ตอนที่ 70 ประชันอักษร – ฝันรำพึงถึงอดีต (1)
ตอนที่ 70 ประชันอักษร – ฝันรำพึงถึงอดีต (1)
เมื่อเพลงขลุ่ยจบ หลินเสี่ยวค่อยๆลดขลุ่ยหยกขาวลง ดวงตายังคงปิดสนิท สีหน้าของเขาเศร้าหมองและโดดเดี่ยว เหมือนเขากำลังเจ็บปวดเมื่อหวนคิดเรื่องบางอย่างในอดีต ในขณะที่ผู้คนกำลังจมจ่อมอยู่ในห้วงทำนอง เสียงยังคงสะท้อนเสนาะโสตประสาทไม่จางคลาย... เสียงของขลุ่ยกลับปรากฎให้เห็นเป็นภาพลวงตา แสดงความลึกลับของสรรพชีวิต จากเด็กหญิงไม่ประสา กลายเป็นสาวแรกแย้ม เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต
ราวกำลังตกอยู่ในห้วงความฝัน ผู้คนมองเห็นตัวเองก้าวผ่านช่วงวัยต่างๆของชีวิต และสิ่งที่ดึงพวกเขาเข้าสู่แดนความฝันคือพลังอันอัศจรรย์ของบททำนองเพลง
ผู้คนต่างตะลึงค้าง หากไม่ใช่เพราะวันนี้ พวกเขาคงคิดแค่ว่าเพลงขลุ่ยเพียงฟังเพื่อความเพลิดเพลิน พวกเขาไม่คิดเลยว่า เพลงขลุ่ยจะสามารถกระชากความรู้สึกส่วนลึกข้างในจนปรากฎออกมาเป็นภาพอันจับใจ เสียงทำนองทั้งอัศจรรย์ดั่งเวทมนตร์ บุคคลล้ำเลิศปานใดกันที่สามารถบรรเลงเพลงได้ถึงเพียงนี้
นอกจากตะลึงแล้ว พวกเขาก็คิดสิ่งอื่นไม่ออก
ผู้คนมากมายยังคงไม่รู้ตัวว่านี่เป็นเพียงมโนภาพ จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา
“ชื่อของบทเพลงนี้เหมือนกับชื่อของขลุ่ย มันเรียกว่า ‘หนึ่งฝันในโลกวังวน’ นี่คือเพลงที่ข้าเล่นทุกวัน ทุกๆครั้งที่ข้าเล่นเพลงนี้ ข้าจะนึกถึงมารดาที่จากไป เสียงขลุ่ยเหมือนเสียงเรียกอันอ่อนโยนของนาง ทำให้ข้ารู้สึกว่านางไม่เคยจากไปไหน และยังคงอยู่ข้างๆข้าเสมอ คอยมองดูทุกเหตุการณ์ในชีวิตข้า” หลินเสี่ยวกล่าวเสียงเบา หางตาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเล่นบทเพลง ‘หนึ่งฝันในโลกวังวน’ ต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาไม่ได้สนใจกับปฏิกิริยาของผู้คน ไม่มีแม้กระทั่งความลำพอง ราวกับการตอบสนองเช่นนี้ล้วนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เสียงของเขาเบาอย่างมาก ไม่เพียงพอกระตุ้นผู้คนให้ตื่นจากฝัน จนกระทั่งหลงหยินเอ่ยอุทานชื่นชมคำต่อคำ “ยอดเยี่ยม! เป็นท่วงทำนองที่ดี ‘หนึ่งฝันในโลกวังวน’ หลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลินยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ข้าพึ่งตระหนักว่าเพลงขลุ่ยที่แท้จริงเป็นเช่นใด และยามที่บุคคลกับขลุ่ยผสานรวมกันเป็นหนึ่ง ผลที่ได้คือบางสิ่งที่ควรอยู่บนสวรรค์ไม่ใช่ของโลกมนุษย์ ข้าเคยฟังเสียงดนตรีที่ไพเราะมามากมาย แต่หากเปรียบเทียบกับ‘หนึ่งฝันในโลกวันวน’แล้ว เสียงดนตรีเหล่านั้นกลับกลายเป็นต่ำช้าไม่อาจทนฟัง ที่เจ้ากล่าวไว้ว่าสรรพเสียงแห่งโลกหล้าไม่อาจเทียบเทียมกับเสียงขลุ่ยของเจ้า คราแรกข้าไม่อาจยอมรับ แต่ตอนนี้ข้าแน่ใจ ทั้งเพลงขลุ่ยของเจ้าและฝีมือวาดภาพของหวูเฉินไม่ใช่สิ่งที่โลกใบนี้จะเปรียบเทียบได้ อาณาจักรเทียนหลงมีพวกเจ้าทั้งสองคนนับว่าเทพประทานพร บางทีสวรรค์คงเป็นผู้ปกปักษ์อาณาจักรเทียนหลงของข้า!”
หลงหยินพรั่งพรูคำชื่นชม ยากที่จะปิดปังความตื่นเต้น ,ความแปลกใจ ,ความชื่นชม และความยินดี ถ้อยคำของเขาปลุกผู้คนรวมทั้งสะท้อนความคิดของพวกเขาออกมา เพียงชั่วพริบตา เสียงชื่นชมก็ปะทุดังขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณ เหล่าขุนนางชั้นสูงรวมถึงผู้มีบรรดาศักดิ์ใหญ่ที่ปกติไม่ค่อยพูด เอาแต่ยิ้ม และตระหนี่ในคำชม เวลานี้พวกเขากำลังคิดสรรหาทุกถ้อยคำที่สามารถนึกได้และชื่นชมเพลงขลุ่ยของหลินเสี่ยว บ้างก็รู้สึกว่าถ้อยคำเหล่านั้นยังคงไม่เพียงพอ ถ้อยคำของโลกใบนี้ไม่คู่ควรใช้อธิบายบทเพลงแห่งสรวงสวรรค์
วันนี้ พวกเขาได้รู้จักหวูเฉินแห่งตระกูลเย่ และยามนี้ พวกเขาก็ได้รู้จักหลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลิน ผู้มีพรสวรรค์ล้ำโลกสามารถบรรเลงเพลงแห่งสวรรค์
ทุกคนมั่นใจว่าในรอบนี้ หลินเสี่ยวย่อมเป็นผู้ชนะ พวกเขาไม่สามารถคิดออกว่าจะมีเพลงใดที่เหนือล้ำไปกว่า ‘หนึ่งฝันในโลกวังวน’ ท่วงทำนองที่นำพวกเขาเข้าสู่แดนลวงตา แสดงความจริงแห่งชีวิตโดยใช้ความฝัน การบรรยายความเศร้าโศกยามนึกถึงมารดา ความสับสนเหว่ว้าในชีวิต ทุกสิ่งล้วนกินใจ สะเทือนหัวใจของทุกผู้คน
ในหมู่ผู้คนเหล่านั้น ยังนับรวมไปถึงเย่หวูเฉินด้วยอีกคน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเสี่ยวจะบรรลุทักษะเพลงขลุ่ยจนถึงระดับน่าตะลึงถึงเพียงนี้
“น่าตกตะลึงอย่างแท้จริง!” เย่หวูเฉินกล่าวต่อหน้าหลินเสี่ยว
“ขลุ่ย...เป็นอีกครึ่งชีวิตของข้า” หลินเสี่ยวตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“โอ้?....แต่สำหรับข้า ขลุ่ยเป็นเพียงเครื่องดนตรีเท่านั้น หมายความว่าถ้าท่านไม่สามารถเป่าขลุ่ยได้ ท่านจะสูญเสียชีวิตไปครึ่งหนึ่งอย่างนั้นหรือ?” เย่หวูเฉินครุ่นคิด
“ถูกต้อง!”
“ท่านคงต้องมีความมั่นใจอย่างที่สุด ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าเอาชีวิตเป็นเดิมพันกับการแข่งไร้สาระเช่นนี้ โดยเฉพาะกับการเดิมพันที่ไม่อาจถอนตัวคืน มีเพียงคนโง่เท่านั้นถึงจะทำแบบนี้ หรือบางทีท่านอาจจะคิดว่าตนเองมีข้อรับประกันที่แน่นอน แต่ข้ากลับคิดว่า....”
เย่หวูเฉินไม่กล่าวต่อ เสียงผู้คนยังคงดังได้ยินอย่างต่อเนื่อง เขาถอนหายใจผ่อนคลาย จากนั้นตะโกนด้วยน้ำเสียงชัดเจน “ทุกๆท่านโปรดฟังคำของข้าก่อน”
น้ำเสียงดังและชัดเจนทำให้ผู้คนหัวใจสะท้าน ในที่สุดพวกเขาก็สงบลง สายตากลับมาจับจ้องที่เย่หวูเฉิน รอดูเขาแสดงความสามารถ
เย่หวูเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คุณชายหลินเล่นเพลงขลุ่ยได้สมกับชื่อเสียง และเป็นที่จับใจของผู้คน กระทั่งข้ายังไม่มีความมั่นใจครบร้อยส่วนว่าจะสามารถเอาชนะคุณชายหลินได้ แต่พวกเราตระกูลเย่ไม่เคยยอมถอยกับการต่อสู้ เพราะจะเป็นการแสดงถึงความอ่อนแอ”
เขามองที่ขลุ่ยในมือของหลินเสี่ยว จากนั้นกล่าวต่อ “ขลุ่ยของคุณชายหลินคือสิ่งตกทอดจากมารดา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและไม่เคยอยู่ห่างจากกายเขา เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องมัน ดังนั้นตัวข้าจึงไม่มีสิทธิ์แตะต้องอย่างแน่นอน เพราะเหตุนี้ ผู้อาวุโสหรือสหายท่านใดนำขลุ่ยมาด้วยบ้าง? โปรดให้ข้ายืมใช้สักครู่หนึ่งและข้าจะซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง”
เมื่อกล่าวจบ เขาไม่ได้มองไปรอบๆแต่กลับมองตรงไปที่ฮั่วฉุ่ยโหรวในทันที พร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และสายตาที่ไม่เคลื่อนไปจากนาง
ผู้คนทั่วบริเวณเริ่มมองหน้ากัน ไม่มีใครสามารถนำขลุ่ยออกมาได้ จุดประสงค์ที่มายังที่แห่งนี้คือดูการแข่งขันระหว่างยอดพรสวรรค์รุ่นเยาว์ ใครมันจะพกเอาขลุ่ยติดตัวมาด้วยเล่า? ยิ่งกว่านั้น ขลุ่ยไม่ใช่เครื่องสีที่มีสายให้ดีด มันต้องใช้ริมฝีปากสัมผัส ไม่ว่าบุรุษหรือสตรี ใครจะยอมให้ขลุ่ยของตนใช้ร่วมกับผู้อื่น? มันแทบจะเหมือนการแบ่งปันรอยจูบ ยิ่งคิดก็ยิ่งแทบไม่แตกต่าง ดังนั้นถึงแม้มีใครนำขลุ่ยมาด้วย พวกเขาก็คงไม่นำมันออกมา แต่แน่นอนว่ายกเว้นเหล่าสาวน้อย ที่ชมชอบเขาและไม่อาจทนรอโอกาสเข้าหา หากสตรีใดมอบขลุ่ยให้ชายชาตรี ย่อมหมายถึงนางต้องการฝากชีวิตไว้กับบุรุษผู้นั้น แม้พวกนางต่างปรารถนา แต่โชคไม่ดีที่ไม่มีผู้ใดนำขลุ่ยติดตัวมาด้วย
ฮั่วฉุ่ยโหรวหัวใจเต้นเร็วระรัว นางพยายามเงยศีรษะขึ้นทีละน้อย แต่ขณะเดียวกันก็พยายามก้มศีรษะลง เพราะทุกครั้งที่ลอบเงยหน้า นางจะเจอสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นรัวเร็ว นางยกมือปิดหน้าที่ฝาดแดง กระซิบกับตัวเอง “หรือว่าเขา...เห็นมันแล้ว?”
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีใครนำขลุ่ยออกมา สถานการณ์เริ่มอึดอัด หลงหยินขมวดคิ้วถาม “ไม่มีใครนำขลุ่ยมาด้วยเลยหรือ?”
หากไม่มีขลุ่ย การประลองรอบนี้ก็ไม่อาจดำเนินต่อ และหากต้องมีใครกลับไปเอาขลุ่ยที่วัง ก็คงจะต้องเสียเวลานาน
ฮั่วฉุ่ยโหรวค่อยๆเงยศีรษะขึ้น สบสายตากับเย่หวูเฉิน แววตาของเขาแฝงความคาดหวัง ดวงตาคู่นั้นบอกกับนางว่า แม้คนอื่นจะมอบขลุ่ยให้ข้า ข้าก็จะไม่รับมัน ข้าต้องการเพียงของเจ้าเท่านั้น
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 315
แสดงความคิดเห็น