ตอนที่ 69 ประชันอักษร – หนึ่งฝันในโลกวังวน

สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)
คุณกำลังอ่าน: สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)

-A A +A

ตอนที่ 69 ประชันอักษร – หนึ่งฝันในโลกวังวน

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 69 ประชันอักษร – หนึ่งฝันในโลกวังวน

 

บรรยากาศกลายเป็นกระอักกระอ่วนอย่างที่สุด หลงหยินเอ่ยเสียงดังลั่นขึ้นมาทำลายความเงียบ ดึงความสนใจของทุกคน “หลินเสี่ยว การประลองในรอบนี้หวูเฉินเป็นฝ่ายชนะ เจ้ายอมรับหรือไม่?”

 

หลินเสี่ยวน้อมศีรษะลงแล้วกล่าว “ข้ายอมรับทั้งหัวใจและถ้อยคำ ข้าขอชื่นชมโดยดุษฎี”

 

หลงหยินพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็มาเริ่มการประลองรอบที่สองกัน!” หลงหยินคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หลินเสี่ยว ข้าได้ยินว่าเจ้าพกขลุ่ยติดตัวมาตั้งแต่เด็ก และเจ้ามีความรอบรู้เกี่ยวกับขลุ่ย ทั้งยังบรรลุจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

 

“ทูลฝ่าบาท ข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริง ชื่อของข้า ‘หลินเสี่ยว’ คำว่า ‘เสี่ยว’ มีความหมายที่แปลว่า ‘ขลุ่ย’ ดังนั้นตั้งแต่ที่ข้าเกิดมา ชะตาของข้าก็ถูกผูกมัดไว้กับขลุ่ย ตอนข้าเป็นเด็กข้าชื่นชอบการเป่าขลุ่ยเป็นชีวิตจิตใจ ทุกๆวันข้าจะตั้งกฎเอาไว้ว่าต้องฝึกเป่าขลุ่ยทุกวัน ไม่ว่าข้าจะไปที่แห่งใด ข้าจะพกขลุ่ยติดตัวไปด้วยเสมอ ไม่เพียงเพื่อใช้ผ่อนคลายจิตใจ ในสถานการณ์ฉุกเฉินยังใช้แทนกระบี่ ในทุกศาสตร์ที่ข้าเล่าเรียนมา ขลุ่ยเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ดีที่สุด” ขณะที่หลินเสี่ยวกล่าว เขาก็ดึงเอาขลุ่ยหยกขาวออกมาจากแขนเสื้อ แม้จะผ่านเหตุการณ์ต่างๆกระทั่งการแข่งก่อนหน้านี้ เขาก็ยังพกขลุ่ยไว้อยู่กับตัว พิสูจณ์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้ทิ้งขลุ่ยไว้นอกกายจริงๆ

 

“ดีมาก เล่าลือกันว่าไม่มีใครสามารถเป่าขลุ่ยได้ไพเราะทัดเทียมกับเจ้า ทุกครั้งที่เจ้าเป่าบรรเลง กระทั่งนกบนฟ้าและเหล่าแมลงคลานดินยังมารวมตัวกันเพื่อฟังสำเนียง แต่ว่านอกจากคนในครอบครัวของเจ้าแล้ว ก็ไม่เคยมีใครได้มีโอกาสฟังเจ้าเล่นเลยสักคน ในเมื่อตอนนี้เจ้ามีขลุ่ยอยู่กับตัว เช่นนั้นการประลองในรอบที่สองนี้จะเป็นการประชันขลุ่ย! และอาศัยโอกาสนี้ ให้ข้าได้สดับฟังเสียงบรรเลงขลุ่ยที่แท้จริง เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะชนะการแข่งรอบนี้?” หลงหยินถาม

 

คำของหลงหยินนั้นไม่ผิดพลาด อาณาจักรเทียนหลงมีข่าวลือว่าหลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลินนั้น เป็นผู้ที่บรรลุขอบเขตการบรรเลงเพลงขลุ่ยอยู่ในระดับเหนือโลก จนอาจนับได้ว่าถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ เสียงทำนองราวบทเพลงจากสวรรค์ หากขลุ่ยนี้บรรเลงอยู่ริมน้ำคงสามารถล่อห่านหรือปลาออกมา หากบรรเลงในป่าคงดึงดูดสัตว์อสูรให้อ้อยอิ่งอยู่รอบกายเขา ผู้คนกล่าวถึงข่าวลือลึกลับนี้แต่ไม่มีใครสักคนที่เคยได้ฟังจริงๆ ผู้คนที่รวมกันอยู่ในเวลานี้ ยกเว้นตระกูลหลินแล้ว ก็ไม่มีใครเคยได้ยินเขาเล่นเพลงขลุ่ย ด้วยเหตุนี้ ผู้คนไม่เพียงตั้งความคาดหวัง แต่ทั้งยังตื่นเต้นอย่างมาก ตามที่หลินเสี่ยวบอก ในบรรดาศาสตร์ที่เขาเล่าเรียน นี่คือสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุด และเขาไม่บุรุษที่จะกล่าวสัญญาเลื่อนลอย

 

หลินเสี่ยวจับขลุ่ยเบาๆ ลูบสัมผัสอย่างอ่อนโยนราวกับมันเป็นคนรัก เขากล่าวน้ำเสียงล่องลอย “ขลุ่ยนี้เรียกว่า ‘หนึ่งฝันในโลกสับสน’ นี่เป็นของที่ระลึกของมารดาข้า และนางรักมันอย่างมาก ตอนที่ข้าอายุได้สามขวบ นางมอบมันให้กับข้าในขณะสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่นางจะสิ้นเพราะความเจ็บป่วย... นี่คือสิ่งเดียวที่นางเหลือไว้ให้ข้า หลังจากที่นางตาย ข้าร้องไห้อยู่สามวันสามคืน และสาบานว่าจะไม่มีวันละทิ้งขลุ่ยเลานี้ไป”

(โน๊ต : ลักษณะนามของขลุ่ย เรียกเป็น เลา)

 

เขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้นจากนั้นจับขลุ่ยหยกขาวขึ้น “ทุกครั้งที่ข้านึกถึงมารดา ข้าจะเล่นขลุ่ยเลานี้ ตลอด17 ปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยเว้นว่างแม้แต่วันเดียว ยิ่งเวลาผ่านไป อารมณ์ของข้าก็ผสานเข้ากับมัน ความคิดของข้าก็ผสาน และเมื่อสองปีก่อนกระทั่งหัวใจข้าก็ผสานเข้าด้วยกัน มันรู้ใจข้า และข้ารู้ใจมัน ชั่วชีวิตนี้...ข้าจะไม่มีวันทิ้งมัน ข้าไม่เคยท้าผู้ใดแข่งประชันขลุ่ยมาก่อนเพราะไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่มือข้าได้ สรรพเสียงแห่งโลกหล้าก็ไม่อาจเทียบบทบรรเลงเพลงขลุ่ยของข้าได้ ไม่มีแม้แต่จะใกล้เคียง”

 

สีหน้าของหลินเสี่ยวเต็มไปด้วยความคิดถึงและความภูมิใจ ไม่มีผู้ใดคิดว่าเขากล่าวเกินจริง ความหลงใหลในขลุ่ยของเขา รวมทั้งความเชี่ยวชาญล้วนเป็นที่รู้กันว่าอยู่เหนือล้ำกว่าผู้ใด

 

“วันนี้ เพื่อชื่อเสียงของตระกูลหลิน ข้าหลินเสี่ยวจะขอใช้ขลุ่ยนี้เพื่อประลองกับนายน้อยเย่ การประชันนี้....ข้าจะต้องชนะ! หากว่าข้าแพ้ ข้าจะไม่ขอแตะต้องขลุ่ยอีกตลอดจนชั่วชีวิต!”

 

ทั้งสีหน้าท่าทางของเขา ทั้งอารมณ์ยามที่เขาจับขลุ่ยหยกขาวขึ้นมา... ในเวลานี้ผู้คนได้เห็นหลินเสี่ยวอีกคน หลินเสี่ยวที่อ่อนไหวสง่างาม โศกเศร้าบริบูรณ์ ความเปลี่ยนแปลงนี้เพียงเพราะเขาหยิบขลุ่ยหยกขาวออกมา

 

เห็นได้ชัดว่าขลุ่ยเลานี้ส่งผลต่ออารมณ์ของเขา จากที่เขาผสานเป็นหนึ่งกับขลุ่ย ดังนั้นความสามารถของเขาจะน่าหวาดหวั่นถึงเพียงใด ข่าวลือว่าเสียงบรรเลงขลุ่ยของเขามหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ ไม่แปลกเลยที่เขาอหังการว่าสรรพเสียงแห่งโลกหล้าไม่อาจเทียบเทียม พวกเขาเคยได้ยินว่าผู้บรรลุวิถีกระบี่สามารถผสานตนเข้ากับกระบี่ แต่พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครสามารถผสานจิตใจเข้ากับขลุ่ยได้ ในเมื่อเขาบรรลุถึงขั้นนี้ ใครเล่าจะเทียบเพลงขลุ่ยเขาได้

 

ขลุ่ยหยกยาวสลักอักษรคำว่า ‘หรู’ ซึ่งสมควรมาจากชื่อมารดาของเขา นอกจากสิ่งนี้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดต่างไปจากขลุ่ยธรรมดา แต่จากสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเสี่ยวยามที่เขามองมัน ก็รู้ได้ว่าเขาไม่ได้กล่าวคำโกหกใดๆ เย่หวูเฉินถอนสายตาออกจากเขา จากนั้นหลับตาทั้งสองลง ไร้คลื่นระลอกรุนแรงอยู่ภายใน

 

ยามนี้เอง หลินเสี่ยวค่อยๆหลับตาลงเช่นกัน จากนั้นวางขลุ่ยหยกแตะริมฝีปาก ไม่ไต่ถามคำยอมรับของหลงหยินและเย่หวูเฉินใดๆ เขากำลังจะเริ่มบรรเลงด้วยเจตนาของตนเอง เนื่องจากไม่จำเป็นต้องรอคำตอบ เพราะหลงหยินเสนอทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าใครจะชนะ เย่หวูเฉินมีวิชายุทธเหนือกว่าเขา แม้ไม่ปรารถนาแต่เขาก็ยอมรับ แม้ไม่เคยคาดฝันว่าจะมีใครเหนือกว่า แต่เมื่อผู้นั้นมีทักษะเหนือกว่าตน เขาก็ยอมรับอย่างเต็มใจกระทั่งลอบชื่นชม แต่เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะแพ้เพลงขลุ่ยต่อเย่หวูเฉินอีก เพราะขลุ่ยคือจุดเด่นและความภูมิใจของเขา เขาย่อมไม่แพ้ และต้องไม่แพ้

 

เมื่อเขายกขลุ่ยขึ้น ผู้คนต่างเงียบสงบ เพียงเสียงขลุ่ยเริ่มบรรเลงช้าๆ ทั่วทั้งจัสตุรัสก็เงียบสงบลง กระทั่งเสียงเข็มตกยังได้ยิน ราวกับคนสูญเสียจิตใจ พวกเขาไม่คิดว่าตนเองกำลังได้ยินเสียงขลุ่ย แต่รู้สึกได้ถึงสายลมอ่อนโยนโชยมา ราวกับอยู่ในป่าไผ่เขียวขจี มีเสียงขลุ่ยแผ่วพริ้วจากส่วนลึกของป่าไผ่ ชำแรกลึกถึงความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจ สะท้านไหวจนสุดขั้วหัวใจ....

 

เสียงขลุ่ยเปลี่ยนทำนองเป็นเศร้าโศก ราวได้ยินเสียงขับขานของเด็กหญิง ภาพเงาร่างน้อยๆค่อยๆปรากฎในหัวใจ เป็นเด็กหญิงอายุราว 7-8 ขวบ นางก้าวเท้าเข้ามาหาช้าๆ แต่ไม่ว่านางจะย่างเท้าสักกี่ก้าว นางก็ไม่อาจขยับเข้ามาใกล้ได้เลย

 

สายลมอบอุ่นพัดพาพร้อมแสงตะวันฉาย ท้องฟ้าโปรยปรายไปด้วยกลีบดอกไม้ แล่นเริงระบำอยู่ในสายลม ต้นหญ้าใต้ฝ่าเท้าของเด็กหญิงแตกดอกหญ้ากระจายปลิว ทั่วปฐพีมีสีเขียวชอุ่ม ประปรายด้วยใบไม้สีม่วงแดงนับพัน นี่คือความสวยงามของฤดูใบไม้ผลิ

 

สายลมเย็นพัดมา เด็กหญิงกลายเป็นหญิงสาวอายุ 20 ปี มุมปากนางแย้มเป็นรอยยิ้ม นางเริ่มเต้นรำด้วยความสุขใจ ดวงตะวันแผดเผาลอยเด่นฟ้า สรรพชีวันต่างเติบใหญ่ สรวงสวรรค์และปฐพีล้วนรุ่งเรือง นี่คือลมหายใจแห่งฤดูร้อน

 

สายลมเย็นเยียบพัดพริ้ว หญิงสาวกลายเป็นสตรีวัยกลางคน สูญเสียความงามและเริ่มซัดเซ นางไม่ได้ร้องเพลงหรือเต้นรำ เพียงเดินตรงไปช้าๆเงียบงัน ฝีเท้าสงบและไม่เร่งรีบ ผืนปฐพีเหี่ยวแห้งลง สรรพชีวิตเริ่มรางเลือนจากสวรรค์และปฐพีที่ไม่อาจรั้งไว้ ความอ่อนแอค่อยๆปรากฎ นี่คือความหดหู่แห่งฤดูใบไม้ร่วง

 

สายลมเย็นเยือกพัดกระหน่ำ นางกลายเป็นหญิงชรามีผมหงอกปกคลุมศีรษะ นางเดินโซเซทุกฝีก้าว สายตาคู่งามกลายเป็นหมอกมัว ผืนปฐพีไร้ชีวา มีเพียงหิมะขาวโพลน ปกคลุมแดนที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยความหวังและความสวยงาม สุดท้าย...ร่างนั้นก็ล้มลงกลางลมหนาว และถูกหิมะปกคลุมกาย ไม่อาจเห็นร่างของนางได้อีกต่อไป นี่คือบทสรุปแห่งฤดูหนาว

 

เสียงบรรเลงเพลงขลุ่ยจบลง ความคำนึงของผู้คนถูกแช่อยู่ในแดนหิมะ นั่นคือที่หมายสุดท้ายของทุกผู้คน ไม่มีใครหลุดพ้นจากฉากสุดท้ายของชีวิตได้

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.