บทที่ 13...1/3

ขอเพียงรักนี้นิรันดร
คุณกำลังอ่าน: ขอเพียงรักนี้นิรันดร

-A A +A

บทที่ 13...1/3

          แขกที่มาร่วมงานฌาปนกิจของภาวนากำลังทยอยเดินทางกลับหลังจากวางดอกไม้จันทน์เรียบร้อยแล้ว ภารดีกำลังคุยกับเพื่อนร่วมงานที่ผลัดกันมาให้กำลังใจเธอตลอดหลายวันที่ผ่านมา ญาติหลายคนเข้ามาปลอบใจเธอ ก่อนจะขอตัวกลับต่างจังหวัด ตอนนี้จึงเหลือเพียงเธอ ป้าซึ่งเป็นพี่สาวของแม่ สามีของป้าและธามิณีเท่านั้น

          ภารดีนั่งมองควันจางๆ ซึ่งกำลังลอยขึ้นฟ้า ธามิณีหันไปมองอีกฝ่ายแล้วนั่งเงียบๆ บางทีการได้ปลดปล่อยความเศร้าด้วยตัวเองอาจช่วยให้ชีวิตก้าวต่อไปได้ การสูญเสียที่คล้ายๆ กันคงทำให้เธอรู้สึกอยากเป็นเพื่อนกับภารดีกระมัง ภารดีถอนใจยาวราวกับได้ระบายความหม่นหมองที่อัดแน่นอยู่ในใจออกไป เธอหันมามองธามิณีแล้วจับไหล่ของเพื่อนต่างวัยที่อายุน้อยกว่าแล้วบีบเบาๆ     

“ต่อไปพี่รดีจะทำอะไรคะ กลับไปทำงานหรือว่าพักสมองก่อน” ธามิณีชวนคุย

ภารดียิ้มแม้จะยังดูเศร้า “กลับไปงานดีกว่า ถ้าอยู่คนเดียวพี่คงฟุ้งซ่าน บริษัทให้พี่หยุดเพิ่มได้ แต่พี่คงไม่หยุดแล้วหละ”

          “เอาไว้วันหยุดหรือวันไหนพี่รดีว่างๆ เราไปกินข้าวกันนะ”

          ภารดีเป็นลูกสาวคนเดียว พอมีธามิณีคอยชวนคุยและให้กำลังใจ ทำให้เธอรู้สึกว่าถ้ามีน้องสาวแบบนี้ได้คงจะดี

          “ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เสียดาย ถ้าธามเรียนมาทางด้าน IT พี่จะชวนมาทำงานที่บริษัท Saturn ด้วยกัน เจ้านายใจดีสุดๆ สวัสดิการดี โบนัสดี” ภารดีทำได้เพียงแค่ยิ้ม ตอนนี้เธอหัวเราะไม่ออกจริงๆ

          “ธามย้ายสายเรียนก็ไม่ทันแล้วน่ะสิคะ” ธามิณีหัวเราะเบาๆ อย่างน้อยเสียงหัวเราะจากเธออาจจะทำให้ภารดีสดใสขึ้นได้บ้าง

          “ขอบใจนะธามที่ช่วยพี่หลายๆ อย่างในช่วงนี้ พี่เหมือนมีน้องสาวจริงๆ เลยล่ะ”

          ธามิณีไม่รอช้าคว้าแขนของภารดีมากอด “ไม่รู้ล่ะ ธามขอเป็นน้องสาวของพี่รดีแล้วนะ”

          “ได้อยู่แล้ว” ภารดีมองไปที่เมรุอีกครั้งพลางถอนใจ แล้วยิ้ม ถ้าแม่รับรู้ได้คงดีใจที่อย่างน้อยตอนนี้เธอได้น้องสาวมาหนึ่งคน “เอาไว้นัดเจอกันนะ ป้าเรียกพี่แล้ว กลับถึงหอพักก็แชทมาบอกพี่นะ พี่จะได้สบายใจว่าธามปลอดภัยดี”

          ธามิณีพยักหน้าพลางส่งมือให้ภารดีจับเพื่อลุกขึ้น มิตรภาพเกิดขึ้นแล้วถ้ารักษาไว้จะเป็นความผูกพัน ธามิณีไม่มีพี่สาวหรือน้องสาว ลูกพี่ลูกน้องก็ไม่สนิทกัน หากจะมีพี่สาวใจดีสักคนย่อมเป็นเรื่องที่ดี เธอโบกมือให้ภารดีก่อนจะเดินออกมาจากศาลา  ทว่าเมื่อเดินมาจนถึงประตูทางออก ธามิณีกลับรู้สึกเหมือนใครมองมา แต่พอเธอมองไปรอบๆ ตัวกลับไปเห็นใคร ไม่ใช่ศนิแน่ๆ เพราะการถูกมองครั้งนี้ เธอรู้สึกกลัวไม่ใช่อุ่นใจ คราวนี้เธอจะต้องพบเจอกับใครหรืออะไรอีก

 

          ภาคินัยกลับมาอยู่บ้านโดยในระหว่างนี้เขาไปทำงานที่บริษัท Saturn ในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการลงทุนในภาคพื้นเอเชีย เขายังไม่มีโอกาสได้พบท่าน ไม่มีใครรู้ว่าท่านอยู่ที่ใดหรือว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ การทำหน้าที่ดูแลท่านจึงเหมือนใช้ชีวิตไปตามปกติ ทำงาน อ่านหนังสือ ดูหนัง ชีวิตของเขาแทบไม่เปลี่ยนไป แล้วหน้าที่ที่เขาต้องทำต่อจากพ่อคืออะไรกันแน่ พ่อบอกว่าตามแต่ท่านจะสั่ง แต่ที่ผ่านมาน่าจะเป็นเพื่อนคุยด้วยเสียมากกว่า

          แต่แล้วในเย็นวันหนึ่งหลังจากภาคินัยไปทำงานครบสัปดาห์ ท่านก็มานั่งอยู่ในห้องหนังสือกำลังอ่านวรรณกรรมสำหรับเยาวชน โลกภายนอกมันคงน่าเบื่อจนท่านอยากเข้าไปในโลกจินตนาการของเด็กกระมัง เขาเคยพบท่านก่อนไปเรียนต่อที่อเมริกาตอนอายุ 18 ผ่านไป 22 ปี ท่านไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว หากเดินด้วยกันคงเหมือนพ่อลูกด้วยซ้ำ

          “กลับมาแล้วสินะ” ศนิเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้นมามองลูกชายของธำรงค์

          “ครับ ผมอายุมากขึ้น แต่ท่านไม่เปลี่ยนไปเลย” สิ่งนี้ไม่ทำให้สีหน้าของท่านเปลี่ยนไป ภาคินัยไม่แปลกใจนักการคุยกับท่านคงไม่ต่างจากคุยกับคุณปู่คุณตาสักคนสักเท่าไหร่ “พ่อของผมจะ...เอ่อ เมื่อไหร่หรือครับ ท่านรู้ไหม”

          ศนิปิดหนังสือแล้ววางไว้ที่โต๊ะข้างตัว ในอนาคตภาคินัยจะเป็นคนที่เขารับเข้ามาในชีวิตแสนยาวนาน และเขาจะเห็นวาระสุดท้ายของมนุษย์คนนี้ การได้รู้  แม้จะไม่มีสิทธิ์ เขาผู้ไม่ทำตามกฎย่อมเห็นควรให้ภาคินัยได้รู้

“อีก 5 ปี”

          “ขอบคุณครับที่ยอมบอกผม” วูบแรกที่รู้ภาคินัยรู้สึกใจหาย “อย่างน้อยผมก็ยังมีเวลาทำให้พ่อมีความสุข ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ได้กินของอร่อยๆ ได้รักษาความรู้สึกที่ดีไปจนถึงเวลานั้น”

          ช่างเป็นคำพูดกินใจที่ศนิเคยอ่านเจอในหนังสือ แต่เพิ่งมีมนุษย์มาพูดให้เขาได้ยินเป็นครั้งแรก

          “มันสำคัญด้วยหรือ...การรักษาความรู้สึก”

          ภาคินัยเลื่อนเก้าอี้มานั่งทันที เผื่อว่าท่านอยากจะคุยเรื่องชีวิตกับคนอายุ 40 ปีแบบมนุษย์เค้าคุยกัน

          “สำคัญสิครับ ไม่ว่าจะเหลือเวลามากหรือน้อย การบอกให้คนที่เรารักได้รู้ว่ารัก ได้รู้สึกว่าได้รับความรัก ตอนที่เราต้องจากกันไปตลอดกาล ผมจะไม่เสียดายเพราะได้ทำสิ่งที่อยากทำให้พ่อไปจนหมดแล้ว พ่อก็มีความสุขในทุกวันจนถึงวันนั้น”

          ศนิฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉย ภาคินัยมองแล้วรอฟังว่าท่านจะถามอะไรต่อ เขาอยากตอบเผื่อว่าจะสนิทสนมกันขึ้นอีกหน่อย

          “ขอบใจนะ”

          “ท่านขอบใจผมเรื่องอะไรหรือครับ” เขายังไม่ได้ทำอะไรเลย

          ศนิยิ้มบางชอบใจในความตรงไปตรงมาของ ‘พ่อบ้าน’ ในอนาคตของเขา

          “คำตอบนั้น”

          ภาคินัยร้องอ้อในในลำคอ แต่พอจะรอว่าท่านอยากคุยอะไรต่อ ท่านก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อเป็นคำตอบว่าจบการสนทนาเพียงเท่านี้ แม้ท่านจะอยู่มานานมาก แต่เรื่องของชีวิตยังมาปรึกษากับมนุษย์ เหตุผลของการมีพ่อบ้านคงเป็นเพราะแบบนี้กระมัง

          พอประตูปิดลงศนิกลับถอนใจเบาๆ แม้สายตาจะยังไล่อ่านตามตัวอักษรอยู่ แต่ไม่มีประโยคไหนหรือข้อความใดผ่านเข้ามาในสมองของเขาเลย คำพูดของภาคินัยทำให้เขาขบคิด การมีความสุขก่อนตายมันสำคัญจริงๆ หรือ หากว่าเป็นความสุขที่รอวันหมดอายุจะเรียกว่าความสุขได้อย่างไร

 

          ภายในห้องที่สลัวรางเพราะมีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่ลอดผ่านผ้าม่านตรงหน้าต่างเข้ามา ความเงียบในเวลาดึกมากแล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงดิ้นเบาๆ เพราะธามิณีกำลังขยับตัวไปมา มือทั้งสองข้างปัดป่ายสลับไขว้คว้าบางอย่าง ริมฝีปากของหญิงสาวเม้มปิด เปลือกตาทั้งสองข้างยังคงปิดแน่น เสียงหายใจของธามิณีถี่กระชั้นราวกับกำลังต่อสู้กับบางอย่างที่เธอยังไม่สามารถชนะได้

          ศนิยืนมองอยู่ข้างเตียงพลางถอนใจ ก่อนจะนั่งลงใกล้ๆ แล้วมองใบหน้าที่ราวกับอยู่ในห้วงของความทรมาน เธอเห็นนิมิตในอนาคตของตัวเองใช่ไหมนะ การที่อีกไม่นานเธอจะตาย ผลึกกาลได้พยายามเตือนเจ้าของร่างแล้วใช่ไหม เธอจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว มือหนาจับมือบางที่กำลังไขว้คว้าเอาไว้ แล้ววางแนบข้างลำตัวของเธอ แสงสีม่วงจากปลายนิ้วของเขาได้แล่นปราดสู่กลางฝ่ามือของหญิงสาวทำให้อาการกระสับกระส่ายค่อยๆ เลือนหาย หัวใจของเธอกลับมาเต้นด้วยจังหวะปกติ ริมฝีปากที่เม้มปิดคลายออกเป็นยิ้มบางราวกับกำลังฝันถึงสิ่งดีงามที่เธอรอคอย

          “สิ่งที่ฉันช่วยเธอได้...คงมีเพียงแค่เท่านี้”

          การได้พบพ่อแม่แม้จะในความฝันเป็นสิ่งที่ศนิมอบให้ธามิณี อย่างน้อยเธอคงมีความสุขในความฝันที่ครอบครัวได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน เขาหลับตาลงเพื่อจะเห็นว่าในความฝันสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของธามิณีช่างงดงามและสดใสพอๆ กับท้องฟ้า บ้านหลังเดิมที่เธอเคยอยู่ อาหารจากแม่ที่เธอจำรสชาติได้ พ่อที่เดินเข้ามาในบ้านพร้อมดอกกุหลาบที่ตัดมาใส่แจกัน ทำไมความสุขนี้ไม่อยู่กับเธอไปชั่วนิรันดร์

แม้จะเป็นความฝันที่ดีแค่ไหน เมื่อเวลาเช้ามาถึงเธอก็ต้องตื่นมาพบกับความจริงที่การสูญเสียได้เกิดขึ้นไปแล้วอยู่ดี

 

ขอเพียงรักนี้นิรันดร จำหน่ายในรูปแบบ E-Book แล้วนะคะที่เว็บ MEB หมวด นิยายรัก โบว์จะลงนิยายให้อ่านประมาณ 65% ของเรื่องราวทั้งหมด หรือประมาณบทที่ 16 แล้วสิ้นสุดการลงนิยายนะคะ

        ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ

        อัมราน_บรรพตี

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.