เข้าร่วมกับเผ่าเทพแล้วไม่สามารถกลับมายุ่งกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มดาวม้าขาวได้ แต่ในเมื่อเซียงจินเฉิงยังไม่ได้ลงทะเบียน มันก็หมายความว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้กลายเป็นสมาชิกของเผ่าเทพอย่างเป็นทางการ
“ตระกูลมูนวอร์ดเรียกรวมจักรพรรดิกฎได้ 3 คนเลยงั้นเหรอ? ดูเหมือนว่าคราวนี้ตระกูลสกายวิงจะเจอปัญหาใหญ่แล้ว” บรูซอุทานพร้อมกับส่ายหัวอย่างลับ ๆ
***************
จักรพรรดิกฎ 3 คน!!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 301
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น