บทที่ 6...3/3
ธามิณีเขย่งปลายเท้าแล้วยื่นมือทั้งสองข้างคว้าหมับที่แก้มของพระเสาร์ ถือว่าล็อคใบหน้าเอาไว้ก่อน แล้วยื่นหน้าไปใกล้ก่อนจะประกบแบบปากชนปาก ศนิกำลังจะใช้พลังผลักธามิณีออก แต่ยั้งตัวเองไว้เพราะหากทำแบบนั้น ธามิณีอาจได้ตายเพราะน้ำมือของเขาเอง ริมฝีปากของเธอแนบมาแล้วนิ่ง เขารับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจของเธอที่เต้นแรงพร้อมๆ กับเห็นภาพซ้อนราวกับมิติในหนังสือกับห้องสมุดกำลังเหลื่อมกัน
หรือว่าวิธีนี้จะทำให้เราสองคนออกไปจากหนังสือได้?
ธามิณีหรี่ตามองไปรอบตัว แต่ไม่เห็นอะไรเปลี่ยนไปเลยจึงขยับใบหน้าออกมาพลางมองพระเสาร์เพื่อเตรียมตัวรับคำด่าที่คงแย่กว่าถูกฟาดพลังใส่ แต่เขากลับมามองที่เธอแล้วขมวดคิ้ว เขาจะเอายังไง เธอจะได้ทำตัวถูก
“วิธีของเธออาจจะได้ผล”
ศนิก้มหน้าแล้วยกมือมาประคองท้ายทอยของธามิณีไว้ ก่อนจะแนบริมฝีปากลงไป หญิงสาวมัวแต่ตะลึงอึ้งไม่คิดว่าจะถูกเทพกึ่งมนุษย์จูบ ริมฝีปากของเขานุ่มและหอมประหลาด หญิงสาวฝืนไม่หลับตาเพื่อมองว่าเขากำลังจะทำอะไร เผื่อทำมากกว่าปากแนบปาก ต่อให้เทพกึ่งมนุษย์เธอจะทุบให้ เรียวปากของศนิเพียงแค่แนบริมฝีปากของธามิณีไม่ได้ขยับหรือล่วงเกินไปมากกว่านั้น สายตาของเขาคล้ายมองใบหน้าเธอ แต่แท้จริงแล้วเขากำลังมองมิติรอบตัวที่กำลังเหลื่อมกันราวกับกำลังสลัดอีกมิติออกไป เพื่อเหลือเพียงมิติเดียว
สำเร็จแล้ว!
ศนิเห็นตัวเขาและธามิณีกำลังยืนอยู่ในห้องสมุดที่มีเพียงไฟสลัวรางไม่ใช่สว่างไสวด้วยรวงไฟในงานแต่งงานตามเรื่องราวของนิทาน ศนิขยับใบหน้าห่างออกมา เรียวปากของเขาบิดขึ้นคล้ายยิ้มเพราะธามิณีมองเขาเขม็ง มือทั้งสองข้างบีบบ่าของเขาเอาไว้แน่น ท่าทีที่เหมือนรับมือได้กับทุกอย่างหายสิ้น ในตอนนี้เธอกำลังประหม่า แต่ว่าพยายามเก็บอาการ
“ไหนว่าคุณจะไม่จูบธามไง” ธามิณีพยายามไม่ก้มหน้า พอถูกจูบจริงๆ ใครบ้างจะไม่เขิน
ศนิเลิกคิ้วรู้สึกเอ็นดูในความพยายามเก็บสีหน้าของธามิณี แต่ความสลัวตรงนี้ไม่อาจปิดบังแก้มที่แดงก่ำของเธอได้เลย
“พอไม่จูบก็โกรธ พอจูบก็โกรธ มนุษย์อย่างเธอช่างเข้าใจยากเสียจริง”
“ธามไม่ได้โกรธ แต่ธามเขินต่างหากค่ะ คุณนี่เป็นเทพกึ่งมนุษย์ประสาอะไร แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ” ธามิณีกลั้นยิ้มไม่ไหวก็ยอมรับจะได้จบ
“ยิ้มทำไมคะ”
“ข้อดีของเธอคือการพูดตรงๆ” ศนิเอ่ยสีหน้าเรียบๆ เขาผ่านรอยยิ้มของมนุษย์มามากมาย เพราะฉะนั้นรอยยิ้มของธามิณีไม่มีผลต่อความรู้สึกใดๆ ของเขา “กลับบ้านได้แล้ว”
“พาธามวาร์ปกลับบ้านไม่ได้หรือคะพระเสาร์ ตอนนี้ห้องสมุดปิดแล้ว ถ้าธามเดินออกไป รปภ. คงสงสัยว่าทำไมธามออกมาจากห้องสมุดตอนเที่ยงคืนได้ยังไง”
ตอนนี้ก็พอจะโล่งใจได้เพราะธามิณีดูนาฬิกาและปฏิทินในห้องสมุดแล้ว กระดาษวันที่ของวันพรุ่งนี้ยังไม่ได้ถูกฉีกออกไป แสดงว่าเธอหายไปในหนังสือประมาณ 4 ชั่วโมง
ศนิชี้ออกไปในความว่างเปล่า พลันทางเดินที่เป็นแสงสว่างก็บังเกิดขึ้น เขาสั่งด้วยสายตาให้ธามิณีก้าวไป โดยมีเขาเดินตามมา เมื่อทั้งสองก้าวเข้าไป แสงสว่างก็หายวับ พอธามิณีก้าวต่อไปจึงเห็นว่ากำลังเดินอยู่ในห้องของตัวเอง ช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เธอไม่แปลกใจอีกแล้ว หากพระเสาร์เป็นคนทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้น
“ขอบคุณค่ะพระเสาร์ที่มาช่วยธามไว้” ธามิณียกมือไหว้ “การมีคุณทำให้โลกของธามกว้างขึ้นอีกหน่อย แล้วก็อบอุ่นขึ้นอีกนิด แต่ปลอดภัยมากๆ”
ศนิถอนใจในความเป็นมนุษย์ของธามิณี เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเธอเพิ่งเสียเลือดไปมากมาย ตอนนี้กลับมายิ้มกว้างเพียงแค่เพราะได้กลับห้องแล้ว
“อย่าใจดีกับใครหากเธอไม่รู้จักคนคนนั้นอย่างถ่องแท้”
“รวมถึงคุณด้วยหรือคะ” ธามิณีแค่ลองถามดู นี่เธอกำลังจะถูกดุอีกแล้วใช่ไหม
“ใช่ โดยเฉพาะฉัน”
ธามิณีฟังแล้วไม่เชื่อสักนิด หากพระเสาร์อันตรายต่อเธอ เขาจะมาช่วยเธอในทุกครั้งที่มีอันตรายไปเพื่ออะไร คราวนี้เขาแค่พูดให้เธอกลัวแล้วจะได้ไม่เรียกให้เขาต้องมาช่วยบ่อยๆ ใช่ไหม
ศนิหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋า แล้วส่งให้ธามิณีรับไป รอยยิ้มของหญิงสาวบอกแทนคำตอบว่าคำเตือนของเขาไม่ทำให้เธอกลัวเลยสักนิด
“นามบัตรของใครหรือคะ”
“คนที่สามารถช่วยเธอได้ ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรอีก เธอก็โทรหาคนในนามบัตรนี้”
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ศนิคิดว่าควรต้องป้องกันเอาไว้ก่อน หากจะรอให้ธามิณีเกือบตายหรือกรีดแทงตัวเองทุกครั้ง เขาถึงจะถูกผลึกกาลดึงมาช่วยเธอได้ บางทีเธออาจจะตายก่อนถึงเวลาของอายุขัย หากการหลั่งเลือดในครั้งนั้นมีบางอย่างไม่ครบถ้วนทำให้ผลึกกาลดึงตัวเขามาไม่ได้
“ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วงธาม...อ้าว”
ธามิณียิ้มค้างเพราะพอเงยหน้าขึ้นมา พระเสาร์ก็หายไปแล้ว ไม่ลากันสักคำ อีกทั้งเธอไม่ได้ถามเขาเรื่องผลึกที่อีตาเวฬาพูดถึงเลย หากว่าผลึกนั่นเป็นของพระเสาร์ แล้วมันมาอยู่ที่เธอได้อย่างไร อยู่ตรงไหนทำไมเธอถึงไม่รู้ตัวมาก่อน เทพกึ่งมนุษย์ไม่อยู่ให้ถามเสียแล้ว เธอจะหาคำตอบจากใครได้ล่ะ
หญิงสาวมองนามบัตรแล้วยิ้มคลายความน้อยใจจากเทพกึ่งมนุษย์ที่จากไปโดยไม่ลา อย่างน้อยต่อไปนี้เธอก็พอจะมีทางติดต่อกับเขา แม้จะผ่านคนในนามบัตรก็ตาม มันคือความอุ่นใจว่าเธอไม่ต้องกลัวหากมีอันตรายอีกแล้ว
หนังสือนิทานเล่มนั้นวางอยู่ที่โต๊ะตรงหน้าของศนิ เขาย้อนกลับไปที่ห้องสมุดเพื่อนำมันกลับมาเพราะแน่ใจว่ายังมีเบื้องหลัง เวฬาเป็นดวงจิตที่มีพลังกิเลสแกร่งกล้าทำให้หนังสือกลายเป็นเมืองนิมิตได้ก็จริง แต่เวฬาไม่ได้ทำเมืองนิมิตนี้ออกมาเพียงผู้เดียว หนังสือเล่มนี้ที่เขาสัมผัสได้มันมีพลังจากเทพด้วยซึ่งใช้เป็นเบาะแสได้ว่ามาจากใคร ถ้าอย่างนั้นใครอีกคนคือผู้ใด เทพกึ่งมนุษย์อย่างเขาเช่นนั้นหรือ
ที่ผ่านมามีเทพองค์ใดที่ถูกลงโทษให้ลงมาเป็นมนุษย์เหมือนเขากันนะ แล้วที่สำคัญมีบางอย่างที่ศนิมองข้ามไม่ได้ แม้จะไม่มีเลือด แต่รอยแดงจากพลังที่เวฬาฟาดใส่เขาก็ทำให้เกิดความเจ็บ ทั้งที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
“ทำไมถึงเจ็บได้ทั้งที่ไม่ใช่คืนเดือนดับ”
อีก 1 ปี การดับขันธ์ของเขาคงยังไม่เกิดขึ้น เด็กนั่นไม่รู้ตัวเลยว่ามีเวลาอีกไม่มาก การที่ศนิขอให้ธามิณีระวังเขาไว้ย่อมไม่ใช่การล้อเล่น การตายของเธอจะทำให้เขาได้ผลึกกาลกลับคืนมา แม้ว่ามันจะเป็นของเขามาโดยตลอด เขารู้ว่าการรอคอยนี้ไม่ยาวนาน ทว่าในทันทีที่ผลึกกาลได้มาช่วยชีวิตของธามิณีไว้ ทำให้เขาเกิดคำถามว่าเหตุใดเหตุการณ์แบบนี้ต้องเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่ามันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วกันแน่ ต่อให้เขาถูกผลึกกาลดึงไปช่วยธามิณีอีกร้อยๆ ครั้ง สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนนั่นคืออายุขัยจริงของเธอเหลืออีกไม่นานแล้ว
ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ
อัมราน_บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 193
แสดงความคิดเห็น