ตอนที่ 723 ทางเลือกของสมาคม
ตอนที่ 723 ทางเลือกของสมาคม
เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วหากใครได้ยืนอยู่ในอวกาศบริเวณนี้ พวกเขาจะสามารถมองเห็นแสงสีขาวที่เกิดขึ้นมาจากพลังอันรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากการปะทะกัน ระหว่างพลังของเซียงอู๋เฉิงกับพลังของพวกเซี่ยเฟยได้อย่างชัดเจน
แรงปะทะก่อให้เกิดแสงสว่างวาบไปทั่วทั้งกาแล็กซี พร้อมกับพื้นผิวของดาวดวงนี้ที่ถูกตัดออกไปถึง 1 ใน 4 ของพื้นที่เดิม ที่สำคัญกว่านั้นคือพลังยังพุ่งทะลวงเข้าไปในอวกาศ และเจาะทะลุดาวเคราะห์ไปอีกสามดวงก่อนที่พลังอันรุนแรงนั้นจะสิ้นสุดลง
แน่นอนว่าผู้ที่สามารถปลดปล่อยพลังออกมาจนทำลายดวงดาวได้ถึงระดับนี้ ก็ไม่ใช่ใครอื่นใดเลยนอกเสียจากพลังทำลายที่ปล่อยออกมาจากขนอุยผู้ซึ่งเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์มารขาว
หากมุมการโจมตีของขนอุยแม่นยำกว่านี้ มันก็คงจะสามารถทำลายดาวเคราะห์ทั้งดวงได้ในทันที ซึ่งพลังนี้ก็คือที่มาที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของมันถูกยกย่องว่าเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้ทำลายดวงดาว
การระเบิดพลังของขนอุยคล้ายกับดาบแสงขนาดใหญ่ที่ฟาดฟันออกไปในกาแล็กซี และทำให้ทุกสิ่งที่ขวางหน้าถูกตัดขาดออกจากกันในทันที แม้แต่ดาวเคราะห์ก็ถูกตัดขาดออกจากกันเผยให้เห็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพื้นดินอันไหม้เกรียม
การปะทะก่อให้เกิดเมฆรูปเห็ดขนาดใหญ่ โดยมีฝั่งหนึ่งเป็นสีขาวขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นสีดำ ซึ่งมันเป็นผลของการปะทะกันระหว่างกฎมิติของเซียงอู๋เฉิงและกฎแห่งความโกลาหลของเซี่ยเฟย
แสงสีขาวพยายามกลืนกินทุกสิ่งเข้าไปอย่างฉับพลัน แต่แสงสีดำก็ยังคงพยายามดิ้นรนปกป้องชีวิตของตัวเองเอาไว้ นอกจากนี้มันยังมีเสียงครวญครางที่หูของมนุษย์ไม่มีทางได้ยิน แต่ในความเป็นจริงหงส์ครามกำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปกป้องเซี่ยเฟยจากพลังของศัตรู
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังใช้ชีวิตของตัวเองห้ำหั่นอีกฝ่ายอยู่นั่นเอง จู่ ๆ มันก็มีบุคคลที่ 3 เข้ามาแทรกกลางการเผชิญหน้าในครั้งนี้อย่างฉับพลัน
การปะทะกันระหว่างพวกเซี่ยเฟยกับเซียงอู๋เฉิงเป็นเหมือนกับลูกโป่งที่กำลังพองตัวเกือบเต็มที่ แต่การโจมตีของบุคคลที่ 3 คล้ายกับเข็มเล็ก ๆ ที่เจาะให้ลูกโป่งระเบิดออกอย่างกะทันหัน และทำให้ทั้งสองฝ่ายกระเด็นออกจากกันโดยสิ้นเชิง
เซี่ยเฟยถูกกระแทกกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ถึงกระนั้นแขนของเขาก็ยังคงโอบกอดขนอุยเอาไว้แน่น ในขณะที่หงส์ครามที่แขนขวาของเขาก็เหลือเพียงแค่รากที่กำลังใกล้จะแห้งตายเท่านั้น เพราะใบหญ้าทั้งสามใบถูกทำลายจนไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีกแล้ว
ในที่สุดการต่อสู้ระหว่างราชากฎอันต่ำต้อยอย่างเซี่ยเฟย กับจักรพรรดิกฎผู้สูงส่งแห่งตระกูลมูนวอร์ดก็จบลงที่ผลเสมอกัน โดยที่ไม่มีใครได้รับชัยชนะอย่างชัดเจน
แต่ถึงกระนั้นสถานการณ์ของทางฝั่งชายหนุ่มก็น่าสิ้นหวังมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นเซี่ยเฟย, หงส์ครามหรือขนอุยต่างก็ล้วนแล้วแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกันทั้งหมด
—
อันที่จริงสิ่งที่ผู้แทนจากสมาคมผู้คุมกฎได้มาพบเจอนั้นเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสุดท้ายของการต่อสู้อันน่าหดหู่นี้ แต่ถึงกระนั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกตกใจมาก และถ้าหากว่าพวกเขาได้เห็นการต่อสู้ตั้งแต่แรก มันก็คงจะเป็นภาพที่พวกเขายากที่จะลืมเลือนได้
“อย่าพึ่งทำอะไรบุ่มบ่าม ฝั่งตรงข้ามเป็นจักรพรรดิกฎ 2 คน” หมิงซินออกคำสั่งด้วยแววตาที่จริงจัง
ทุกคนต่างก็ละสายตาจากเซี่ยเฟยแล้วหันมองไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ซึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแสงสว่างทั้งหมดก็จางหายไป เผยให้เห็นชาย 2 คนที่อยู่ท่ามกลางกำแพงป้องกันอันทรงพลัง
ชายคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นมา เพื่อสร้างโดมป้องกันที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้างกว่า 2 เมตร ส่วนอีกคนนอนล้มอยู่ในอ้อมแขนชายคนแรก โดยที่แขนขวาของเขาถูกตัดออกไปเสมอไหล่และมีเลือดไหลออกมาทำให้พื้นบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงฉาน
ภาพตรงหน้าทำให้ราชากฎทั้ง 10 แห่งสมาคมผู้คุมกฎรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะหันหน้าไปมองทางเซี่ยเฟยอย่างพูดไม่ออก
ในปากของชายหนุ่มยังคงมีดาบสั้นสีแดงเลือดถูกคาบเอาไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งมันก็หมายความว่าผู้ที่สามารถตัดแขนของชายตรงหน้าย่อมไม่มีใครอื่นนอกเสียจากชายหนุ่มคนนี้
อีกฝ่ายเป็นถึงจักรพรรดิกฎที่ทรงพลัง มันจึงทำให้แม้แต่เหล่าบรรดาผู้นำของสมาคมที่เติบโตขึ้นมาจากตระกูลชั้นยอด ก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถตัดแขนอีกฝ่ายเหมือนกับเซี่ยเฟยได้
ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงระเบิดทำลายล้างอันรุนแรง ที่ทำให้ดาวเคราะห์ทั้งดวงถูกผ่าแยกออกจากกัน มันจึงไม่มีใครสามารถคาดเดาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านี้ได้เลย
หมิงซินพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ เหล่าบรรดาราชากฎจากสมาคมจึงล้อมรอบจักรพรรดิกฎทั้งสองเอาไว้อย่างเข้าใจกัน ท้ายที่สุดการที่พวกเขาพยายามกำจัดเซี่ยเฟยแบบนี้ มันก็หมายความว่าชายทั้งสองคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมในตระกูลหยู
ปัจจุบันทั้งตระกูลวิทเทอร์และตระกูลเฝิงต่างก็พยายามเรียกร้องให้สมาคมผู้คุมกฎออกมาจัดการผู้กระทำความผิด และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่พวกเขาก็ต้องพยายามจับกุมบุรุษทั้งสองคนนี้เอาไว้ให้ได้
ในเวลาเดียวกันชายทั้งสองคนนี้ก็สวมใส่ชุดคลุมสีดำและสวมใส่หน้ากากปกปิดร่างกายตัวเองเอาไว้อย่างมิดชิด แต่ทุกคนก็พอจะคาดเดาตัวตนของชายทั้งสองคนนี้ได้บ้าง เนื่องจากทั่วทั้งกลุ่มดาวม้าขาวก็มีจักรพรรดิกฎอยู่เพียงแค่ไม่กี่คน และจักรพรรดิกฎแต่ละคนต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงอำนาจที่มีอิทธิพลไปทั่วทั้งดินแดน
สถานการณ์ในปัจจุบันน่าอึดอัดมาก เพราะถึงแม้ว่าเหล่าผู้นำของสมาคมจะล้อมรอบจักรพรรดิกฎทั้งสองคนนี้เอาไว้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันยังไง
เพราะท้ายที่สุดสถานะของจักรพรรดิกฎก็ยิ่งใหญ่มากเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถรุกรานโดยประมาทได้ ทุกคนจึงมองหน้ากันด้วยความสับสนลงท้ายด้วยการหันไปถามความเห็นจากประธานสมาคมอย่างหมิงซิน
เหตุการณ์นี้ทำให้หมิงซินรู้สึกกดดันมากทั้ง ๆ ที่ปกติไม่มีใครให้ความเคารพเขาในฐานะประธานสมาคมเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่หน้าสิ่วหน้าขวาน ทุกคนกลับโยนหน้าที่การตัดสินใจมาให้กับเขาแบบนี้
“นายโอเคไหม?” เซียงไป๋กล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ในตอนที่ทั้งสองฝ่ายกำลังปะทะกันในวินาทีสุดท้าย เซียงไป๋ผู้ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลมูนวอร์ดก็เป็นคนที่ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงในตอนนั้นเอง เพราะถ้าหากว่าเขาไม่ได้เข้าไปแทรกแซงในตอนนั้น เซียงอู๋เฉิงก็อาจจะเสียชีวิตลงไปแล้วก็ได้
“ปล่อยฉัน แล้วไปฆ่าเซี่ยเฟยก่อน” เซียงอู๋เฉิงกัดฟันขณะยังคงจ้องมองไปยังเซี่ยเฟยด้วยแววตาอันดุเดือด
ในชั่วครู่หนึ่งที่ร่างของเขาได้สัมผัสเข้ากับดาบของเซี่ยเฟย เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างแท้จริง เพราะดาบในปากของชายหนุ่มเป็นเหมือนกับผีดูดเลือด ที่แม้แต่จักรพรรดิกฎอย่างเขาก็ไม่สามารถต้านทานการดูดซับพลังที่น่ากลัวนั้นได้
ปัจจุบันเซี่ยจงไห่กำลังตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเซี่ยเฟยอยู่ สถานการณ์นี้จึงถือว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้วจริง ๆ เพราะถ้าหากพวกเขาไม่สามารถจัดการชายหนุ่มก่อนที่เซี่ยจงไห่จะรับรู้ถึงตัวตนของเซี่ยเฟยได้ มันก็จะก่อให้เกิดภัยพิบัติต่อตระกูลของพวกเขา
“ฆ่าเซี่ยเฟยซะ! แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป ถ้าฉันเปิดเผยตัวตนออกมาเรื่องทุกอย่างจะไม่จบลงง่าย ๆ อย่างแน่นอน ฉันให้เวลาตัดสินใจ 3 วินาทีว่าทุกคนต้องการจะเป็นศัตรูกับฉันจริง ๆ หรือเปล่า?” เซียงไป๋เงยหน้ากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงอันหยิ่งผยอง
แม้ว่าเหล่าบรรดาราชากฎทั้งเก้าแห่งสมาคมผู้คุมกฎจะไม่ได้มีอำนาจเทียบเท่ากับผู้นำตระกูลของตัวเอง แต่ท้ายที่สุดเบื้องหลังของพวกเขาก็ยังคงเป็นตระกูลชั้นยอดแห่งกลุ่มดาวม้าขาวอยู่ดี ถ้าหากพวกเขาตัดสินใจสอบสวนเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด มันก็หมายความว่าตระกูลมูนวอร์ดจะต้องเป็นศัตรูกับอีกแปดตระกูลชั้นยอดที่เหลืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทันใดนั้นเองเซี่ยเฟยก็กระอักเลือดออกมาหลายครั้ง พร้อมกับค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าที่อ่อนแรง
“นี่เขายังไม่ตายอีกงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยส่งเสียงพึมพำออกมาเบา ๆ เมื่อได้เห็นว่าศัตรูของเขายังคงมีชีวิตอยู่
“แค่นายตัดแขนจักรพรรดิกฎได้ มันก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากแล้ว เอาล่ะไอ้หนูหยุดพูดก่อน เดี๋ยวฉันจะช่วยตรวจดูอาการบาดเจ็บของนายให้” เซี่ยจงไห่กล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
ท่าทางของชายชราคนนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างเคร่งเครียด เพราะจักรพรรดิกฎทั้งสองยังคงอยู่แต่เซี่ยจงไห่ก็ยังกล้าที่จะพูดจาล้อเลียนออกมาอย่างหน้าตาเฉย
ท้ายที่สุดนิสัยของคนในตระกูลสกายวิงก็อยู่เหนือเกินกว่าสามัญสำนึกของคนโดยทั่วไป และในระหว่างที่ตัวแทนจากสมาคมกำลังรู้สึกกังวลใจ ชายคนนี้ก็ยังคงพูดคุยกับเซี่ยเฟยด้วยเสียงหัวเราะราวกับว่าแรงกดดันในเหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาเลย
จิ่วหมิงหยูซึ่งเป็นตัวแทนของตระกูลแอจจิเททเป็นคนแรกที่เบือนหน้าหนีออกไป ซึ่งมันก็หมายความว่าเขาตัดสินใจไม่เป็นศัตรูกับจักรพรรดิกฎทั้งสอง ดังนั้นหากว่ามันมีการฆ่าฟันเกิดขึ้นมาหลังจากนี้ เขาก็จะแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่เห็นเหตุการณ์อะไรทั้งนั้น
ตระกูลแอจจิเททและตระกูลมูนวอร์ดมีความสัมพันธ์อันดีกันมาโดยตลอด จิ่วหมิงหยูจึงสามารถจดจำตัวตนของจักรพรรดิกฎทั้งสองคนตรงหน้าได้ในเวลาเพียงแค่ไม่นาน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมของตระกูลหยู จะเป็นเหล่าบรรดาผู้นำของตระกูลมูนวอร์ดจริง ๆ
หลังจากนั้นเตี้ยวฉีซึ่งเป็นตัวแทนจากตระกูลสโนว์ดริฟท์ก็หันหน้าออกไปด้วยเช่นกัน ซึ่งมันก็หมายความว่าเธอจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
เตี้ยวฉีไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลสโนว์ดริฟท์โดยตรง และตระกูลเตี้ยวของเธอก็เป็นเพียงแค่ตระกูลย่อยภายในตระกูลสโนว์ดริฟท์เท่านั้น อย่างไรก็ตามเนื่องมาจากว่ามันจำเป็นจะต้องมีตัวแทนจากตระกูลต่าง ๆ ถูกส่งไปยังสมาคมผู้คุมกฎ เธอจึงถูกรับเลือกให้มาคอยดูแลจัดการเรื่องต่าง ๆ ภายในสมาคมแบบนี้
ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้เองมันจึงทำให้เตี้ยวฉีเป็นรองประธานสมาคมที่มีอำนาจน้อยที่สุดในบรรดารองประธานทั้งหมด เธอจึงไม่เคยแสดงความคิดเห็นขัดต่อข้อเสนอของรองประธานคนอื่น ๆ เลย
ดังนั้นถึงแม้ว่าตระกูลชั้นยอดที่เหลือจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาเป็นประธานสมาคม แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ตำแหน่งได้เวียนมาจนถึงตระกูลสโนว์ดริฟท์ เตี้ยวฉีผู้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในตอนนั้นก็จะปฏิเสธตำแหน่งประธานสมาคมในทันที เพราะพวกเธอรู้ดีว่าตัวเองยังคงขาดอำนาจที่จะขึ้นไปดำรงตำแหน่งประธาน
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อมันมีโอกาสที่ต้องขัดแย้งกับตระกูลใหญ่ เตี้ยวฉีก็ยังคงเลือกทางเลือกที่ปลอดภัยให้กับตระกูลของตัวเองเช่นเดิม เธอจึงไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งกับความบาดหมางในครั้งนี้ และไม่ว่าใครจะทำอะไรกันหลังจากนี้เธอก็จะไม่เห็นเหตุการณ์อะไรทั้งนั้น
ในความเป็นจริงทางเลือกในครั้งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากลำบากสำหรับพวกเขาเลย เพราะด้านหนึ่งคือเซี่ยเฟยที่ไม่มีอำนาจใด ๆ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือผู้อาวุโสจากตระกูลชั้นยอดตระกูลใดตระกูลหนึ่งอย่างแน่นอน มันจึงมีเพียงแค่คนโง่เท่านั้นที่กล้าจะยืนเคียงข้างคอยปกป้องเซี่ยเฟย
ความยุติธรรม?
ในดินแดนที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ความยุติธรรมมันก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่เอาไว้หุบปากพวกคนไร้อำนาจก็เท่านั้นแหละ!!
ในเวลาเพียงแค่ไม่นานราชากฎทั้งเก้าของสมาคมต่างก็หันหลังกลับไปเป็นการสื่อออกเป็นนัย ๆ ว่าพวกเขาไม่รับรู้เหตุการณ์อะไรทั้งนั้น ถ้าหากว่าใครอยากจะสังหารเซี่ยเฟยก็ลงมือได้เลย พวกเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้ให้
แม้แต่มู่เฉียงหลิงและหลางจิวหลินก็หันหลังให้กับเหตุการณ์ในครั้งนี้เช่นเดียวกัน เพราะการบาดหมางกับตระกูลชั้นยอดด้วยกันไม่ใช่เรื่องดี พวกเขาจึงเชื่อว่าถึงแม้ผู้นำตระกูลของพวกเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ แต่สุดท้ายทางเลือกที่ทุกคนจะตัดสินใจก็คงจะออกมาในรูปแบบเดียวกัน
“คราวนี้ฉันว่ามันถึงเวลาตายของนายจริง ๆ แล้วล่ะ” โอโร่กล่าวขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด เมื่อเขาได้เห็นว่าคนจากทางสมาคมทุกคนได้หันหลังให้กับชายหนุ่มแล้ว
บางครั้งโชคชะตาก็โหดร้ายมากจนเกินไป เพราะพวกเซี่ยเฟยพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่จนคนจากสมาคมเดินทางมาถึง อย่างไรก็ตามเมื่อเหล่าบรรดาผู้มีอำนาจต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มีอำนาจมากยิ่งกว่า พวกเขากลับเลือกที่จะหันหลังให้กับความยุติธรรมเพื่อเลือกที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นกับตระกูลชั้นยอด
หงส์ครามพยายามดิ้นรนฟื้นฟูใบหญ้าของมันขึ้นมาเพื่อปกป้องเซี่ยเฟย แต่น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บของมันรุนแรงมากจนเกินไป มันจึงมีเพียงแค่ใบหญ้าใบสั้น ๆ 3 ใบที่งอกออกมาจากแขนขวาของเขาเท่านั้น
แน่นอนว่าใบหญ้าพวกนี้ไม่สามารถที่จะห่อหุ้มแขนของเซี่ยเฟยได้ด้วยซ้ำ แล้วมันจะปกป้องชายหนุ่มจากสถานการณ์วิกฤตในครั้งนี้ได้ยังไง
ขนอุยที่อยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยเฟยก็กำลังส่งเสียงไอออกมาอย่างหมดแรง จากนั้นมันก็พยายามคลานเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างสิ้นหวัง และใช้ลิ้นสีชมพูน้อย ๆ ของมันเลียคอของเจ้านายอย่างประจบเอาใจ
น่าเสียดายที่ขนอุยอ่อนแอเกินไป มันจึงทรงตัวอยู่ได้ไม่นานก่อนที่จะฟุบตัวลงไปอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มอีกครั้ง
ถ้าหากเซี่ยเฟยได้จ้องมองไปยังขนอุยในตอนนี้ เขาก็จะได้พบว่าสิ่งที่ขนอุยไอออกมาต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นหยดเลือดที่เกิดขึ้นจากอาการบาดเจ็บภายใน
ภาพนี้ถือได้ว่าเป็นภาพที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง เพราะสัตว์อสูรตัวนี้พยายามที่จะปกป้องเจ้านายของมันไว้ แม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของมันก็ตาม
***************
สภาพแต่ละคน บาดเจ็บสาหัสหนักมากจนแทบไม่เหลือแรงมีชีวิต แล้วสถานการณ์นี้จะหนีรอดออกไปยังไง?
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 276
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น