3 in 1
เรื่อง 3 in 1
เขียนโดย Blue Door
แดดยามบ่ายทอแสงเป็นเส้นตรงกระทบกับตึกแถวปรากฏเป็นเงาดำตัดกันเป็นมุมฉากบนพื้นถนน ความเงียบสงัดของซอยที่รถสามารถสวนกันได้แค่ทีละคันต่างจากความพลุกพล่านบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าที่เพิ่งมาเปิดใหม่หน้าปากซอย ทำให้ร้านค้าที่เปิดทำการในซอยแห่งนี้ต่างเปิดกิจการกันแบบเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่เอิกเกริกเกินความจำเป็น ทั้งร้านอาหารตามสั่งที่ป้ายชื่อหน้าร้านเริ่มผุพังตามกาลเวลา ร้านรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บริเวณหน้าร้านถูกโทรทัศน์และเครื่องซักผ้าที่รอรับการซ่อมแซมบังทัศนียภาพจนแทบหาประตูทางเข้าไม่เจอ ตลอดจนโรงรับจำนำเล็ก ๆ ที่ถูกปิดตายด้วยกำแพงสีเข้มซึ่งบอกได้ยากว่าตอนนี้มันยังเปิดทำการอยู่หรือปิดทำการไปแล้ว แต่ก็คงไม่มีที่ใดที่จะดึงดูดสายตาไปได้มากกว่าร้านกาแฟหนึ่งคูหาที่หน้าร้านถูกประดับไปด้วยต้นเฟื่องฟ้าที่เลื้อยเกาะผนังพอดีกับกรอบหน้าต่าง และกลิ่นกาแฟผสมกับขนมอบที่ลอยลอดช่องประตูไม้เก่า ๆ เชิญชวนให้ผู้สัญจรน้ำลายไหลจนอยากจะเข้าไปข้างใน
ภายในร้านกาแฟแห่งนี้ถูกตกแต่งอยู่ในธีมอบอุ่นให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นบ้านคนสนิทที่อยู่ในความทรงจำ ผนังของร้านทำมาจากไม้กระดานสีน้ำตาลซึ่งถูกตกแต่งไปด้วยภาพวาดสีน้ำในกรอบเรียบ เสียงดนตรีคลาสสิกถูกบรรเลงคลอเป็นบรรยากาศของร้าน แต่เนื่องจากร้านนี้ไม่ได้มีพื้นที่ใช้สอยมากมาย ทำให้ทั้งร้านมีเพียง 5 โต๊ะ ซึ่งโต๊ะแต่ละตัวก็ทำมาจากวัสดุที่ต่างกัน เช่น ไม้ที่ไม่ได้ผ่านการลงสี ถังโลหะขนาดใหญ่ หรือ กระจกใสที่มีรอยร้าวตามกาลเวลา แต่น่าแปลกที่ทุกอย่างเมื่ออยู่รวมกันแล้วมันกลับเข้ากันได้อย่างลงตัว ส่วนหนึ่งคงต้องยกความดีความชอบให้กับหมอนอิงภาพพิมพ์ลายธรรมชาติที่เปรียบเสมือนตัวเชื่อมให้ทุกอย่างสามารถอยู่ด้วยกัน และตอนนี้หนึ่งในห้าโต๊ะนั้นก็ถูกลูกค้าท่านหนึ่งจับจองมันไว้เรียบร้อยแล้ว
ชายในเสื้อยืดสีเทากับกางเกงขายาวทรงหลวม ๆ นั่งหลบมุมอยู่โต๊ะในสุดของร้าน บนโต๊ะนอกจากแก้วกาแฟที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นยังมีคอมพิวเตอร์แบบพกพาตั้งอยู่ด้วย ‘มาร์ค’ ชายหนุ่มที่เรียนจบมาได้ 2 ปี เขาตัดสินใจที่จะทำตามความฝันของเขาในการเป็นนักเขียน โดยยังไม่สนใจหางานประจำที่ตรงกับสายการเรียนที่เขาได้เรียนมา มาร์คจึงมักมาที่ร้านนี้เป็นประจำเพื่อจะมานั่งเขียนนิยายตลอดจนเรื่องสั้นหาเลี้ยงชีพไปวัน ๆ ในขณะที่ส่วนลึกในใจเขาได้แต่หวังว่าวันหนึ่งงานที่เขาเขียนจะได้เป็นที่รู้จักและสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับเขาได้
“พอดีผมเพิ่งลองทำกาแฟสูตรใหม่คุณลูกค้าสนใจอยากลองมาชิมไหมครับ? ฟรีไม่คิดเงิน”
เสียงทุ้มต่ำแต่อบอุ่นของคุณเจ้าของร้านดังขึ้นจากหลังเคาน์เตอร์เบี่ยงเบนความสนใจของมาร์คออกจากแป้นพิมพ์ มาร์คเงยหน้าไปทางต้นเสียงพร้อมกับความคิดที่ว่า เขาอาจจะนั่งจดจ่อกับหน้าจอเกินไปแล้ว ถ้าได้พักเสียหน่อยก็คงจะดีอยู่เหมือนกัน เขาจึงลุกขึ้นเดินยิ้มแย้มไปทางเคาน์เตอร์
“โห! หอมจังเลยพี่ นี่สูตรใหม่เหรอ?”
แล้วเจ้าของร้านใจดีก็อธิบายส่วนผสมของกาแฟสูตรใหม่นี้พร้อมกับบอกถึงความพิเศษของมันให้กับมาร์คฟัง มันเหมือนกับว่าเขากำลังเล่านิทานสนุก ๆ สักเรื่องหนึ่ง แม้บางอย่างมาร์คจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่เลยก็ตามแต่เขาก็อยากฟังต่อให้จบ เพราะเขาชอบประกายนั้นในตาของเจ้าของร้านเวลาพูดถึงเรื่องกาแฟ มันเป็นประกายเดียวกับเขาเวลาเขาเขียน เช่นเดียวกับการที่มาร์คมักจะเปิดโอกาสให้เจ้าของร้านแนะนำกาแฟใหม่ ๆ เวลาที่เขามาถึงที่ร้าน หรือ บางวันเขาก็จะตั้งใจตอบคำถามเรื่องความชอบในรสชาติกาแฟ แล้วปล่อยให้เจ้าของร้านรังสรรค์งานศิลปะในแก้วกาแฟของเขาขึ้นมาเอง
“กาแฟที่พี่ทำอร่อยทุกแก้วเลย”
“ขอบคุณครับ”
“ผมว่าสูตรนี้น่าจะมีอีกหลายคนที่ชอบเลยนะครับ ไม่เข้มไป แต่ก็ยังมีลูกเล่นจากส่วนผสม น่าสนใจดีนะครับ”
แต่แล้วในขณะที่เรากำลังพูดคุยกัน เสียงกระดิ่งที่ติดไว้กับประตูหน้าร้านก็ดังขึ้น มาร์คจึงหันไปยิ้มแสดงความยินดีกับเจ้าของร้านที่มีลูกค้าเข้ามาใหม่ เพราะมาร์ครู้ดีว่าในแต่ละวันร้านกาแฟแห่งนี้มีลูกค้ามาใช้บริการไม่มากนัก ก่อนที่มาร์คจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับก้มหน้าก้มตาเขียนงานของเขาต่อไป
จะว่าไปเหตุผลที่มาร์คชอบร้านนี้ในตอนแรกก็เพราะมันเงียบ ไม่ค่อยมีลูกค้าคนอื่น ๆ มารบกวนการเขียนของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไปมาร์คก็คิดได้ว่าถ้าร้านนี้ไม่มีลูกค้าอย่างนี้ต่อไป มันคงต้องปิดตัวลงไปสักวันหนึ่ง และเขาก็จะไม่มีร้านกาแฟดี ๆ ใกล้ที่พักให้มานั่งเขียนอีกแล้ว แต่เหนือสิ่งอื่นใดมาร์ครู้ว่าเจ้าของร้านรักกาแฟมาก เขาอยากให้คนทั่วไปได้กินกาแฟดี ๆ ที่ทำขึ้นมาพิเศษสำหรับแต่ละคน ไม่เป็นกาแฟสูตรสำเร็จเน้นทำยอดขายเหมือนร้านกาแฟดัง ๆ ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป มาร์คจึงได้แต่แอบเอาใจช่วยอยากให้ร้านกาแฟแห่งนี้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกหน่อย ร้านกาแฟดี ๆ แบบนี้จะได้เปิดต่อไปนาน ๆ
เสียงคุณเจ้าของร้านแนะนำกาแฟให้กับลูกค้าที่มาใหม่ลอยเข้าหูมาร์คจนเขาแอบยิ้มเมื่อคิดถึงตอนที่ตัวเองมาที่ร้านนี้ครั้งแรก เขาค่อนข้างประหลาดใจที่ถูกถามคำถามเกี่ยวกับรสชาติกาแฟที่ชอบมากมายขนาดนั้น แต่เมื่อเขาได้รับกาแฟแก้วแรกเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเวลาที่เขาเสียไป มันไม่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์
ไม่นานนักลูกค้าที่มาใหม่ก็เดินมานั่งลงบนโซฟาเบาะหนังโต๊ะตรงข้าม ก่อนที่มาร์คจะรู้สึกได้ว่าเขากำลังถูกจับตามอง
“ขอโทษนะ! มาร์คใช่ไหม?”
มาร์คเงยหน้าขึ้นหลังจากที่ได้ยินเสียงคนเอ่ยชื่อของตน ในตอนแรกเขาไม่แน่ใจว่าลูกค้าที่มาใหม่กำลังพูดกับเขาอยู่หรือไม่ จนกระทั่งเขาเพ่งสายตาให้ดี ๆ สมองส่วนความทรงจำก็ทำงานขึ้นในทันที
“แบงค์ปะ?”
แล้วคนตรงหน้าก็เดินเข้ามาทักทายกับมาร์ค ก่อนที่พวกเขาจะสวมกอดแนบชิดกันเหมือนในอดีต
‘แบงค์’ เป็นคนสนิทกับมาร์คตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย แต่เมื่อพวกเขาเรียนจบก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตและไม่ได้เจอกันตลอด 2 ปีเต็ม หลังพวกเขาคลายอ้อมกอดแห่งความคิดถึง แบงค์ก็ย้ายมานั่งโต๊ะเดียวกับมาร์ค และไม่นานกาแฟร้อนของแบงค์ก็มาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะโดยคุณเจ้าของร้าน แบงค์ดูต่างไปจากครั้งล่าสุดที่มาร์คเจอ ตอนนั้นแบงค์ดูเป็นเด็กนักเรียนการตลาดทั่วไป แต่ตอนนี้เขากลับไม่ใช่เด็กน้อยคนนั้นอีกแล้ว เขาดูภูมิฐานภายใต้สูทแพง ๆ ที่เขาใส่อยู่
พวกเราผลัดกันเล่าเรื่องของกันและกัน แบงค์เล่าว่าหลังเรียนจบเขาก็เข้าทำงานประจำกับบริษัทใหญ่ ๆ เริ่มจากตำแหน่งเล็ก ๆ จนตำแหน่งเริ่มใหญ่ขึ้น และเมื่อเขามีประสบการณ์ในการทำงานเขาก็ไปสมัครในบริษัทที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้เงินเดือนของเขาเกือบจะครึ่งแสนเข้าไปแล้ว
“โห! เสียดายความสามารถของนายว่ะ ถ้านายทำงานประจำเราว่าป่านนี้นายคงไปไกลกว่าเราแล้ว”
“ไม่หรอก! นายเก่งกว่าเราอยู่แล้ว”
“เด็กเกียรตินิยมอย่างนายจะมาเก่งน้อยกว่าเราได้ไง”
แล้วเราทั้งสองก็หัวเราะกันเหมือนเด็กมหาลัยสองคนในวันวาน
“แต่เราก็ภูมิใจในตัวเองนะที่ได้กล้าลองทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริง ๆ แต่มันก็เหนื่อยกว่าที่คิดแหละ”
ในระหว่างที่แบงค์ฟังเพื่อนของเขาพูด เขาก็หยิบแก้วกาแฟร้อนขึ้นจิบอย่างไม่พิถีพิถันอะไรมากมาย แต่รสชาติที่เขาสัมผัสมันทำให้เขาต้องประหลาดใจจนเขาเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ แบงค์ชะงักค้างพลางมองแก้วที่อยู่ในมือ
“กาแฟอะไรวะเนี่ย…อร่อยมาก!”
แล้วเขาก็ยกมันขึ้นซดอีกรอบ มาร์คได้แต่หัวเราะกับการกระทำที่ไม่ต่างจากเขาในครั้งแรกที่ได้ลิ้มรสกาแฟของร้านนี้
“เห็นด้วยเลย! ร้านนี้เราว่าอร่อยมากกว่าร้านดัง ๆ ในห้างอีก วันหลังนายก็มาร้านนี้บ่อย ๆ สิ”
“กาแฟก็อร่อยหรอกแต่เจ้าของร้านพูดมากชิบหายกว่าจะได้กินแต่ละแก้ว”
ถึงปากของเขาจะยังบ่นเจ้าของร้าน แต่เขาก็ยกซดกาแฟในแก้วไม่หยุด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วพวกเรายังคงคุยกันถึง 2 ปีที่แต่ละคนแยกกันไปใช้ชีวิตของตัวเองหลังเรียนจบ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นแบงค์ที่เล่าเรื่องของเขาเอง เล่าว่าเขาอยากจะทำเงินให้ได้มากที่สุด เพราะในสังคมทุนนิยมที่เราอยู่ใครเร็วที่สุดคนนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ จนกระทั่งเขาเหลือบมองนาฬิการาคาแพงของเขา เขาก็ถึงกับตาเหลือกด้วยอาการตกใจ
“งั้นเดี๋ยวเราขอตัวไปก่อนนะใกล้หมดเวลาพักแล้ว คุยเพลินลืมดูเวลาเลย”
“อืม! เจอกัน”
“นายจะมาที่นี่ทุกวันปะ? เราทำงานอยู่ห้างที่เปิดใหม่ข้างหน้านี้ เผื่อจะได้แวะมาคุยด้วย”
“อืม! ก็มาทุกวันแหละ อ่าว! แล้วทำไมวันนี้มาพักซะไกลเลย”
“ก็ร้านกาแฟในห้างคนชอบเต็ม เราเลยเดินสุ่ม ๆ มาเจอร้านนี้”
“อ๋อ!”
“งั้นเดี๋ยวไว้เจอกัน”
หลังจากวันนั้นแบงค์ก็จะมาคุยกับเพื่อนเก่าช่วงพักเที่ยงในร้านกาแฟแห่งนี้บ่อยครั้ง และทุกครั้งเขาก็ยังคงบ่นถึงการสั่งกาแฟที่ยืดยาว แต่เขาก็ไม่เคยผิดหวังกับรสชาติของกาแฟแม้เพียงครั้งเดียว เขามักจะมานั่งอยู่ตรงข้ามกับมาร์คที่โต๊ะตัวในสุด พูดเกี่ยวกับเรื่องงานเขา เล่าว่าเขาต้องดิ้นรนมากแค่ไหนกว่าจะมาอยู่ในจุดนี้ได้ เพื่อนร่วมงานเขาห่วยมากแค่ไหนจนบางครั้งเขาคิดว่าหากเขาทำงานคนเดียวงานอาจจะเสร็จเร็วกว่านี้ หรือบางครั้งเขาก็เล่าให้ฟังว่าเขาเหนื่อยจนเขาอยากจะหนีไปให้ไกล ให้หลุดพ้นเป็นอิสระ แต่นั่นมันก็เป็นจริงได้แค่ในความคิด เพราะทุกวันนี้เราต่างใช้จำนวนเงินในบัญชีเป็นตัวบ่งบอกถึงความเป็นอิสระในแต่ละบุคคล
“นายรู้ไหมถ้าเราได้งานในบริษัทที่พี่แนนทำงาน ชีวิตเราคงจะไปได้ไกลกว่านี้”
มาร์คนึกย้อนถึงพี่แนน รุ่นพี่เกียรตินิยมคนสนิทของเขาทั้งสอง ที่ปัจจุบันเธอได้ทำงานในบริษัทชื่อดังระดับโลก ไม่ว่าใครก็ใฝ่ฝันอยากทำงานในบริษัทนั้นกันทั้งนั้น แต่ปัญหาคือมันไม่ค่อยเปิดรับพนักงานใหม่สักเท่าไร ก็แน่นอนว่าในเมื่อบริษัทมันดีใครกันที่อยากออก
“ทำไมนายอยากไปสมัครงานที่ใหม่ล่ะ ทั้ง ๆ ที่ชีวิตนายในตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว?”
“คนเราหากมีที่ใหม่ที่ดีกว่าเราก็ต้องรีบไขว่คว้าไว้ เวลามันเป็นเงินเป็นทองใครเร็วกว่าคนนั้นก็จะอยู่รอด”
แล้วแบงค์ก็ยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ พร้อมกับแสดงสีหน้าประหลาดใจเช่นเคยเมื่อเขาได้ลิ้มรสชาติกาแฟแต่ละแก้วเป็นครั้งแรก
หลายวันผ่านไปมาร์คยังคงมานั่งเขียนงานที่เขายังไม่ทราบว่ามันจะสร้างรายได้ให้เขาในอนาคตหรือไม่ เขายังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิม พูดคุยกับเจ้าของร้านตอนเช้าในขณะที่สั่งกาแฟ ดีใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงกระดิ่งที่ประตูหน้าร้าน นั่งเขียนไปเรื่อย ๆ จนเหมือนร่างกายได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแป้นพิมพ์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ ยอดเงินในบัญชีที่ลดลงเรื่อย ๆ ต่อให้กาแฟร้านนี้มันจะอร่อยมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีอะไรบอกได้ว่าเขาจะมีเงินมานั่งร้านนี้ไปอีกนานแค่ไหนเช่นกัน
งานเขียนของเขายังคงค้างไว้ที่หน้าเดิมมานานแล้ว เขาได้แต่นั่งมองแป้นพิมพ์ที่ว่างเปล่าไม่ต่างจากไอเดียในหัวของเขา อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกเหงาขึ้นมา ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อที่จะเข้าไปเช็คความเคลื่อนไหวของคนอื่น ๆ ในโลกเสมือนที่ใน 2 ปีมานี้เขาแทบไม่ได้เจอใครในชีวิตจริงเลยสักคน วิดีโอสั้น ๆ ถูกเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าแสดงให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละคน ทุกคนต่างอวดชีวิตในด้านดีจนน่าอิจฉา ทั้งการซื้อรถยนต์คันแรก ซื้อบ้านหลังแรก ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือแม้แต่บางคนก็เริ่มแต่งงานสร้างชีวิตคู่
มาร์คทอดถอนหายใจกับสิ่งที่เห็นเขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นความรู้สึกใดกันแน่ อาจเป็นความรู้สึกอิจฉา หรือไม่ก็อาจเป็นความรู้สึกท้อถอยกับความพยายามที่ไม่เคยสัมฤทธิ์ผลของตัวเอง แต่ไม่ทันที่ความคิดจะทำร้ายเขาไปมากกว่านี้ ข้อความอิเล็กทรอนิกส์แสดงยอดค้างชำระค่าโทรศัพท์ก็แจ้งเตือนขึ้นมาอีก
คืนวันนั้นมาร์คคิดหนักถึงอนาคตของเขาจนนอนไม่หลับในห้องเช่ารูหนู เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าถ้าเขายังฝืนตามความฝันของเขาต่อไปในโลกที่ทุกอย่างล้วนเป็นเงินเป็นทอง เขาจะสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไร มาร์คพยายามข่มตานอนให้พ้นค่ำคืนนี้ไป แต่ก็เหมือนว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะยิ่งทำให้ความคิดของเขากระเจิดกระเจิงมากยิ่งขึ้น เขาจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นเรียกสติเขาให้กลับมา
มาร์คเดินไปตามทางเท้าที่ไม่ต่างไปจากพื้นผิวของดวงจันทร์ที่เขาเคยเห็นในหนังสือเรียนสมัย เด็ก ๆ ในซอยหน้าหอพักของเขา สองข้างทางเต็มไปด้วยกองขยะมากมายที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าจนบางครั้งเขาถึงขั้นต้องกลั้นหายใจ แต่โชคดีที่ตอนนี้ถนนเล็ก ๆ ในซอยแห่งนี้ไม่มีรถวิ่งกันแล้ว เขาจึงเลือกที่จะเดินบนพื้นถนนเพื่อหลบกองขยะ และพื้นทางเท้าที่พร้อมจะทำให้เขาสะดุดอยู่ทุกเมื่อ
สองเท้าของมาร์คยังคงเดินต่อไป ในขณะที่สายตาของเขาพลางทอดขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาหวังเพียงจะเห็นดวงจันทร์หรือไม่ก็เห็นเพียงแสงดาวที่อาจทำให้ใจเขาสงบขึ้น แต่เปล่าเลยภาพที่ปรากฏต่อสายตาเขามีเพียงแสงจากไฟบนยอดตึก ที่ถูกปกคลุมไปด้วยสายไฟฟ้าที่เกี่ยวพันกันระโยงระยางจนดูเหมือนใยแมงมุมที่คอยดักจับผู้โชคร้ายที่วันหนึ่งอาจโดนช็อตเข้าจนได้ เขาได้แต่ทอดถอนใจกับภาพที่เห็นของเมืองหลวงที่บางคนต่างเยินยอว่าเป็นเมืองดุจเทพสร้าง
ไม่นานเท้าสองข้างก็พามาร์คมาถึงหน้าปากซอย แสงไฟสว่างจ้าตรงหน้าดึงดูดความสนใจของเขา ห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ แม้ตอนนี้มันจะปิดบริการแล้วแต่ไฟสีอำพรรณยังคงส่องสว่างมากกว่าไฟสองข้างในซอยที่มาร์คเดินผ่านมาเสียอีก จะว่าไปห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ดูไม่ต่างไปจากสถานที่ในฝันท่ามกลางเมืองแห่งฝันร้ายเหมือนกัน
“หนู! ป้าขอ 20 ได้ไหม?”
มาร์คตกใจกับเสียงแหบแห้งที่ได้ยินอยู่ข้างหลัง ก่อนที่เขาจะหันกลับไปเห็นหญิงชราท่าทางซอมซ่อแบมือขอเงินอยู่ แต่ด้วยความคิดที่ฝังหัวมาตั้งแต่เด็กว่าถ้าหากเจอคนประเภทนี้เขาต้องรีบเดินหนีไปให้เร็วที่สุด เท้าสองข้างของเขาจึงก้าวพาเขาเดินออกไปจากหญิงชราคนนั้น แม้ทางเท้าตรงหน้าปากซอยนี้จะดีและเดินสะดวกขึ้นมาหน่อย แต่มันก็ดีขึ้นเฉพาะบริเวณใกล้ ๆ หน้าห้างสรรพสินค้าเพียงเท่านั้น มิหนำซ้ำมาร์คยังเห็นคนไร้บ้านทั้งหญิงและชายนอนกันเกลื่อนกลาดแม้ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้างหรูก็ตาม
‘ปี๊บ ปี๊บ’
มาร์คหันไปมองตามต้นเสียง เขาเห็นรถเมล์คันใหญ่ค่อย ๆ ชะลอความเร็ว สาดไฟหน้ารถอยู่ข้างหลัง เขาจึงโบกเรียกรถเมล์คันนั้นก่อนที่จะขึ้นไป ในตอนแรกเขาคิดเพียงว่าได้นั่งรถเล่นสักหน่อยก็คงจะดี คนคงจะไม่เยอะมาก แต่สิ่งที่เขาคิดมันมันผิดกับความเป็นจริง ผู้โดยสารมากหน้าหลายตาที่แววหน้าของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกว่าเขาเพิ่งเลิกงาน และนี่ก็เป็นเวลากลับบ้านของพวกเขา มาร์คค่อย ๆ พยุงตัวเองเดินไปนั่งเบาะหลังสุด ในขณะที่รถประจำทางเก่าขึ้นสนิมนี้สั่นทุกขณะที่เครื่องยนต์ออกตัว มาร์คค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งบนเบาะที่นั่งขาด ๆ ไม่นานเขาก็เห็นรถไฟฟ้าขบวนหรูจากทางหน้าต่างเคลื่อนตัวผ่านความมืดไปบนฟ้าด้วยความเงียบเหงาที่ไม่มีใครขึ้นเพราะราคาที่สูงเกินเอื้อมถึง
อีกไม่กี่นาทีคงกำลังจะเช้าแล้ว และตอนนี้มาร์คก็เพิ่งถึงซอยที่ตั้งของหอพักหลังจากที่เขานั่งรถเล่นตลอดทั้งคืน มันยังคงอึมครึมและสิ้นหวังเหมือนเคย มาร์คค่อย ๆ ก้าวเท้าต่อไปบนทางเท้าผิวดวงจันทร์ด้วยความอ่อนเพลีย ในมือของเขาถือถุงจากร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมงที่ข้างในบรรจุอาหารแช่แข็งสำหรับมื้อเช้า ด้วยความไม่ตั้งใจเขาเดินเข้ามาในซอยร้านกาแฟที่มักจะมานั่งเป็นประจำ หน้าร้านกาแฟแห่งนี้ดูคุ้นตาแต่มีบางสิ่งบอกเขาว่ามันมีอะไรบางอย่างกำลังเปลี่ยนไป
‘ร้านมันโทรมขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?’
มาร์คตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็น เพราะก่อนหน้านี้เขาแทบไม่ทันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นเลย อยู่ ๆ มันก็มีก้อนคำพูดหนึ่งวิ่งเข้ามาในหัวของเขา ก่อนที่เขาจะพูดมันออกมาเพียงเสียงกระซิบ โดยที่เขาเองก็ไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่เขาได้พูดออกมาเหมือนกัน
“เมืองนี้จะอยู่สบายได้ เราต้องมีเงินสินะ!”
วันนี้มาร์คมาที่ร้านกาแฟแห่งนี้สายกว่าปกติ เพราะเมื่อคืนกว่าเขาจะได้นอนมันก็ตอนดวงอาทิตย์ขึ้นพอดี เขายืนรออย่างใจจดใจจ่อที่จะได้ชิมกาแฟรสชาติใหม่ ๆ ที่เจ้าของร้านใจดีจะทำให้ตามคำตอบของเขาในแต่ละวัน ไม่นานกาแฟร้อนควันโขมงก็ถูกเสิร์ฟมาในแก้วสีขาว มาร์คมองมันก่อนจะลิ้มรสมันอย่างละเมียดละไม แต่น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับรสชาติเหมือนทุกวัน ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่อร่อย แต่รสชาติมันเข้มจนขม จนมาร์คไม่แน่ใจว่าจะนิยามรสชาติของวันนี้ว่าอะไรดี เขาจึงยืนนิ่งเงียบไปสักพัก
“คุณลูกค้าครับ ขอบคุณที่มาเป็นลูกค้าประจำของร้านเรานะครับ แต่อาทิตย์นี้เราจะเปิดให้บริการเป็นอาทิตย์สุดท้ายแล้วนะครับ”
มาร์คตกใจที่ได้ยิน แต่เขาก็ไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย
“ทำไมล่ะครับ?”
เจ้าของร้านหัวเราะร่าอย่างกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไร
“ก็มันไม่ค่อยมีลูกค้านี่ครับ เดี๋ยวนี้ใคร ๆ เขาก็ไปร้านกาแฟเจ้าใหญ่ ๆ กันแล้ว”
“แต่กาแฟร้านพี่อร่อยกว่าร้านพวกนั้นเยอะเลยนะครับ”
“สมัยนี้ใครเขาสนใจกันล่ะครับ ราคาก็เท่ากัน แถมร้านใหญ่ก็ยังไม่ต้องรอนานเหมือนกาแฟร้านผมด้วย”
มาร์คหยุดหายใจไปชั่วขณะ ไม่ใช่เพราะว่าเขารู้สึกเศร้าที่ร้านนี้กำลังจะปิด แต่มันเป็นความรู้สึกที่มาร์คไม่สามารถอธิบายถึงมันได้ มันเหมือนว่ามันกำลังมีอะไรบางอย่างในตัวเขาที่เปลี่ยนไป
มาร์คนั่งอยู่ตรงโต๊ะมุมเดิมของร้าน เขาหยิบคอมพิวเตอร์พกพาแล้วเปิดไฟล์นิยายที่เขากำลังเขียนค้างไว้เหมือนทุกวัน เขาจ้องไปที่ชื่อนิยายเล่มนั้น เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาใช้เวลาไปกับนิยายเล่มนี้ไปกี่วันแล้ว และเขาก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าการพยายามครั้งนี้ของเขาจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ แล้วอยู่ ๆ ภาพเลขยอดคงเหลือในบัญชีก็ลอยทับซ้อนลงบนชื่อเรื่อง
‘ติ้ง!’
เสียงแจ้งเตือนอีเมลใหม่ดึงให้มาร์คออกจากความคิดของตัวเอง ก่อนที่เขาจะเข้าไปอ่านมัน และพบว่ามันเป็นจดหมายจากพี่แนนรุ่นพี่คนสนิทของเขา ภายในเนื้อหาจดหมายเป็นการชวนให้มาร์คลองส่งประวัติส่วนตัว และผลงานมาสมัครงานกับบริษัทพี่เขา เพราะตอนนี้พี่เขาตอนนี้ต้องการคนเข้าทีมอยู่พอดี มาร์คจ้องมองจดหมายนั้นอยู่นาน นานจนเขาเริ่มแน่ใจในการตัดสินใจของตัวเอง
เสียงกระดิ่งหน้าประตูของร้านกาแฟดังขึ้นในบ่ายวันนั้น ก่อนที่มาร์คจะเห็นว่าคนที่มาใหม่คือแบงค์เพื่อนของเขาที่ยิ้มหน้าระรื่นเดินเข้ามาแต่ไกล เขายกมือขึ้นทักทายมาร์ค พร้อมกับเดินไปสั่งกาแฟอย่างอารมณ์ดี มาร์คคิดว่าเขาพอจะเดาได้ว่าเหตุใดแบงค์จึงมาหาเขาในวันนี้
“มาร์ค! เรามีอะไรจะเล่าให้ฟัง”
แบงค์ยังคงยิ้มในขณะที่เขากำลังหย่อนตัวลงนั่ง
“วันนี้เราได้เมลจากพี่แนนชวนให้ไปสมัครงานที่บริษัทพี่เขาด้วย”
มาร์คนั่งเงียบฟังคนตรงหน้ากึ่งพูดกึ่งหัวเราะเล่าเรื่องโอกาสที่เขารอมานานและในวันนี้มันก็ได้เกิดขึ้นกับเขาแล้ว แต่ด้วยความเงียบที่ผิดปกติ มาร์คเดาว่าแบงค์เขาคงจะรู้สึกได้ก่อนที่เขาจะหยุดพูดเรื่องของตัวเองและกลายเป็นผู้ถามคำถาม
“วันนี้นายเป็นอะไรเปล่า นั่งเงียบเชียว?”
“…ที่จริงเราก็ได้เมลจากพี่แนนเหมือนกัน”
แบงค์ค่อย ๆ หุบยิ้มหลังจากที่เขาได้ฟังคำตอบ สีหน้านิ่งเฉยนั้นมันทำให้มาร์คไม่สามารถเดาสิ่งที่อยู่ในใจของคนเคยสนิทได้เลย แต่อยู่ ๆ แบงค์ยิ้มออกมาอีกครั้ง เหมือนนั่นเป็นความหวังสุดท้ายของเขา
“แต่นายก็คงไม่ตอบตกลงไปหรอกมั้ง…นายไม่ได้อยากทำงานแบบนี้แล้วสักหน่อย”
“เราตอบตกลงไป”
แล้วความเงียบก็เกิดขึ้นกับเราทั้งสองคน เงียบจนเสียงเครื่องปรับอากาศกลายเป็นเสียงดังจนน่ารำคาญ เสียงเพลงบรรเลงตอนนี้มันไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศมันดีขึ้นอีกต่อไป จนกระทั่งคุณเจ้าของร้านได้นำเอากาแฟร้อนของแบงค์มาเสิร์ฟให้ถึงบนโต๊ะ แบงค์ค่อย ๆ ยกแก้วกาแฟนั้นแล้วลิ้มรสมันเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจ แต่เขากลับขมวดคิ้วแน่น
“วันนี้ขมจัง ไม่อร่อยเลย!”
แล้วเขาก็นั่งเงียบต่อไป จนกระทั่งเขาคงหมดความอดทนกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เขาจึงพูดกึ่งกระซิบสบถออกมาแผ่วเบา
“เสียเวลาฉิบหาย!”
แบงค์ลุกขึ้นพรวด ก่อนที่มาร์คจะลุกขึ้นตาม ทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่มีใครพูดสิ่งใดต่อกัน จนกระทั่งความอึดอัดภายในใจของมาร์คมันเอ่อล้นจนกลายเป็นคำพูดคำหนึ่ง
“ขอโทษนะ!”
แบงค์สูดลมหายใจแล้วยื่นมือรอเช็คแฮนด์อยู่ข้างหน้า พร้อมกับรอยยิ้มทางธุรกิจที่มาร์คเพิ่งได้มาเห็นมันกับตาก็ตอนนี้ มาร์คค่อย ๆ ยื่นมือไปจับ พร้อมทั้งมาร์คเองก็ได้ยิ้มแบบรอยยิ้มเดียวกับแบงค์ กลับไปเช่นกัน …รอยยิ้มแบบธุรกิจ ครั้งแรกที่เขายิ้ม
วันเวลาหมุนไปไวเหมือนโกหก ไม่มีความฝันใด ๆ สำหรับมาร์คอีกแล้ว เขากลายเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มรูปแบบ ได้ทำงานเป็นนักวางแผนการตลาดในบริษัทชั้นนำสมกับเกรดที่เขาจบมา ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาต้องรีบตื่น รีบขึ้นรถประจำทาง รีบกิน และรีบนอน เขาต้องใช้เวลาทุกนาทีอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์ทางตัวเลขในบัญชีให้ได้มากที่สุด
เช้าวันหนึ่งในขณะที่เขากำลังเดินออกจากซอยที่ตั้งหอพักของเขาเพื่อจะขึ้นรถโดยสารไปทำงาน ด้วยความอ่อนเพลียและความอ่อนล้า ทำให้เขาเผลอหลงเข้ามาในซอยย่อยใดก็ไม่รู้ ตอนแรกเขารู้สึกหัวเสียกับตัวเองที่เขากำลังทำให้ตัวเองเสียเวลา แต่เมื่อเขาลองสังเกตรอบตัวให้ดี ๆ เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับบรรยากาศรอบข้างอย่างประหลาด ร้านอาหารตามสั่งป้ายชื่อร้านสีเริ่มถลอก ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่วางของระเกะระกะ หรือแม้แต่โรงรับจำนำกำแพงทึบ นี่เขาไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้นานเท่าไรแล้ว ความทรงจำครั้งเก่าเริ่มพัดมากระทบกับตัวเขาอีกครั้ง
ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม ยกเว้นแต่เพียงร้านกาแฟแห่งความฝันของเด็กจบใหม่ที่ตอนนี้มันไม่อยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่พอจะใช้เป็นหลักฐานของการมีอยู่ของมันได้อีก ไม่มีประตูไม้เก่า ๆ ไม่มีป้ายชื่อร้าน ไม่มีกลิ่นขนมอบใด ๆ สิ่งเดียวที่พอจะเป็นหลักฐานของการมีอยู่ของร้านนี้ได้คือ อาการติดกาแฟของเขา ที่เขาต้องดื่มมันทุกเช้า มาร์คค่อย ๆ ลดสายตามองกาแฟกระป๋องสำเร็จรูปแบบ 3 in 1 ที่อยู่ในมือ พร้อมกับรอยยิ้มที่เขาไม่รู้ว่ามันมาจากความรู้สึกใด รู้เพียงว่ามันกำลังจุกอยู่ในอกของเขา
- 👁️ ยอดวิว 697
แสดงความคิดเห็น