บทที่ 7...1/3
ธามิณีมองตัวเองในกระจกพอเห็นว่าเรียบร้อยดีจึงหยิบกระเป๋าเป้มาสะพายแล้วเปิดประตูออกไปจากห้อง กัลยาออกมาจากห้องพอดี ทั้งสองนั่งรถเมล์ไปมหา’ลัยด้วยกัน ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป แม้ว่าบ่อยครั้งที่ธามิณีเหลียวมองหา พระเสาร์หายไปหลายเดือนแล้วนับจากวันนั้น ซึ่งหมายความว่าธามิณีมีชีวิตปกติดีไม่มีคนหรือวิญญาณมาทำอันตราย ช่างเป็นข่าวดีสำหรับเธอ แต่เขาก็หายไปราวกับว่าเราจะมาพบกันได้ก็ต่อเมื่อเธอตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น
วันนี้ธามิณีมีเรียนทั้งเช้าและบ่าย พอเธอออกมาจากห้องเรียนในตอนเย็นกับกัลยาก็ตรงดิ่งไปที่โรงอาหารเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปหาอะไรกินแถวหอพัก รวิชญ์ตามมาสมทบพอดี พอได้โต๊ะสำหรับนั่งแล้วก็แยกย้ายกันไปซื้อของกินตามใจชอบ ก่อนมารวมกันที่โต๊ะตัวเดิม ธามิณีเลือกกินข้าวมันไก่ ในขณะที่กัลยากับรวิชญ์พากันกินก๋วยเตี๋ยว
เสียงโทรศัพท์ของธามิณีดังขึ้นอีกแล้ว แต่เธอกลับกดตัดสายไม่รับ ทำให้กัลยาชักสงสัยเพราะธามิณีทำแบบนี้มาหลายวันแล้ว
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ละธาม เจ้าของเบอร์นี้เป็นใครเหรอ” รวิชญ์ถามขึ้น กัลยาเลยพยักหน้ารอฟังเพราะจะถามเพื่อนอยู่เหมือนกัน
“ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร หลายวันมานี้ไม่รู้ทำไมมีแต่เบอร์แปลกๆ โทรมาหาธามน่ะวิชญ์ ธามเคยรับไปตอนแรก ทางนั้นบอกว่าธามต้องจ่ายเงินมา ธามเลยไม่รับสายแปลกๆ อีก”
“พวกทวงหนี้งั้นเหรอ” กัลยาเดา แต่ธามิณีไม่ได้ไปยืมเงินใคร ทำงานอยู่ทุกวัน หากเพื่อนขัดสนมายืมเงินเธอเสียยังง่ายกว่าไปหาพวกออกเงินกู้
“แต่ธามไม่เคยไปกู้เงินนอกระบบสักครั้ง” ธามิณีถอนใจอย่างเซ็งๆ “ถ้ายังโทรมาก่อกวน ธามอาจจะต้องไปลงบันทึกประจำวันไว้แล้วละมั้ง”
กัลยาพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้เพื่อนเครียดเพราะอีกไม่กี่วันก็สอบมิดเทอมอีกแล้ว
“พรุ่งนี้วันเกิดของธาม ไปเลี้ยงกันที่ไหนดี กัลกับวิชญ์จะเป็นเจ้ามือเอง ธามเลือกได้เลยนะ”
รวิชญ์เห็นดีด้วยเงยหน้ามาตั้งใจรอฟังคำตอบ พรุ่งนี้เขาจะได้ขับรถพาสองสาวไปเลี้ยงวันเกิด ธามิณียิ้มกว้างดีใจที่เพื่อนๆ จำวันเกิดได้ แต่ก็กังวลใจเพราะทุกครั้งในวันเกิดของเธอมักมีเงาสีดำรายล้อม แต่ก็ทำอะไรเธอไม่ได้เพราะมีกำไลที่พระเสาร์ให้เธอไว้ช่วยขับไล่สิ่งนั้นออกไป แม้จะพบเจอสิ่งเหล่านี้มาหลายปี แต่เธอไม่มีวันชินได้หรอก
“ธามทำอาหารให้ทั้งสองคนกินด้วยกันดีกว่า ธามอยากทำแบบนี้ในวันเกิดตัวเองน่ะ”
กัลยาพยักหน้าตามใจเจ้าของวันเกิด ไม่ได้เป็นเจ้ามือเลี้ยงในร้านอาหาร เปลี่ยนมาช่วยกันซื้อของให้ธามิณีได้ทำอาหารก็น่าสนุกดี
“ถ้างั้นไปบ้านวิชญ์ดีกว่า ครัวพร้อม ลูกมืออย่างเราสองคนก็พร้อม”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วตอนเย็นไปซื้อของที่ซุปเปอร์ หลังจากนั้นก็ไปที่บ้านของวิชญ์กัน” ธามิณีเห็นดีด้วยเพราะห้องของเธอมีอุปกรณ์ทำครัวแค่ที่จำเป็นเท่านั้น
รวิชญ์ก้มหน้าแอบยิ้มเพราะเขาพูดถึงธามิณีให้แม่ฟังอยู่หลายครั้ง คราวนี้แม่จะได้เห็นผู้หญิงที่เขาชอบเสียที เขาอยากสนิทกับเธอไปแบบนี้ จนกว่าจะถึงวันที่พร้อมจะพูดออกมา ตอนนี้เขายังไม่กล้าเพราะไม่แน่ใจเลยว่าเธอมีใจให้เขาบ้างหรือเปล่า กัลยามองรวิชญ์อย่างรู้ทัน แต่ไม่พูดอะไร ถ้าเพื่อนสองคนรักชอบกันก็คงจะดี ธามิณีโดดเดี่ยวมานาน หากมีใครสักคนดูแลย่อมเป็นเรื่องดี
เงาสีดำของร่างที่ศนิติดตามหามาหลายเดือนกำลังหลบหนี จากเบาะแสที่ได้จากหนังสือนิทานของเวฬา เขานำหนังสือนิทานไปวางที่เดิมแล้ววางกับดักไว้ ไม่ว่าวิญญาณหรือเทพกึ่งมนุษย์มาเปิดหนังสือเล่มนั้น เศษพลังของเขาจะติดตามใครผู้นั้นไป เขาจะได้ติดตามเพื่อให้รู้แน่ชัดว่ามันผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังการช่วงชิงผลึกกาลเป็นใคร และมันเป็นผู้ที่ลอบทำร้ายเขาในคราวก่อนหรือไม่
ทว่าศัตรูที่หลบซ่อนช่างมีเล่ห์เหลี่ยมทำให้หลบหนีจากศนิมาได้หลายครั้ง จนกระทั่งมาครั้งนี้ที่เขาต้อนไปยังวงแหวนวิญญาณซึ่งจะผนึกวิญญาณที่ยมโลกต้องการตัวได้ แต่มันกลับพรางกายทำให้แม้ศนิใช้ตาทิพย์ก็ยังมองไม่เห็น เขาจึงมั่นใจว่ามันไม่ใช่วิญญาณเพราะหากเป็นแค่วิญญาณคงถูกจับตรึงไว้ในที่แห่งนี้แล้ว
“แกเป็นใครกันแน่ เทพหรือว่าเทพกึ่งมนุษย์”
“เก่งนี่ ตามหาข้าจนเจอ” มีเสียงดังก้องในวงแหวนที่ไม่เห็นอาณาเขตแน่ชัด ทว่าหมอกหนาช่วยทำให้ไม่รู้ว่ามีเส้นทางต่างๆ อยู่ภายใน “แต่แกไม่มีวันรู้หรอกว่าข้าเป็นใคร ยกเว้นเวลาที่แกต้องสลายไปในฐานะเทพกึ่งมนุษย์”
“ถ้าคิดว่าทำได้ก็ออกมา” ศนิท้าทาย แม้พลังของเขาจะไม่เท่ากับที่เคยมี แต่การกำจัดมารร้ายสักตนคงไม่ครณามือสักเท่าไหร่
“เวลานั้นยังไม่มาถึงหรอก”
เกิดลมหมุนรอบตัวของศนิซึ่งฟาดพลังออกไปทันที แต่ก็ถูกพลังฟาดกลับมาเช่นกัน ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีลมวูบนั้นก็หายไป ศนิวาร์ปตามออกไปก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากต้นไม้ล้อมรอบบริเวณสวนสาธารณะซึ่งวงแหวนวิญญาณซ่อนอยู่
ศนิครุ่นคิดก่อนหน้านี้มีเทพองค์ใดที่ถูกลงโทษแล้วยังไม่ได้รับการอภัยบ้างไหม ถ้ามีเขาคิดว่านั่นล่ะเบาะแสที่น่าสนใจ แต่เขาไม่มีเรื่องแค้นเคืองกับเทพองค์ใดนอกจากพระยม ทำไมเทพกึ่งมนุษย์คนนั้นถึงพุ่งเป้ามาที่เขา ช่างเป็นคำถามที่กวนใจน่าหาคำตอบ
กัลยากับรวิชญ์กำลังช่วยธามิณีซื้อของสดตามลิสต์ที่เจ้าของวันเกิดจดมาตามเมนูที่คิดว่าอยากทำให้เพื่อนๆ ได้กินด้วยกัน ธามิณีคิดเมนูอาหารมาเผื่อพ่อแม่ของรวิชญ์ด้วย แม้จะไปขอใช้สถานที่ทำอาหาร แต่เธอก็เกรงใจและอิจฉา หากพ่อกับแม่ไม่จากไปเร็ว เธอคงมีโอกาสได้ทำอาหารให้พวกท่านทาน แต่ตอนนี้ไม่มีโอกาสได้ทำแบบนั้นอีกแล้ว
ธามิณีแวะซื้อผลไม้ ส่วนกัลยากับรวิชญ์แยกไปซื้อเค้ก โดยบอกให้เธอรออยู่แถวๆ นี้ ย้ำว่าเจ้าของวันเกิดเตรียมตัวเข้าห้องครัวก็พอแล้ว ระหว่างที่รอโทรศัพท์ของธามิณีก็ดังอีกแล้ว คราวนี้ไม่ใช่จากเบอร์แปลกๆ แต่คนโทรมาคือเตวิน เกือบ 1 ปีแล้วกระมังหลังจากป้ากับลุงเสียชีวิตเพราะเครื่องบินตก เธอไม่ได้ติดต่อกับเตวินและกาญเกล้าอีกเลย ธามิณีชั่งใจก่อนกดรับสาย ครู่ต่อมาเธอเดินไปหากัลยากับรวิชญ์เพื่อบอกว่าจะไปหาลูกพี่ลูกน้องที่ร้านกาแฟซึ่งอยู่ชั้น 2 ของห้าง
วินาทีแรกที่เห็นเตวิน ธามิณีรู้สึกได้ว่าเขาไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก จากที่เธอรู้ตอนนี้เขาเป็นช่างภาพที่มีชื่อเสียงพอสมควร รายได้คงดีไม่น้อยเพราะเธอเคยอ่านสัมภาษณ์ของเขาซึ่งลงในสื่อออนไลน์เมื่อหลายวันก่อน เธอยิ้มให้เขาพลางยกมือไหว้ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาสั่งน้ำผลไม้เอาไว้ให้เธอพอดี ความที่กำลังกระหายน้ำเธอเลยดื่มไปหลายอึก ก่อนจะเริ่มทักทายตามมารยาท
“พี่เตมีอะไรหรือเปล่าคะ พอดีว่าธามนัดกับเพื่อนไว้ นี่ก็ปลีกตัวมา เดี๋ยวต้องกลับไปแล้ว” ธามิณีเอ่ยเพราะใจจริงไม่รู้ว่าเตวินกับเธอยังมีเรื่องอะไรต้องคุยกันอีก ความเป็นญาติที่ห่างกันย่อมไม่ต่างจากคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่
“ผ่านมาจะเป็นปีแล้ว แต่ธามไม่ได้ติดต่อพี่ ไม่ได้ติดต่อกาญ พี่ก็เลยเป็นห่วงนะ แล้วอยากขอโทษเรื่องที่วัดในตอนนั้นด้วย” เตวินเข้าเรื่องทันทีเพราะเห็นท่าทีระวังตัวของธามิณี
“ธามไม่ได้โกรธอะไรหรอกค่ะ ผ่านแล้วก็ให้ผ่านไปเถอะค่ะ” ธามิณีหมายความตามที่พูดจริงๆ ไม่คิดว่าผ่านมานานป่านนี้แล้วเตวินจะมาขอโทษ ถ้าเรื่องแค่นี้เขาบอกเธอทางโทรศัพท์ก็น่าจะได้นี่นา “พี่เตสบายดีนะคะ”
“สบายดี แล้วธามล่ะ”
“ธามสบายดีค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ธามขอตัวก่อนนะคะ” การที่จู่ๆ เตวินโทรหาเธอทั้งที่ไม่ได้สนใจติดต่อมานานแล้ว อีกทั้งเรื่องที่คุยก็ไม่ได้สำคัญอะไร คงต้องเรียกว่าแปลกจนเธอระแวง อดีตที่ผ่านมาเขาไม่ใช่คนที่ห่วงใยเธอสักหน่อย
“ถ้าอย่างนั้นพี่เดินไปส่งนะธาม”
เตวินลุกขึ้นแล้วเดินตามธามิณีไปทันที ธามิณีจะบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ทันแล้ว เธอเดินไปเรื่อยๆ รู้สึกว่ามึนเหมือนอาการเวลาที่นอนน้อย มันเบลอๆ ตาพร่าและเวียนหัวจนต้องยื่นมือไปจับราวกันตกไว้ เธอพยายามเพ่งมองบันไดเลื่อนจนตาลาย ขาที่จะก้าวขึ้นบันไดก็เหมือนไม่มีแรงเอาเสียอย่างนั้น
“ธามเป็นอะไรน่ะ ให้พี่ช่วยนะ”
ธามิณีได้ยินเสียงของเตวิน เธอพยายามจะเปล่งเสียงออกไป แต่กลับเหมือนสมองถูกปิดสวิตช์ไม่รู้ตัวเสียแล้วว่าได้ตอบเตวินไปว่าอย่างไร
เตวินเข้ามาช่วยประคองธามิณี แต่แทนที่เขาจะพาเธอไปชั้น 4 เขากลับพาเธอเดินออกไปยังชั้นที่จอดรถ เรียวปากหนายิ้มหยันเพราะไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ธามิณีก็ไม่เคยรู้ทันเขาสักที อย่างน้อยแม่ของเขาก็เคยเลี้ยงดูเธอ แม้จะแค่ปีกว่า ตอนนี้ถึงเวลาที่ธามิณีจะต้องตอบแทนบ้างแล้ว เขากำลังเดือดร้อน เธอช่วยเขาได้พอดี อย่างนี้ย่อมถือว่าไม่ติดค้างกัน
ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 204
แสดงความคิดเห็น