รถไฟมุ่งสู่เมืองที่ไม่มีอะไร
ฉันกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหมอกหนาของเมืองเล็กที่แอบซ่อนอยู่ในเขม่าดินปืน
สนามกีฬากว้างใหญ่แต่ไร้ผู้คนของเช้าตรู่มันทำให้สติฉันกลับมา หมอกหนายังคงปกคลุมที่แห่งนี้จนไม่เหมือนสถานที่ที่มีจริงบนโลก
เท้าฉันยังคงก้าวต่อไปในลู่วิ่งเล็กๆ ในสนามกีฬาชุมชน ในหัวคล้ายมีสงครามที่กำลังประทุ แต่มันก็เป็นธรรมชาติของฉันจนชินมันเสียแล้ว…ฉันยังคงเดินต่อไป
ร้านติ่มซำเป็นสถานที่ต่อไปที่ฉันไปสิงสถิต กลิ่นหอมของมันช่วยทำให้จิตใจฉันสงบลงได้ แป้งหนานุ่มสีขาวสัมผัสบนลิ้นมันแทบหลอมสลายรวมตัวกับลิ้นอุ่น
เป็นครั้งแรกที่ฉันออกเดินทางด้วยตัวเองไกลขนาดนี้ ใต้สุดของประเทศ
ทางแยกของชีวิตจุดที่ฉันยืนอยู่มันผลักดันให้ฉันมาจบที่เมืองนี้ เพียงต้องการหนีภาระที่ต้องตัดสินใจ
ฝนเย็นฉ่ำตกลงมาอีกแล้ว ในขณะที่ร่างกายฉันเป็นหนึ่งเดียวกับเตียงในโฮสเทล หยดน้ำมากมายเกาะพราวอยู่ที่หน้าต่าง ฉันจ้องมองมันอยู่นาน รู้ตัวอีกทีฝนก็ได้หยุดลงไปแล้ว
เย็นนั้นฉันมานั่งอยู่ในสวนที่มองเห็นเมืองเล็กๆ นี้ทั้งเมืองจากมุมสูง ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังหายวับไปกับตา ความเหงาก็เข้ามากัดกินฉันในฉับพลัน อนาคตมันกลายเป็นเรื่องยาก เช่นเดียวกับการคาดเดาว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกอีกไหม
รองเท้าผ้าใบเก่าฉันก้มมองมัน รอยดำสกปรก รูขาดวิ่น สิ่งเหล่านี้คงเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการเดินทางที่แสนยาวนาน ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่ามันกำลังพาไปถูกทางหรือไม่ หรือจริงๆ มันอาจจะผิดตั้งแต่เริ่ม
วันสุดท้ายในขณะที่เก็บของเข้ากระเป๋าก่อนจะกลับบ้าน ฉันถอดใจแล้วว่าการหลีกหนีครั้งนี้มันไม่ได้มอบอะไรให้กับฉัน เป็นเพียงการยื้อเวลาในการตัดสินใจ เสียงพรูลมหายใจเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงซิบในยามปิดกระเป๋า
ตอนนี้ฉันกลับมานั่งอยู่ในขบวนรถไฟชั้นสองเหมือนขามา ในขณะที่เมืองในสายหมอกเขม่าดินปืนกำลังเลือนหายไปกับตา มีเพียงลุงคนแปลกหน้าที่นั่งร่วมที่นั่งกับฉัน
ร่องรอยบนใบหน้าแสดงถึงประสบการณ์มากมาย รวมถึงทางแยกของชีวิตที่เขาต้องเคยเผชิญ เส้นสายเหล่านั้นมันเหมือนแผนที่แสดงเส้นทางที่เขาเคยไปเยือน…ฉันลอบมอง
“แล้วนี่ยังเรียนอยู่เหรอ?”
“ครับ”
บทสนทนากับชายแปลกหน้าเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมาย เขาถามในขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสือเล่มเล็กที่เอาติดตัวมาด้วย
“แล้วเรียนอะไร”
“ทำหนังครับ”
เขาเพียงพยักหน้าแล้วกลับเข้าสู่โลกของเขา แต่น่าแปลกที่ฉันรู้สึกถึงกำแพงของคนแปลกหน้ามันกำลังพังทลายลงไป เพียงคำพูดแค่ไม่กี่ประโยค
เสียงระฆังดังพร้อมกับรถไฟที่จอดสนิทตรงสถานีที่ใดที่หนึ่ง ชายแปลกหน้าแววตากร้านโลกเขาเตรียมตัวที่จะลง คงถึงสถานีปลายทางของเขาแล้ว
แต่เหนือความคาดหมาย เขาหยุดชะงักก่อนจะหันมาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จะรอดูหนังเรานะ”
แล้วเขาก็เดินจากไป
รถไฟออกตัวเดินทางต่อไปแล้ว เช่นเดียวกับชายคนนั้นที่เราจะไม่มีวันได้เจอกันอีก แต่คำพูดสุดท้ายของเขามันจะติดตัวฉันไปตลอด
ในวินาทีนั้นฉันก็รู้ได้ในทันทีว่าตรงทางแยกนี้ฉันต้องไปทางใดต่อ ฉันเพียงปล่อยให้เมืองที่แทบไม่มีอะไรน่าสนใจ กับชายวัยกลางคนปริศนา คอยชะล้างความไม่แน่ใจให้เหมือนหยาดฝนที่ริมหน้าต่าง ที่หลังจากนี้ฉันจะได้เจอกับท้องฟ้าที่สดใส มีแสงแดดอุ่น ซึ่งก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะไม่มีฝนตกลงมาอีก…แต่ฉันไม่สนใจมันอีกแล้ว
เพียงปล่อยให้ทิวทัศน์สองข้างทางผ่านไป ในขณะที่ฉันนั่งอยู่บนรถไฟที่กำลังแล่นต่อไปข้างหน้า
แสดงความคิดเห็น