บทที่ 12...3/3
ป้าของภารดีมาเป็นคนช่วยทำธุระเรื่องศพของน้องสาว พอภารดีตั้งสติได้แล้วจึงจัดการเรื่องเอกสารต่างๆโดยมีธามิณีคอยช่วย จนกระทั่งมารู้ตัวอีกทีธามิณีก็กำลังประคองภารดีลงจากรถของมูลนิธิซึ่งผู้เป็นลูกเดินทางมาที่วัดพร้อมกับ ‘แม่’ เป็นครั้งสุดท้าย ญาติที่ทราบข่าวมาช่วยงานกันหลายคน พอภารดีได้คุยกับญาติก็ทำให้ทำใจได้บ้าง แต่พอนั่งคนเดียวก็ร้องไห้อยู่เช่นเดิม ธามิณีเหมือนมองเห็นตัวเองในอดีต แม้เธอจะไม่มีโอกาสได้มางานศพของพ่อกับแม่ แต่สภาพจิตใจบอบช้ำไม่ต่างจากภารดีในตอนนี้เลย
กัลยากับรวิชญ์มางานศพในคืนต่อมาเพราะธามิณีเล่าให้ฟัง อีกทั้งข่าวก็ทำให้เกิดคำถามเรื่องการขับขี่เมื่อถึงทางม้าลายอีกด้วย ธามิณีแนะนำเพื่อนๆ ให้ภารดีรู้จัก ทำให้ตอนนี้ภารดีกลายเป็นพี่ในกลุ่มเพื่อนของธามิณีไปแล้ว ความเคว้งคว้างที่ภารดีรู้สึกยังไม่อาจเติมเต็มด้วยการเยียวยาทางใจภายในไม่กี่วัน แต่ธามิณีก็ยินดีหากจะทำให้พี่สาวคนใหม่ผ่านช่วงเวลานี้ไปโดยมีเธอคอยเป็นกำลังใจอยู่ข้างๆ
“ขอบใจนะธาม ในเวลาแบบนี้พี่นึกคำพูดอะไรไม่ออกเลย นอกจากอย่างน้อยหลังแม่จากไป พี่ก็ไม่ได้โดดเดี่ยว”
ภารดีเอ่ยขึ้นในคืนที่ 3 ของงานศพ แม้จะมีญาติพี่น้องของแม่ แต่เธอก็ไม่ได้สนิทอะไรมากนักเพราะบ้านเกิดของแม่อยู่ที่ลำพูน พอแม่แต่งงานกับพ่อที่เป็นคนกรุงเทพฯ จึงย้ายมาอยู่กับพ่อ ทำให้ไม่ค่อยได้พบญาติที่ลำพูนเท่าไหร่นัก อีกทั้งพอพ่อเสียไปเมื่อหลายปีก่อน ญาติทางพ่อที่มีไม่กี่คนก็ห่างหายกันไป ทำให้ตอนนี้เธอเหมือนตัวคนเดียวอยู่เหมือนกัน
ธามิณีพยักหน้าพลางส่งน้ำในถ้วยพลาสติกพร้อมหลอดให้ภารดี
“ธามเคยเสียพ่อกับแม่ไป ธามถึงเข้าใจพี่รดี อยากให้พี่รดียิ้มได้สักวัน”
คำพูดง่ายๆ แต่จริงใจจากธามิณีทำให้ภารดีหันมายิ้มทั้งน้ำตา เธอถอนใจบอกให้ตัวเองเข้มแข็งพลางกินน้ำเข้าไปมากๆ แม้เธอจะไม่อยากกินอะไร ไม่อยากดื่มอะไร แต่หากต้องมีชีวิตต่อไป เธอต้องเริ่มจากการกินและดื่มให้ได้ก่อน ธามิณีนั่งเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ภารดีฟัง อย่างน้อยการมีใครสักคนข้างๆ ในเวลาแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ครั้งหนึ่งเธอเคยมีป้ารัดเกล้า แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว ความตายราวกับเกิดขึ้นรอบตัวเธอ
รวิชญ์ไปงานศพแล้วรอรับธามิณีกลับหอพักอย่างเคย วันนี้หญิงสาวนั่งเงียบมาตลอดทางจนกระทั่งรวิชญ์จอดรถ เธอบอกขอบใจเขาแล้วลงจากรถ ในสมองของเธอยังเกิดคำถามว่าความตายทำไมถึงเกิดรอบตัวเธอ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เป็นต้องไปอยู่แล้วหรือว่ามันเป็นเพราะเธอกันนะ เสียงถอนใจสลับกับเสียงเดินเมื่อธามิณีออกมาจากลิฟต์แล้วก้าวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงประตูที่เปิดค้างเพื่อไปยังดาดฟ้า
“ธามไม่ได้เป็นตัวซวยหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้คนรอบตัวบางคนต้องมาตายใช่ไหมคะพระเสาร์”
ความเงียบคือคำตอบ ธามิณีไม่ได้คาดหวังให้ศนิปรากฏตัวตรงหน้า แต่ก็อดใจหายไม่ได้ การที่รู้ตัวว่าชอบใครสักคนแล้วไม่มีสิทธิ์ที่จะบอกช่างเป็นความอึดอัดใจ เธอรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้เขาเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ก็คงไม่รู้สึกใดๆ กับเธออยู่แล้ว ที่เขาทำไปทั้งหมดเพราะผลึกกาลที่อยู่ในตัวเธอเท่านั้น
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอ”
ธามิณีหันไปมองราวกับคำตอบนี้ลอยมากับลม แต่ไม่ใช่ พระเสาร์ยืนอยู่เยื้องห่างจากเธอหลายก้าว คำถามของเธอส่งไปถึงเขาได้งั้นหรือ เขาถึงได้มาหาเธอที่นี่
“ธามไม่เคยเห็นมาก่อนว่าคุณป้าภาวนาจะตายยังไง ถ้าธามรู้...” ธามิณีจำได้ว่าตอนที่ช่วยภาวนาถือของแล้วมือไปสัมผัส เธอไม่เห็นนิมิตอะไรเลย ศนิพูดถูก ถ้าไม่ใช่ญาติ เธอจะไม่เห็นนิมิตเตือนถึงความตาย
“ลืมแล้วหรือไงว่าเธอเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก” ศนิขมวดคิ้วเข้าใจแล้วว่าทำไมธามิณีถึงมานั่งถอนใจโทษตัวเองอยู่ตรงนี้ “อย่าสร้างปัญหาให้ตัวเองจะได้ไหม จงใช้ชีวิตธรรมดาๆ ของเธอไป”
“ถ้าวันหนึ่งธามตาย คุณจะเสียใจไหมคะ” โลกหลังความตายเป็นอย่างไร ธามิณียังไม่มีโอกาสได้รู้ แต่เธออยากขอมีใครสักคนอาลัยสักนิดหากเธอจากโลกใบนี้ไป
“ไม่” เรียวปากหนาเม้มปิดพลางถอนใจ “การตายของมนุษย์เป็นเรื่องที่ฉันพบเจอมาตลอด ไม่มีอะไรพิเศษที่ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจ แม้แต่เธอ”
ธามิณีฟังคำตอบที่เย็นชานั้นแล้วสูดหายใจ เธอไม่ควรคาดหวังจากสีหน้าเรียบเฉยยามที่ตอบคำถามนั้น ที่ผ่านมาเธอกับเขาเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาด เราสองคนจะได้พบกันก็เพราะอีกฝ่ายอยู่ในอันตรายเสมอหรือเขาต้องการมาพบเธอเท่านั้น
“ขอบคุณค่ะที่เตือนสติธาม” ธามิณีมั่นใจว่าเสียงของตัวเองไม่ได้สั่น แม้ว่าหัวใจจะสั่นแรงจนเจ็บอก “ขอโทษค่ะที่ผ่านมาธามคงทำให้คุณลำบากใจมาก”
ศนิมองมนุษย์คนหนึ่งที่เข้ามาปั่นปวนชีวิตที่เคยน่าเบื่อของเขาให้มีสีสัน แต่ในส่วนลึกของสมองที่ราวกับมีกริ่งเตือนบอกเขาว่าความน่าเบื่อของชีวิตอาจจะดีกว่า อีกไม่นานเธอจะสิ้นอายุขัยแล้ว เขาไม่อยากมีปัจจัยอะไรมาทำให้การตัดสินใจผิดพลาดอีก
“ดีแล้วที่เธอเข้าใจ”
เพียงกะพริบตาเท่านั้นร่างของศนิก็หายไปทันที ธามิณีฝืนความรู้สึกเจ็บปวดที่เริ่มจากหัวใจแล้วเดินทางมาที่สมอง ก่อนจะกลายเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างสุดกลั้น สิ่งนี้เรียกว่าความเสียใจอย่างที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต มันคืออาการอกหักใช่ไหม อกหักทั้งที่เขาไม่รู้เลยว่าเธอรู้สึกอย่างไร เธอผิดเองใช่ไหมที่ไม่ห้ามใจตัวเองจนชอบเขาเข้าแล้ว ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้
กลางดึก ณ สนามบินสุวรรณภูมิที่เครื่องบินหลายลำกำลังลงจอด แต่มีเพียงลำเดียวที่ธำรงค์รอคอยซึ่งเดินทางมาจากอเมริกา นานมากแล้วที่เขาไม่ได้พบลูกชาย หลังจากเรียนจบและเจ้าตัวอยากทำงานตามที่ร่ำเรียนมาอยู่เกือบ 10 ปี หลังจากนั้นภาคินัยก็ลาออกจากงาน แล้วออกเดินทางท่องเที่ยวใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำอีก 7 ปี
เมื่อถึงเวลาที่ได้สัญญากับผู้เป็นพ่อไว้ ภาคินัยจึงเดินทางกลับมาเพื่อ ‘เรียนรู้’ หน้าที่ของพ่อเพราะปีหน้าธำรงค์งจะอายุ 65 ปีแล้ว
ภาคินัยเดินออกมาพร้อมกระเป๋าเดินทางหลายใบ หนุ่มใหญ่วัย 40 ปีมองหาผู้เป็นพ่อจนกระทั่งเห็นว่ายืนรอเขาอยู่ด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่าการกลับประเทศไทยครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการกลับบ้าน แต่ยังต้องรับหน้าที่ต่อจากพ่อในสักวันหนึ่ง ที่ผ่านมาเขาได้รับสิ่งที่ต้องการไม่เคยขาด ไม่เคยขัดสน แม้ตอนที่ทำงานเขาจะซื้อสิ่งที่อยากได้ ไปเที่ยวได้ทุกที่ แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งเขาจะกลับมาตอบแทน พ่อเคยบอกเขาว่าท่านต้องการสิ่งตอบแทนเพียงความซื่อสัตย์ที่รวมถึงการไม่แพร่งพรายความลับออกไปเท่านั้น
“พ่อดีใจมากนะที่แกกลับมาเสียที” ธำรงค์กอดลูกชาย ทั้งดีใจและคิดถึง ที่ผ่านมาเขาไปอเมริกาเพื่อหาลูกชายหลายครั้ง แต่การพบกันครั้งนี้เขาเพิ่งรู้สึกว่าลูกชายเติบโตมากและเขาช่างแก่ชรา
ภาคินัยแกล้งกอดพ่อแน่นๆ “ผมน่าจะเที่ยวจนคุ้มแล้ว ต่อไปนี้ผมจะรับหน้าที่ต่อจากพ่อเอง”
ธำรงค์ฟังแล้วพอใจพลางมองหาใครอีกคนที่เขาคิดว่าจะกลับมาพร้อมภาคินัย
“แล้วเมียแกล่ะ ไม่ได้กลับมาด้วยกันเหรอ”
“เราสองคนเลิกกันสักพักแล้ว เดี๋ยวผมทำใจได้จะหาสะใภ้มาให้พ่อแล้วกันนะ” ภาคินัยหัวเราะทั้งที่ในใจยังไม่หายเจ็บ แต่พูดไปก็เท่านั้น ชีวิตต้องเดินต่อ
“ไอ้นี่ พูดเป็นเรื่องเล่นๆ พ่ออยากให้แกมีเมีย แล้วก็มีลูก ก่อนที่พ่อจะตาย”
“พ่อต้องอยู่อีกนาน” ภาคินัยพูดไปแล้วกลับชะงักเอง ตอนปู่ก็แบบนี้ พ่อต้องเดินทางกลับมาเพื่อรับหน้าที่ต่อ “อีกไม่นานแล้วหรือครับ”
“กลับบ้านกันเถอะ”
ภาคินัยยอมเข็นรถใส่กระเป๋าเดินตามธำรงค์ไปอย่างง่ายดาย แม้จะรู้ว่าการไม่ตอบอาจจะหมายถึงคำตอบ แล้วนิสัยของพ่อ ต่อให้เขาถามมากกว่านี้ หากพ่อไม่ตอบ เขาก็แค่ไปถามคนที่รู้คำตอบและอาจจะยอมตอบคำถามนี้ สองพ่อลูกมาที่รถ คนขับรถช่วยขนกระเป๋าเดินทางไปเก็บที่กระโปรงท้าย นานจนเขาแทบจำไม่ได้ถึงการกลับบ้าน ลึกๆ ในใจภาคินัยรู้ดีว่าหน้าที่ของเขาใกล้มาถึงแล้ว
ขอเพียงรักนี้นิรันดร จำหน่ายในรูปแบบ E-Book แล้วนะคะที่เว็บ MEB หมวด นิยายรัก โบว์จะลงนิยายให้อ่านประมาณ 65% ของเรื่องราวทั้งหมด หรือประมาณบทที่ 16 แล้วสิ้นสุดการลงนิยายนะคะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 138
แสดงความคิดเห็น