ลมไร้เงา
"ฉันเป็นเพียงลมที่เบาหวิว พัดผ่านผิวกายแล้วก็ปลิวหายไป มิได้สำคัญอันใด ที่จะให้เธอเหลียวมอง ขอเพียงได้กอดตระกองยามหมองเศร้า แบ่งบรรเทายามทุกข์ตรม ยามขื่นขมจมน้ำตา สุดแรงปรารถนาดี กว่าชีวีจะร้างจร"
เสียงกระซิบแผ่วเบาของใครคนหนึ่ง อาจไปไม่ถึงใครอีกคน ในเวลาที่เขาถูกแวดล้อมด้วยความสุข ท่ามกลางผู้คนมากมายซึ่งพร้อมมอบความรู้สึกดีๆท่วมท้น ยากนักที่เสียงเล็กๆจากเธอจะเอื้อนเอ่ยให้เขาได้ยิน เขาไม่เคยรู้เลยว่า ในทุกห้วงเวลาที่เข็มนาฬิกาชีวิตหมุนไป มีใครคนหนึ่งยังคงอยู่ที่เดิม
คุณอาจละเลยความรู้สึกของเธอ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ ต่างกับเธอโดยสิ้นเชิง ที่ใส่ใจทุกรายละเอียดของคุณ เมื่อสายลมพัดผ่าน ช่วยคลายร้อนพาให้รู้สึกเย็นสบาย พัดพาเศษฝุ่นไม่ให้ระคายเคืองผิว ปลอบโยนโอบกอดทุกสรรพสิ่งบนโลก แต่สิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดล้วนไม่สนใจลม เพราะรู้ดีว่าลมเป็นทรัพยากรที่ไม่มีวันหมด ใช้ไปเท่าไหร่ก็หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่จะมีสักกี่คน ที่ตั้งคำถามว่าลมเหนื่อยบ้างหรือไม่ และหากวันใดลมหมดไปจากโลกใบนี้จริงๆ ไม่สามารถพัดหวนคืนกลับมาได้อีก พวกเราจะทำอย่างไร
ปรานรำเพย นักศึกษาสาวชั้นปีที่หนึ่ง ทุ่มเทให้กับชีวิตการศึกษา ได้มาพบรักกับสินขร เด็กหนุ่มนิสัยดี ประธานคณะผู้มากความสามารถ เรียนดีกิจกรรมเด่น เป็นที่หมายปองของสาวๆทั้งหลาย เขาเป็นเสาหลักของบ้าน ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ต้องเลือกเรียนคณะที่ตนไม่ชอบ เพื่ออาชีพที่มั่นคงในอนาคต เป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลืออาจารย์และเพื่อนอยู่เสมอ ทำให้เขาเข้าไปประทับอยู่ในใจเธอผู้ที่ไม่เคยรู้จักความรักอย่างปรานรำเพย ในวัน
ปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ชั้นปีที่หนึ่งทุกสาขาวิชา แต่งกายด้วยเครื่องแบบนักศึกษาถูกระเบียบของมหาวิทยาลัย ทยอยเข้าหอประชุมใหญ่ บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น พี่ต้อนรับน้องอย่างเป็นมิตร เสียงเซ็งแซ่ค่อยๆเงียบลง เมื่อท่านอธิการบดี ท่านคณบดี ท่านประธานหลักสูตร และคณาจารย์ทยอยเข้ามาในหอประชุมแห่งนี้ เก้าอี้บุนวมถูกจับจองทุกตัว เว้นว่างเพียงตัวหนึ่งข้างขวาของปรานรำเพยเธอจับจ้องเก้าอี้ตัวนั้นเป็นพิเศษ
"เก้าอี้ของใคร ทำไมไม่มานั่ง พิธีจะเริ่มแล้วนะ เดี๋ยวก็โดนทำโทษหรอก" ได้แต่ตั้งคำถามอยู่ในใจ คล้ายเป็นห่วงเพื่อนสนิท เธอไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับใครมาก่อน โดยเฉพาะคนไม่รู้จัก
อาการกระวนกระวายของเธอ ทำให้ขวัญฤทัยเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยมต้นสงสัย "เป็นอะไรน่ะปราน"
"เปล่า ฉันแค่สงสัย"
"สงสัยอะไร" ขวัญฤทัยซักต่อ
"เก้าอี้ตัวนี้ใครนั่ง"
"ไม่รู้สิ ไม่มีมั้ง"
"เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มี แล้ว" พูดยังไม่ทันจบประโยค นักศึกษาหนุ่มคนเดียวในหอประชุมก็วิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ เขาตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน เมื่อส่งแฟ้มเอกสารให้ชายวัยกลางคนในชุดสูทแลดูภูมิฐานหน้าประตูหอประชุมเรียบร้อยแล้ว เขาก็วิ่งมานั่งเก้าอี้ที่เหลืออยู่ตัวเดียวในหอประชุมข้างปรานรำเพย ยกหลังมือปาดเหงื่อที่ไหลโชกหน้าผาก หอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
"หายใจลึกๆ" หญิงสาวข้างๆกล่าวอย่างห่วงไย
นั่งพักครู่ใหญ่ กำลังวังชาก็ฟื้นคืนมาดังเดิม "เราโอเคแล้ว" เขาบอกกับเพื่อนใหม่ข้างๆที่มองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน
"แน่ใจนะ"
"ครับ"
"แล้วไปทำอะไร ทำไมเพิ่งมา"
"เราไปช่วยอาจารย์พิมพ์รายงานด่วนน่ะ อาจารย์เพิ่งได้รับคำสั่งเมื่อคืน"
"แล้วเธอไปเจออาจารย์ได้ยังไง ไม่ได้เข้ามาพร้อมพวกเราเหรอ" ยังคงซักต่อ
"เราเอากระเป๋าเพื่อนๆไปเก็บในห้องหลักสูตร แล้วเจอท่านอาจารย์พิมพ์เอกสารอยู่คนเดียว ท่าทางท่านจะอดนอนทั้งคืน เราเลยลองถามท่านดูว่ามีอะไรที่เราพอจะช่วยได้บ้าง"
ชายหนุ่มร่ายยาว ไขข้อสงสัยของหญิงสาวจนหมดสิ้น เธอพยักหน้ายิ้มๆ ในใจนึกชื่นชมเพื่อนหนุ่มข้างๆอยู่มาก
ขวัญฤทัยไม่เคยเห็นเพื่อนสนิทคุยกับคนที่เพิ่งรู้จักได้นานถึงเพียงนี้ จึงปล่อยให้เพื่อนทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ด้วยนิสัยเป็นมิตร ร่าเริง เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ซึ่งต่างกับปรานรำเพยที่ชอบเก็บตัว ขวัญฤทัยจึงไปสารสัมพันธ์กับเพื่อนๆกลุ่มใหญ่ได้เป็นอย่างดี และปล่อยให้ปรานรำเพยคุยกับเพื่อนหนุ่มโดยไม่ได้เข้าไปขัดจังหวะ
"เราชื่อสิงขร เป็นคนเชียงใหม่นะ"
"สิงขร ที่แปลว่าภูเขาน่ะเหรอ"
"ใช่ครับ" พยักหน้ารับ
"เราชื่อปรานรำเพย เรียกว่าปรานก็ได้"
"ครับ ชื่อเพราะจัง"
เขาและเธอให้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเป็นเครื่องประสานไมตรี จนกระทั่งเสร็จกิจกรรมช่วงเช้า นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ทุกหลักสูตรก็ทยอยเดินเรียงแถวออกจากหอประชุมอย่างเป็นระเบียบ เพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันหน้าหลักสูตรของตนเอง แล้วก็เป็นเขาอีกเช่นเคย ที่ช่วยรุ่นพี่แจกอาหารให้เพื่อน กว่าตัวเขาจะได้กิน ก็เกือบหมดเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มไปนั่งกับเพื่อนผู้หญิงกลุ่มใหญ่ ท่าทางสนิทกันมาก เพราะเคยเรียนปรับพื้นฐานด้วยกันมาก่อน ด้วยนิสัยอ่อนโยนใจดี ทำให้เขาสนิทกับเพื่อนผู้หญิงมากกว่าเพื่อนผู้ชาย
หญิงสาวนั่งมองชายหนุ่มผู้ประทับรอยความทรงจำในรั้วเฟื่องฟ้าขจรตั้งแต่วันแรกที่พบกัน ข้าวแต่ละคำเคลื่อนผ่านโคนลิ้นอย่างเชื่องช้า ลิ้นแทบไม่รับรส ในใจหวังเพียงได้พบพูดคุยอีกครั้ง แต่แล้ว ก็ไม่มีวี่แววที่เขาจะสนใจเธอเลย
"อาหารไม่อร่อยเหรอปราน" ขวัญรึไทยถามเมื่อเห็นข้าวในห่อกระดาษซับน้ำมันของเพื่อนสาวยังไม่พร่อง
"เปล่าหรอกจ้า อร่อยดี แต่ปรานไม่หิว"
"ไม่หิวก็ต้องกินนะ เดี๋ยวไม่มีแรงเล่นกิจกรรมตอนบ่าย"
"จ้ะ"
ปรานรำเพยฝืนทานอาหารในห่อจนหมด หลังจากอาหารมื้อแรกแห่งความสัมพันธ์ฉันเพื่อนสิ้นสุดลง ก็เป็นเวลาของกิจกรรมช่วงบ่าย เป็นกิจกรรมนันทนาการกลางแจ้ง ที่พี่เตรียมไว้ให้น้อง กิจกรรมดำเนินไปได้ครู่ใหญ่ ปรานรำเพยก็รู้สึกวินเวียนศีรษะ แสงแดดกระทบผิวหนัง ร้อนผ่าวจนขนลุก มือเย็นเฉียบ ใจสั่นหวิวคล้ายสติจะดับวูบ ได้ยินเสียงเพื่อนเรียกอื้ออึง มือนุ่มนวลประคองร่างไว้ไม่ให้ล้ม ช่างเป็นสัมผัสที่อ่อนโยนยิ่งนัก มือแกร่งค่อยๆไล้เรือนผมแสกมาด้านหลัง เพื่อไม่ให้ผมปกหน้า ช่วยคลายร้อนให้เธอได้บ้าง ความรู้สึกกึ่งหลับกึ่งตื่น เธอยังคงรู้ตัวว่ามีผ้าเย็นสัมผัสใบหน้า มันค่อยๆเคลื่อนผ่านดวงหน้าเชื่องช้า
"รู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ยครับ"
แม้จะได้ยินถ้อยถามทุกคำ แต่ก็ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตอบหรือสั่นหน้าบอกอาการภายใน สิงขรปฐมพยาบาลอยู่นาน เมื่ออาการของเพื่อนสาวไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น เขาจึงพาเธอไปนอนพักที่ห้องพยาบาล เธอไม่ได้ร่วมกิจกรรมช่วงบ่ายอีกเลย
หลังจากวันนั้น หญิงสาวก็ประทับใจชายหนุ่มมากขึ้น เมื่อเปิดภาคเรียน เธอก็ได้ใกล้ชิดเขา จากการทำงานกลุ่มร่วมกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทมากถึงขนาดคุยกันได้ทุกเรื่องหรอก เขาจะรู้บ้างไหมนะ ว่าเพียงเท่านี้ ก็มีความหมายกับใจของเธอมากแล้ว
ร่างกายของปรานรำเพยอ่อนแอลงเรื่อยๆ หน้าตาซีดเซียวไม่มีน้ำมีนวล หลังจากที่เธอลาหยุดไปวันหนึ่ง เขาก็เดินเข้ามาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"อ้าวปราน เป็นไงบ้าง ไปหาหมอมาหรือยัง" ลากเก้าอี้ฝั่งซ้ายมาต่อหน้าโต๊ะ นั่งประจันหน้ากับคู่สนทนาแล้วนั่งลง
"เราไม่ได้ไปหาหมอหรอก นอนพักเฉยๆ ไม่ได้เป็นไรมาก"
"ไม่ได้นะ ยังไงก็ต้องไปให้หมอตรวจบ้าง เกิดเป็นอะไรจะได้รักษาได้ทัน" หัวใจหญิงสาวพองโต เมื่อได้ยินถ้อยคล้ายห่วงไยเช่นนั้น
"ขอบใจนะ ถ้าไม่ดีขึ้นยังไง เราจะลองไปให้หมอตรวจดู"
"ครับ"
ชายหนุ่มนั่งคุยกับหญิงสาวเรื่อยๆ แต่สายตาจับจ้องไปที่ประตูบานใหญ่ ทุกครั้งที่มันเปิดและปิดลง หวังว่าคนที่เดินเข้ามานั้นจะเป็นสาวสวยที่เขาหมายปอง และแล้ว เธอก็เปิดประตูย่างกรายเข้ามาในห้อง หญิงสาวผู้เลอโฉม เจ้าของร่างระหง ลูกครึ่งเมืองน้ำหอม ค่อยๆเลื่อนเก้าอี้ริมซ้ายแถวหน้าจากประตูห้อง ก่อนหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น
"ปรานรู้จักทีนน่ามั้ย ที่เป็นดาวอ่ะ" ผู้ถูกถามนิ่งอึ้ง
"น่ารักดีนะ" พูดต่อไปอย่างไม่ไยดีความรู้สึกคนฟัง
"สิง ชอบทีนน่าเหรอ" ฝืนถามออกไป ทั้งที่รู้ว่าคำตอบจะทำให้เธอเจ็บปวดมากสักเพียงใด หลังจากถามออกไปแล้ว ก็รู้สึกเหมือนมีลูกอะไรบางอย่างเคลื่อนมาจุกที่บริเวณคอหอย พยายามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาในยามนี้
เขายิ้มเขินๆเป็นคำตอบ
"สิงต้องหาทางทำให้ทีนน่ารู้นะ"
"ทีนน่ารู้แล้ว เมื่อวานที่ปรานไม่มา พี่กับเพื่อนแกล้งเราทั้งเอกเลย แกล้งให้เราสารภาพ ทีนน่าเลยรู้"
"แล้วทีนน่าว่าไงบ้าง"
"เขาก็เฉยๆไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ"
"เราว่าแล้ว ยังไงก็สู้ๆ นะ เราเชียร์อยู่" ฝืนพูดออกไปด้วยใจลั่นสั่น ถ้อยคำเมื่อครู่ แทบจะบีบหัวใจผู้พูดให้แหลกคามือของตนเอง
"สู้ จับมือ" พูดพลางยื่นมือออกมาสัมผัสมือเพื่อนสาวเป็นไมตรี แล้วอาจารย์ประจำวิชาภาคเช้าก็เดินเข้ามาพอดี เป็นผลให้ชายหนุ่มลากเก้าอี้เข้าที่ และกลับไปนั่งที่ของตน
สินขรพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อพิชิตใจดาวคณะอย่างทีนน่า แต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งวันหนึ่ง
"เราจะเลิกจีบทีนน่าละ"
"อ้าว ทำไมอ่ะ"
"เขาไม่เห็นสนใจเราเลย แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้เรากำลังคุยกับรุ่นพี่คนนึง เป็นพี่ปีสี่ ชื่อพี่นิกกี้"
"อื้ม แล้วได้บอกพี่เขามั้ย"
"ยังเลย" หญิงสาวมองชายหนุ่มด้วยสายตาผิดหวัง
"ปรานจะว่าเราป๊อดล่ะสิ"
"ก็มันจริงนี่นา ไม่รู้แหละ วันนี้เพื่อนเราต้องมีแฟน" เป็นอีกครั้ง ที่ต้องพูดในสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึก
'ต่อให้ไม่มีใคร ก็ไม่มีทางที่เธอจะมองเรา มันเป็นไปไม่ได้หรอก เลิกหวังลมๆแล้งๆ สักที' เสียงในใจร้องเตือนให้หยุดหวัง
"ขอบใจนะปราน" เขากล่าวยิ้มๆ
"ไม่เป็นไรหรอก ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่" ยิ้มน้อยๆให้กับมิตรภาพที่ไม่อยากจะรับมันเสียเท่าไรนัก
"อ้าวปราน อยู่นี่เอง กลับกันเถอะ" ขวัญฤทัยชวนปรานรำเพยกลับหอพัก ซึ่งทั้งสองเช่าหอนอกบริเวณมหาวิทยาลัยอยู่ด้วยกัน
“เราไปก่อนนะสิง” ขวัญฤทัยกล่าวลาเพื่อนหนุ่มเสียงใส
“ครับ” อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ
“เลิกเรียนแล้วเหรอสิง”
เสียงหวานทักมาแต่ไกล ยังไม่ทันที่สองสาวจะก้าวพ้นจากลานหน้าเอก ชายหนุ่มผู้ถูกขานนามเมื่อครู่ก็วิ่งตรงเข้าไปหานิกกี้
รุ่นพี่ปีสี่หน้าตาเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล รูปร่างท้วมนิดๆ ท่าทางใจดีร่าเริง สาวเจ้าโปรยยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม
"ครับพี่" เขานั่งลงข้างรุ่นพี่ใจดีคนนั้น แล้วคุยกันอย่างสนิทสนม
"นี่สินะ นิสัยผู้หญิงแบบที่เธอชอบ ร่าเริงสดใส ตรงข้ามกับเราทุกอย่าง” ปรานรำเพยเผลอพูดออกมา คล้ายรำพึงกับตัวเอง
“ฮึ ว่าไงนะ”
"อะ..อ๋อ ไม่มีอะไร ปรานแค่เดาไม่ผิด ว่าสิงชอบผู้หญิงร่าเริงสดใส มีชีวิตชีวา ซึ่งปรานไม่มี"
เมื่อขวัญฤทัยได้ฟังดังนั้น ก็ถึงบางอ้อทันที เพราะที่จริงแล้ว เธอก็แอบสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนสาวมาได้สักระยะหนึ่ง ปรานรำเพยก้าวขาฉับๆเพื่อให้พ้นจากสิงขร เมื่อมั่นใจว่าไกลจากระยะสายตาของชายหนุ่มแล้ว ปรานรำเพยก็ปล่อยให้น้ำตาไหลเรื่อยกระทบแก้มเนียนขาวอย่างไม่ปิดบัง หวังเพียงให้น้ำจากดวงตาคู่สวยชะล้างบาดแผลในจิตใจ และเพื่อนสนิทอย่างขวัญฤทัยก็เข้าใจดีทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายใดใด
หลายสัปดาห์ต่อมา ใกล้เวลาสอบย่อยวิชาโครงสร้างภาษาไทย ซึ่งสิงขรและปรานรำเพยรับหน้าที่ติวให้เพื่อนๆในชั้นเรียน ระหว่างรอเพื่อนๆที่ม้าหินอ่อนหน้าหลักสูตรภาษาไทย ปรานรำเพยหยิบลิบบริ้นมาสารเป็นดอกกุหลาบ
"สวยจัง ปรานทำเป็นด้วยเหรอ" ปรานรำเพยเงยหน้าจากกองลิบบริ้นเมื่อได้ยินเสียงนุ่มอันคุ้นเคย
“เป็นสิ เราชอบทำมากเลย" เขาอ้ำอึ้งอยู่นาน จนเธอจับท่าได้
"สิงอยากได้เหรอ จะเอาไปให้พี่นิกกี้ล่ะสิ" เขาเพียงยิ้มอย่างเขินๆ
"ได้ เดี๋ยวเราทำให้นะ"
"เราซื้อดีกว่า"
"ไม่เป็นไร เราไม่ได้ทำขายน่ะ อีกอย่าง เราก็เป็นเพื่อนกัน”
"ขอบคุณมากๆครับ"
"ไม่เป็นไรค่ะ"
เขาเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามเธอ หยิบไอแพ็ทขึ้นมาตัดต่อวีดีโอแนะนำหลักสูตร
"วีดีโอแนะนำหลักสูตรใกล้เสร็จแล้วนะ เราตั้งใจทำมาก"
"สิงตัดต่อวีดีโอเก่งมากเลยนะ เก่งกว่าพวกนิเทศอีก"
"จริงๆเราอยากเรียนนิเทศ"
"เอ่อ แล้ว ขอโทษนะ"
“ถามเลย ถามได้ ถ้าเราตอบได้จะตอบครับ”
“แล้วทำไมถึงไม่เลือกเรียนนิเทศล่ะ”
“เราเป็นเสาหลักของบ้าน เลยเลือกเรียนคณะที่เห็นว่าหางานทำได้มันคงดีกว่า"
"ดีจัง มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ"
"ขอบคุณมากครับปราน ถ้าเราได้รับราชการ แม่กับน้องคงสบาย”
“สิงทำได้อยู่แล้ว ปรานเป็นกำลังใจให้”
จากเรื่องราวที่ได้คุยกันในวันนี้ ทำให้เธอแน่ใจว่ารักคนไม่ผิด พลันคิดไปถึงรุ่นพี่คนนั้น ช่างโชคดีเหลือเกิน ได้แต่ถอนใจยาว ไม่รู้จะบอกความรู้สึกอันหนักอึ้งให้อีกฝ่ายรับรู้ได้อย่างไร คุยกันไปจนกระทั่งเพื่อนมากันครบ จึงเริ่มติวหนังสือ
สองวันต่อมา ดอกกุหลาบจากลิบบริ้นก็เสร็จ เมื่อสิงขรได้รับกุหลาบไปให้นิกกี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรุ่นพี่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลให้ปรานรำเพยกับสิงขรห่างกันมากขึ้น เขาและเธอแทบไม่ได้คุยกันเลย จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปประมาณเดือนกว่า
“ปราน” เขาจับมือเธออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เราไม่ได้คุยกับพี่นิกกี้แล้วนะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ อุตส่าห์เชียร์”
“เขาเป็นพี่ปีสี่ คงไม่คิดจะจริงจังกับเด็กปีหนึ่งอย่างเราหรอก อีกอย่าง เขาก็มีคนคุยเยอะ ไม่ได้คุยกับเราคนเดียว จะว่าไป คนกรุงเทพก็ไม่จริงใจเหมือนคนต่างจังหวัดหรอก” เธอนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนตอบคำเขา
“มีสิ บางที สิงอาจจะมองข้าม”
“ฮึ ปรานหมายถึงใคร”
“อ๋อ เราหมายถึงเพื่อนๆน่ะ ใครๆก็ชอบสิง เพราะสิงเป็นคนดี มีน้ำใจ เชื่อเราสิ สินต้องสมหวังในความรักแน่นอน”
คนฟังยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นลักยิ้มข้างแก้ม
“ปรานชมแบบนี้ เราเขินนะรู้มั้ย ตัวจะลอยแล้ว>///<”
อีกแล้ว…รอยยิ้มของเขาทำเอาใจเธอละลาย ไม่ว่าจะอยู่ในอากับกิริยาใด ก็ดูน่ารักไปเสียหมดในสายตาเธอ
“ไม่ได้ชมนะ เราพูดจริงๆ”
“ขอบใจนะ เราโชคดีจังที่มีเพื่อนแบบปราน”
เพื่อน… แค่เพื่อนสินะ เพื่อน เพื่อน เพื่อน ย้ำกับตัวเองไว้ แค่เพื่อน
เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปตามวิถีของมัน สิงขรและปรานรำเพยมานั่งคุยกันบริเวณลานหน้าเอก ซึ่งกลายเป็นที่ประจำสำหรับคนทั้งคู่ไปแล้ว เขาและเธอจะมาพูดคุยกันทุกวันหลังเลิกคลาส หรือว่างจากภารกิจต่างๆ ดูเหมือนจะเป็นความเคยชินของชายหนุ่ม พอๆ กับการต้องวิ่งเข้าออกห้องคณะ วันนี้ก็เช่นกัน
“อาการป่วยของปรานเป็นไงบ้าง ไปหาหมอยัง หมอว่าปรานเป็นอะไร” หญิงสาวได้แต่คิดหาข้อแก้ตัวให้วุ่นไปหมด
“เรา ไม่เป็นอะไรมากหรอกแค่เพลียๆ พักผ่อนไม่เพียงพอ”
“อ๋อ เราว่าปรานต้องนอนให้เร็วขึ้นนะ ช่วงนี้เรายังเห็นปรานออนเฟสดึกอยู่เลย”
ต้องยอมรับว่าชายตรงหน้าสร้างความรู้สึกหลายอย่างในหัวใจหญิงสาว เป็นคนเดียวที่ทำให้เจ้าของหัวใจแกร่งหวั่นไหว ก่อเกิดความรู้สึกหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ขณะนี้ วินาทีนี้ มันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีค่ากับหัวใจมากมายเหลือเกิน
"ปรานต้องห่วงตัวเองบ้างนะ รู้ไหม ไม่สบายไปจะแย่"
"จ้า ขอบใจมากนะ อีกไม่นานเราก็จะได้พักแล้ว"
"หืม ปรานว่าไงนะ" ฉงนสนเท่ห์กับคำพูดของเพื่อนสาวเต็มที จะว่าใกล้ปิดภาคเรียนก็ไม่ใช่ งานก็มีไม่เว้นว่าง จะเอาเวลาตรงไหนไปพัก
"เวลามันเร็วจะตาย หลับตาแล้วลืมมันขึ้นอีกที เดี๋ยวก็ปิดเทอมแล้ว" ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ นึกชื่นชมกับการมองโลกในแง่ดีของเพื่อนสาว
"ถ้าเรามองโลกในแง่ดีเหมือนปรานก็คงดีสินะ"
"สุขหรือทุกข์ มันก็อยู่ที่เราจะมองนะสิง ถึงแม้ว่าปรานจะไม่มีโอกาสได้บอกความรู้สึกดีๆกับใครคนนั้น แต่ปรานก็ดีใจนะ ที่อย่างน้อย ปรานก็ได้ยืนอยู่บนผืนดินเดียวกับเขา ได้ดูแลห่างๆ แค่นี้ก็มากพอแล้ว สำหรับสายลมอย่างปราน" ประโยคสุดท้าย ถูกกลืนไปกับสายลมพัดแผ่ว
“เอ๊ะ ปรานแอบชอบใครหนอ”
“บอกไป สิงก็ไม่รู้จักหรอก”
“แน่ะ แอบชอบใครแล้วไม่ยอมบอกสิง”
“เดี๋ยวสิงก็รู้ ถ้าถึงเวลา”
“ครับๆ อยากเห็นหน้าคนนั้นจัง จะได้คัดกรองให้ปรานไง"
"สิงขร อยู่นี่เอง" อาจารย์วัยกลางคนในชุดราชการสีขาว รูปร่างท้วมเล็กน้อย ผิวสีแทน ดวงตาดำขลับเจือเมตตา มองมาทางลูกศิษย์ทั้งสอง คนทั้งคู่ยกมือไหว้ผู้มาใหม่ด้วยความนอบน้อม ผู้สูงวัยกว่ายิ้มรับอย่างใจดี ก่อนจะเริ่มพูดธุระกับสิงขร
“งานด่วนมากสิงขร ครูเพิ่งได้รับคำสั่งจากคณบดีมาเมื่อครู่นี้เอง”
“มีอะไรเหรอครับอาจารย์” ถามเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าคู่สนทนาฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“คณะเราต้องต้อนรับทูตอาเซียนจากมหาวิทยาลัยทุกภูมิภาค ครูอยากให้สินขรช่วยจัดเตรียมงานให้พร้อม คิดคอนเซฟงานให้ออกมาดีที่สุด แล้วก็ อย่าลืมเตรียมบทพูดประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยของเรา ต้องให้สอดคล้องกับอาเซียนด้วยนะ”
“กำหนดจัดงานเมื่อไรครับ”
“อีกสองอาทิตย์จ้ะ ฝากด้วยนะสิงขร ครูเชื่อว่าเธอทำได้ มีอะไรปรึกษาครูกับอาจารย์ท่านอื่นๆในคณะได้นะ”
“ครับอาจารย์” หลังจากฝากฝังงานไว้เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ก็เดินคล้อยหลังไป สิงขรถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เฮ่อ ทำไมงานมันเร่งอย่างนี้”
“ใจเย็นๆ นะสิง เครียดหรือเปล่า ไม่ต้องเครียดนะ คิดซะว่า เรามีเวลาอีกตั้งสองอาทิตย์ ไม่ใช่แค่สองอาทิตย์ ถ้ามีอะไรให้เราช่วยก็บอกนะ”
“ขอบคุณมากครับ เรารบกวนปรานมากเลย แค่ปรานเป็นกำลังใจให้เรา ก็ถือว่าปรานช่วยเราแล้ว”
“ไม่เป็นไร เพื่อนกันแท้ๆ”
“ปรานก็ต้องพักผ่อนเยอะๆนะ อย่าโหมงานหนักมาก”
“รับทราบค่ะ ท่านประธาน” หญิงสาวตอบเสียงใส
ก่อนวันจัดงานหนึ่งวัน สิงขรเดินเข้ามาหาปรานรำเพยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ปราน! เรามีข่าวดีจะบอก งานเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ พร้อมทุกอย่าง บทพูดประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยของปรานเยี่ยมมากเลย”
“ดีใจด้วย ในที่สุด สิงก็ทำได้”
“ครับ ก็ได้กำลังใจจากปรานนี่แหละ”
“ดีใจด้วยนะ ที่รักของปราน แค่เห็นสิงมีความสุข ปรานก็ดีใจมากแล้ว ปรานคงไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้ว” เสียงกระซิบแผ่วเบาเพียงในใจ ยากนัก ที่จะเอื้อนเอ่ยออกไปให้เธอได้ยิน
พลันหัวใจเจ้ากรรมก็เจ็บแปลบขึ้นมาอีก และดูเหมือนจะรุนแรงกว่าทุกครั้ง หญิงสาวเอามือทาบบริเวณอกข้างซ้าย ร่างระหงบิดเกลียวด้วยความเจ็บปวดอย่างถึงขีดสุด แต่ไร้ซึ่งเสียงร้องจากปากคนเจ็บ
“ปราน!” ชายหนุ่มเข้าไปประคองร่างบางแนบอก คล้ายจะโอบไว้ทั้งตัว ก่อนที่ขวัญฤทัยและเพื่อนคนอื่นๆจะวิ่งมาถึงตัวปรานรำเพยอย่างตระหนก หญิงสาวซุกหน้าลงกับอกแกร่ง ก่อนที่น้ำตาจะไหลพรั่งพรูอย่างช่วยไม่ได้
“สิง ปราน ปราน กำลัง จะ ตาย”
เสียงขาดช่วงที่เอื้อนเอ่ยออกไป ทำให้ผู้ฟังรู้ว่า ผู้พูดหายใจอย่างยากลำบาก น้ำตาลูกผู้ชายไหลพรากไม่อายใคร เขากระชับวงแขนโอบร่างบางไว้แน่น
“อย่าพูดแบบนี้ ปรานเป็นอะไร บอกเราสิ”
“ปราน มี อะไร จะ บอก สิง”
“หายใจลึกๆ ทำใจดีๆไว้นะปราน สิงจะพาปรานส่งโรงพยาบาล”
“ไม่ต้อง ปราน รู้ตัวเอง ดี ขอ ให้ปราน ได้ พูด ในสิ่งที่ ปราน อยาก พูด เถอะนะ ต่อไปนี้ ไม่มี ปราน แล้ว สิง ต้อง ดูแล ตัวเอง ดีๆ อย่าโหมงาน หนัก มากนะ รู้มั้ย ปราน คง ไม่มี โอกาสได้ ดูแลสิง อีก แล้ว ลาก่อน ที่..ที่รัก ของ ปราน”
เสียงสุดท้ายขาดหายไปพร้อมกับสติที่ดับวูบ ชายหนุ่มร้องไห้กอดร่างหญิงสาวไว้แน่นกว่าเดิม ซกหน้าลงบนไหล่บางของร่างที่นอนแน่นิ่งในวงแขน
“ปราน ไม่ ปราน ตื่นขึ้นมาคุยกับเราก่อนสิ ปราน อย่าทิ้งเราไปแบบนี้ ลืมตาขึ้นมา ได้ยินเรามั้ย”
ขวัญฤทัยเดินเข้ามาสะกิดแผ่นหลังของเพื่อนหนุ่ม “ไม่มีประโยชน์แล้วสิง” กล่าวเสียงเครือน้ำใสๆเริ่มรินไหลผ่านร่องแก้มของผู้พูด
“รถพยาบาลมาหรือยัง ปรานต้องไม่เป็นไร ขวัญ รถพยาบาลล่ะ”
โรงพยาบาล นายแพทย์หนุ่มแลดูภูมิฐาน เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ตรงมาหาเพื่อนของปรานรำเพย
“เพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ เธอปลอดภัยดีใช่มั้ยครับหมอ” สิงขรถามอย่างร้อนรนจนแทบฟังไม่เป็นคำ
นายแพทย์หนุ่มมีสีหน้าเศร้าหมองไปถนัดตา ก่อนจะกล่าวเสียงเศร้า ในตาฉายแววอาลัยอย่างเห็นได้ชัด
“น้องปราน เสียชีวิตแล้วครับ”
เสียงนั้นดูเหมือนจะดังมาจากที่ไกลแสนไกล ความรู้สึกหลายอย่างประเดประดังเข้ามาในใจสิงขร เขาแทบจะล้มทั้งยืน
“คุณสิงขรใช่มั้ยครับ”
นายแพทย์หนุ่มนามเมทัศส่งสายตาเป็นเชิงถาม สิงขรพยักหน้ารับ
“เชิญทางนี้หน่อยครับ”
สิงขรไม่รอช้า รีบเดินตามหมอเมทัศเข้าไปในห้องตรวจ
“เชิญนั่งครับ” นายแพทย์หนุ่มเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน หยิบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งออกมา แล้วส่งมันให้คนตรงหน้า
“นี่คือสมุดบันทึก ที่ปรานเขียนไว้ให้คุณครับ”
สิงขรรับสมุดเล่มเล็ก ติดกระจกสี่เหลี่ยมที่ปกอย่างสวยงามมาถือไว้
“น้องปรานเธอเป็นโรคหัวใจครับ ผมเมทัศ เป็นหมอประจำตัวของน้องปราน พ่อแม่ของเธอฝากให้ผมดูแลเธออย่างใกล้ชิด
ทุกครั้งที่เธอมาตรวจ เธอมักจะมีสีหน้าเศร้า และพูดถึงคุณอยู่เสมอ เมื่อรู้ว่าเวลาของเธอเหลือไม่มาก น้องปรานจึงฝากสมุดบันทึกเล่มนี้ไว้กับผม สั่งว่าให้ผมเอาให้คุณในวันที่เธอจากไปแล้ว”
สิงขรเปิดอ่านบันทึกของปรานรำเพยทันที น้ำตาไหลเรื่อยกระทบแผ่นกระดาษบางเจือน้ำหมึกจากปากกากากเพชร
“ผมรู้ช้าไปจริงๆ กว่าผมจะรู้ เธอ ก็จากผมไปแล้ว จากไป อย่างไม่มีวันกลับ เธอพยายามบอกผมอยู่หลายครั้ง แต่ผมกลับมองข้ามความรู้สึกดีๆของเธอ เธอเปรียบตัวเองเหมือนสายลม ถ้าผมเห็นความสำคัญของลมมากกว่านี้ ลม คงไม่พัดจากผมไปตลอดกาลเช่นนี้ กว่าจะรู้ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ลมเย็นๆพัดผ่านทุกวัน แต่ ผมกลับไม่เห็นแม้เงาของลม เธอคงจะเสียใจมาก เธอคนเดียว ที่อยู่ข้างๆผมมาโดยตลอด ชาตินี้ ผมรักใครไม่ได้อีกแล้ว ปราน ไม่ว่าปรานจะอยู่ที่ไหน สิงอยากให้ปรานรู้ไว้ว่า จะรอสายลมของสิงตลอดไป หากเพียงมีโอกาสอีกครั้ง สิงจะดูแลปรานให้ดีที่สุด ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ภูเขาอย่างผม อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีสายลมอย่างเธอ“
- 👁️ ยอดวิว 345
แสดงความคิดเห็น