บทที่ 8...2/3
ไม่ใช่แค่เบญญาที่ถามอย่างไม่คาดฝัน แต่ยังมีพริมาด้วยอีกคน เธอเขม้นมองหญิงสาวในอ้อมกอดของเขาพยายามนึกว่าเคยพบกันที่ไหนมาก่อน
กล้องทุกตัวในงานหันมายังเขมินท์ที่ประคองกอดมีนาไว้อย่างปกป้อง ภาพที่ใบหน้าของหญิงสาวกำลังซบกับอกของ ‘แฟน’ ทำให้ยิ่งย้ำชัดคำพูดของเขา หัวใจของมีนาเต้นแรงแม้จะรู้ดีว่าที่เขมินท์ทำแบบนี้ก็เพราะจะช่วยเธอให้หลุดพ้นจากการนินทาว่าร้ายในเรื่องที่ไม่มีความจริงอยู่เลย แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เธออุ่นวาบที่แก้ม จนการที่เขากดบ่าเพื่อให้อยู่นิ่งๆ กลายเป็นเรื่องชวนฝันที่เกิดขึ้นภายในใจของเธออยู่คนเดียว
วนัทห่อปากร้องว้าวไม่เสียทีที่หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายคลิปไว้ตั้งแต่แรก เขาแค่คิดว่าถ้าเกิดเรื่องราวบานปลาย มีนาจะได้มีหลักฐานว่านางแบบคนนั้นหมิ่นประมาทและอาจถึงทำร้ายร่างกาย
เบญญาถูก รปภ. จับแขนไว้ทั้งสองข้าง ผู้จัดการรีบเข้ามาล็อคเอวไว้ หากเบญญาไปทำร้ายใครสักในงานนี้เข้าคงหมดอนาคตในวงการนางแบบแน่นอน แค่ที่มาเมาอาละวาดก็ไม่รู้ว่าจะไปแก้ข่าวให้อย่างไรแล้ว
“มีนเป็นแฟนของผม การที่ผมไม่พูดไปก่อนหน้านี้ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมาใส่ร้ายแฟนของผมได้นะ คุณเองเป็นฝ่ายที่นอกใจ น้องชายของผมเลิกกับคุณก็เป็นเรื่องปกติ แทนที่คุณจะไปพิจารณาตัวเองกลับโทษทุกคน ยกเว้นโทษตัวคุณเอง ผมจะไม่ทนอีกแล้ว ถ้าคุณว่าร้ายคนในครอบครัวของผมอีก ผมจะดำเนินการทางกฎหมาย”
เขมินท์ไม่อยากจะทำแบบนี้ การที่เบญญากับภาคินเลิกกันเป็นเรื่องของคนสองคน แต่การที่เธอบุกมาจะทำร้ายมีนาอย่างคราวก่อน เป็นสิ่งที่เขายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ฉะนั้นการพูดให้ชัดและเคลียร์จึงเป็นสิ่งที่เบญญาสมควรได้รับ หากที่ผ่านมามีนาคอยปกป้องน้องชายของเขามาตลอด ตอนนี้คงไม่แปลกอะไรหากเขาจะปกป้องเธอบ้าง
นักข่าวที่มางานนี้พากันยกกล้องมาถ่ายรูปของเขมินท์ไว้ การที่เขมินท์เป็นโสดมานานจนกระทั่งวินาทีที่เขาบอกว่ามีนาเป็นแฟน แล้วยังย้ำชัดว่าเธอเป็นคนในครอบครัว ทำให้ข่าวนี้น่าสนใจ การเขียนข่าวในวงการบันเทิงถ้ามีทั้งพระเอก นางเอก และนางร้ายย่อมเป็นที่สนใจของคนอ่านเสมอ
“ไปได้แล้วเบญ ถ้าไม่อยากเดือดร้อนกันไปมากกว่านี้”
เบญญาใช่ว่าจะยอมยังยื้อยุดจนกระทั่งต้องใช้ รปภ. 2 สองและผู้จัดการช่วยกันลากแทบจะอุ้มตัวเธอออกไปจากงาน เรื่องราวความวุ่นวายจึงเหมือนจะจบลง มีนาเงยหน้าออกมาจากอกหนาเมื่อเขมินท์ยอมคลายกอด แต่มันอาจจะเป็นความผิดพลาด เธอกลับเป็นหัวข้อที่น่าสนใจไปแล้วเพราะถูกถ่ายรูปจนตาพร่าไปหมด เธอมองเขมินท์คล้ายจะถามว่าคราวนี้ทำยังไงต่อดี
“ไม่ทราบว่าคุณเขมินท์กับคุณมีนาคบกันมานานแล้วหรือยังครับ”
“คุณเขมินท์กับคุณมีนาพบรักกันได้ยังไงคะ”
และคำถามอีกมากมายที่รัวใส่ยิ่งกว่ากล้องในมือของนักข่าว ซึ่งยังไม่รวมกล้องจากโทรศัพท์มือถือของแขกในงานที่พากันสนใจเขมินท์กับมีนาราวกับงานแถลงข่าวอย่างไรอย่างนั้น พริมาก็เป็นอีกคนที่สนใจอยากรู้คำตอบ หญิงสาวไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นใช่เด็กข้างบ้านที่แทบจะตัวติดกับภาคินไหม และเธอใช่ผู้หญิงที่เขมินท์บอกว่าอยู่ในใจมาตลอดหรือเปล่า
“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ผมขอนะครับ เราสองคนไม่อยากเป็นข่าว ผมเป็นนักธุรกิจ มีนเองก็เป็นคนธรรมดา เราสองคนไม่ชอบเป็นเป้าสายตาของใคร”
แม้จะเป็นคำพูดสุภาพแบบอ้อมๆ แต่เขมินท์คิดว่าหลายคนคงเข้าใจจึงลดกล้องในมือลงไปหลายคน แต่ที่ไม่เข้าใจก็ยังมีอยู่เช่นกัน
“เรื่องน่ายินดีออกนะคะ” นักข่าวคนหนึ่งตอบอ้อมแอ้ม
มีนาเข้าใจเหตุผลที่เขมินท์ทำทุกอย่าง การเป็นข่าวว่าเป็นแฟนกับเขมินท์ย่อมดีกว่าถูกเมาท์แบบผิดๆ อย่างเช่น แย่งแฟนนางแบบ เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่ออะไรแบบนี้ แต่การที่เขมินท์ต้องมาเดือดร้อนไปด้วย แม้เขาจะพาตัวเองมาถึงตรงนี้เองก็ตาม เธอก็ลำบากใจอยู่ดี เธอมองเขาเหมือนอยากขอโทษ เขมินท์ยกมือขึ้นมาโอบไหล่บางไว้ เขารับมือได้อยู่แล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
“ผมขอให้เป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ ผมขอนะครับ ทนายของผมงานล้นมือแล้ว อย่าเพิ่งเพิ่มงานให้ทนายของผมกันเลยนะครับ”
ประโยคเดียวเสียววาบเป็นแบบนี้เอง การฟ้องร้องสำหรับเขมินท์ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เขามีทนายและมีเงินมากพอที่จะจ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหากนักข่าวหรือใครในที่นี้จะได้รับหมายศาล จากการนำคลิปที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปเผยแพร่สู่สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ว่าช่องทางไหนก็ถือว่าผิด
พริมาเป็นอีกคนที่เดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยง ความมั่นใจที่เธอมีมาตลอดสั่นคลอน คนอย่างเขมินท์ถ้าไม่มั่นใจมีหรือจะบอกใครต่อใครว่ากำลังเป็นแฟนกับผู้หญิงคนนั้น เขารักความเป็นส่วนตัวมาแต่ไหนแต่ไร สิ่งที่เธอควรทำอย่างแรกนั่นคือรู้ให้ได้ก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร
เพียงไม่กี่นาทีงานเลี้ยงก็กลับสู่ภาวะปกติ มีคนเข้ามาแสดงความยินดีกับเขมินท์และมีนาหลายคน จนหญิงสาวเริ่มหน้าเจื่อน เขาคงไม่มีปัญหาอะไรเพราะทำหน้าเรียบๆ เป็นปกติอยู่แล้ว
“พี่คิดว่ามีนคงไม่อยากอยู่ในงานนี้แล้วใช่ไหม” เขมินท์กระซิบถามให้ได้ยินกันแค่สองคน
มีนาเอียงหน้าไปใกล้ไหล่ของเขา “พี่เขมก็คิดเหมือนกันใช่ไหมคะ”
เขมินท์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี มีนามองเสี้ยวใบหน้าของเขาแล้วนึกแปลกใจว่าได้ยินเขาหัวเราะแบบนี้ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่นะ คำตอบคือมันนานมากจนเธอนึกไม่ออกแล้วด้วยซ้ำ
“ผมกับมีนขอตัวกลับก่อนนะครับ รู้สึกเหมือนเป็นดาราเวลาประกาศตัวแฟนอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าผมไม่ทำแบบนี้มีนคงยิ่งเสียหาย” เขมินท์จงใจพูดทิ้งท้ายไว้เพื่อให้แน่ใจว่ามีนาจะไม่ถูกใครเอาไปพูดในทางเสียหาย
“ผมเข้าใจครับ ยินดีกับทั้งสองคนด้วยจริงๆ” วรการยิ้มจากใจจริงๆ เขาเองก็เห็นมีนาเหมือนน้องคนหนึ่ง
มีนานายิ้มพอประมาณ ไม่ให้เวอร์เกินไปไม่งั้นอาจถูกจับได้
“ไปก่อนนะคะคุณการ พี่นัท”
เขมินท์ยืนรอพอมีนาก้าวมาหา เขาก็ยื่นมือไปจับมือของเธอไว้แล้วเดินออกไปจากงานด้วยกัน มีนามองมือของตัวเองที่เล็กมากเมื่อเทียบกับมือใหญ่ๆ ของเขาแล้วก็ดันแก้มร้อนวูบ พยายามแทบแย่ที่จะไม่ยกมือขึ้นมาคลำแก้มตัวเอง เขมินท์ช่างรอบคอบไม่หลุดบทแม้แต่นิดเดียว สองหนุ่มสาวเดินเคียงกันมาถึงทางเข้างาน มีนาดึงมือตัวเองกลับมา เขมินท์คลายมือออกเมื่อถึงเวลา
“มีนกลับ...”
“ถ้ามีนจะบอกว่าเดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับเอง พี่คงไม่ยอมหรอกนะ ต่อให้ไม่เกิดเรื่องในนั้น ถ้าพี่เจอมีน พี่ก็ต้องชวนมีนขึ้นรถแล้วพาไปส่งอยู่ดี”
พนักงานในงานขับรถของเขมินท์มาจอดเทียบพอดี เขมินท์ไม่ถามซ้ำราวกับอยากวัดใจกันว่าคราวนี้มีนาจะปฏิเสธเขาอีกหรือเปล่า พนักงานเปิดประตูรถให้มีนา หญิงสาวมองประตูรถที่เปิดค้างก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปนั่ง เธอไม่แน่ใจว่ากำลังเพ้อเจ้อจนคิดไปเองหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าทั้งสายตาและคำพูดของเขมินท์ไม่ได้พูดเพียงแค่เรื่องนั่งรถกลับไปกับเขา แต่มันลึกซึ้งกว่านั้นและมันไม่ใช่แค่การก้าวเข้าไปนั่งในรถ อาจหมายถึงการก้าวเข้าไปในชีวิตของเขา...ใช่ไหมนะ? บางทีเธออาจจะคิดมากไปเองกระมัง
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 229
แสดงความคิดเห็น