ปาฏิหาริย์ซาตาน 7 : มาเยือน (Rewrite)
ดวงไฟกลมโตค่อยๆลอยเด่นขึ้นมาทางทิศตะวันออก แสงสีทองยามอรุณรุ่งกวาดไล่ความมืดให้กับท้องฟ้าวันใหม่ เหล่าสิ่งมีชีวิตมากมายล้วนตื่นจากนิทรา บรรยากาศในค่ายโจรกลับมาครึกครื้นอีกครั้งพร้อมความสดใส
“เช้าแล้วหรือ" เอลลิก้าเอ่ยขึ้นหลังจากเพิ่งตื่นนอน ก่อนจะกวาดสายตาเรื่อยเปื่อยไปทั่วกระโจมพัก "เอ๊ะ ไพร์หายไปนี่" เธอสังเกตว่าเพื่อนสาวคนหนึ่งไม่ได้นอนรวมอยู่ในกระโจมด้วยกัน ด้วยความที่ตื่นนอนแล้ว อยากออกไปรับอากาศยามเช้า และจะออกไปดูว่าเพื่อนหายไปไหน เธอจึงลุกจากฟูกนอนออกมาด้านนอก
“อ้าวไพร์ กำลังฟ้อนขอฝนอยู่หรือ” เดินมาเรื่อยๆ ยังลานกว้างของค่ายโจร เอลลิก้าก็พบกับแวมไพร์ที่กำลังยืนทำกิจกรรมบางอย่างอยู่คนเดียว จึงทักเสียงหวาน ก่อนฝ่ายนั้นจะหันมามอง
“เอล แกตาถั่วมากนะ ฉันกำลังฝึกศิลปะป้องกันตัวคาโปเอล่าอยู่ต่างหาก” แวมไพร์บอกขณะยังทำท่าแต่ละท่าไปเรื่อยๆ
ได้ยินอย่างนั้นเอลลิก้าก็ยิ้มอย่างขำขัน เพราะเธอเพียงต้องการแหย่เพื่อนเล่นเท่านั้น
"มาอยู่นี่เอง ฉันนึกว่าหายไปไหนกัน” อินแชนดี้ที่พึ่งเดินเข้ามาเอ่ยทักสองสาว
“ฟาร์กับดิมล่ะ?" เอลลิก้าถามสำเนียงนุ่มนวลตามประสา เมื่อไม่เห็นเพื่อนอีกสองคนตามมาด้วย อินแชนดี้หัวเราะนิดๆก่อนตอบ
"อย่าถามเลย ตะวันชี้ก้นนั่นแหละมั้งถึงจะตื่นกันน่ะ"
“ตื่นกันแล้วหรือ” แล้วเสียงหนึ่งก็แทรกการสนทนาขึ้น สามสาวจึงพากันหันไปมอง ก่อนจะพบกับอาสต้าร์และพิราเต้เดินถือมีดโค้งมองมาทางพวกเธออยู่ แวมไพร์จึงหยุดการกระทำทุกอย่างลง
“มีอะไรกับพวกเราหรือเปล่า?” อินแชนดี้เป็นฝ่ายถาม
“เปล่า พวกเราเพิ่งตื่น เลยออกมาฝึกดาบสักหน่อย พอดีเจอพวกเธอเข้าก็เลยมาทักทาย” คนตอบเป็นชายหนุ่มตาสีน้ำผึ้ง
เอลลิก้าเห็นหน้าเขาคนนี้ตั้งแต่เมื่อวาน ความรู้สึกคุ้นหน้ายังไงบอกไม่ถูกทำให้เธอสะกิดใจจนต้องจ้องพินิจหน้าเขาดีๆอยู่ครู่
"มีอะไรหรือเปล่า?" พิราเต้หันมาถามพร้อมส่งยิ้มกว้างให้ เมื่อเห็นว่าเอลลิก้าจ้องหน้าเขาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
"เอ่อ..ป..เปล่าค่ะ" เอลลิก้าตัดสินใจปฏิเสธไปก่อน เพราะยังไม่แน่ใจกับความรู้สึกของตนเอง
“พวกเธอควรได้รับการฝึกดาบหรือมีดด้วย เพราะที่นี่ไม่ปลอดภัยพอสำหรับผู้หญิง อีกอย่างทะเลทรายที่นี่มีกฎอยู่” แล้วอาสต้าร์ก็พูดขึ้นบ้าง
“กฎอะไร/กฎอะไรหรือ / กฎอะไรหรือคะ?” แวมไพร์ อินแชนดี้ และเอลลิก้าถามออกมาพร้อมกัน ก่อนจะได้รับสีหน้าเรียบสุขุมของอาสตาร์และสีหน้าอธิบายไม่ถูกของพิราเต้กลับมาเป็นคำตอบ
"เออนี่ ไหนๆเธอก็เคยเป็นทาสไอ้ฮัน ฝากไปเรียกมันที่กระโจมให้พวกเราทีนะ" พิราเต้หันมาพูดกับแวมไพร์
"อือ" คนถูกวานรับปากด้วยสีหน้ายุ่งๆ อุตส่าห์พ้นจากสถานะน่าสมเพชนั้นแล้ว ก็ยังมิวายมีคนใช้เพราะระลึกถึงการเป็นทาสของเธอได้อีก
แวมไพร์เดินดุ่มๆมายังกระโจมที่พักของฮันเตอร์ ก่อนจะเปิดม่านกระโจมเดินเข้าไปอย่างอารมณ์เสีย
"เหอะ เห็นว่าฉันเคยเป็นทาสของไอ้บ้านี่แล้วใช้ให้ฉันมาปลุกเนี่ยนะ" แวมไพร์เดินบ่นเข้ามาในกระโจม ก่อนสายตาจะไปสะดุดกับภาพแผ่นอกกำยำเปลือยเปล่าขาวจั๊วะของเจ้าของกระโจมเข้า
“โอ๊ะ ลาภลูกตาฉันใช่ไหม” แวมไพร์มองดูฮันเตอร์ที่นอนถอดเสื้ออยู่ตาเป็นมัน สองเท้าก้าวตรงเข้าไปหา ก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“เจ้านาย..อุ๊บ” ยังไม่ทันได้ทำอะไร แวมไพร์ก็ถูกมือหนาดันหน้าออกเสียก่อน
“เอาหน้าเธอไปไกลๆ”
“ทำไมล่ะ ฉันไม่สวยหรือ”แวมไพร์ส่งยิ้มยียวนให้ แต่อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขาเพียงเอื้อมมือไปคว้าเสื้อที่พาดอยู่ใกล้ๆมาใส่
“เข้ามาที่นี่ทำไม?” เสียงนิ่งเย็นชาถามขึ้นหลังจากใส่เสื้อเรียบร้อย
“ก็อีตาตาน้ำผึ้งใช้ให้ฉันมาเรียกนายไปลานฝึกน่ะสิ”
“แจ้งข่าวเสร็จแล้ว ก็ออกไปได้แล้ว” เขาไล่ตรงๆ ทว่าสาวแกร่งก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร
"นึกว่าจะให้อยู่ต่อ" เธอลอยหน้าลอยตายิ้มยั่วเขาอีกครั้ง ก่อนจะผละกลับไปหาพวกอินแชนดี้ที่รออยู่กับสองหนุ่ม ณ ลานฝึก
ในกระโจมที่ฟาร์เน่และดิโมล่านอนหลับอยู่ จู่ๆก็มีสายลมโชยเข้ามาทางปากกระโจม ลมเย็นสัมผัสถูกกายทั้งสองคน ทำให้พวกเธอเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ตื่นเต็มตาในทันที
“กรี๊ดๆ! พม่าไล่ พม่าไล่ ช่วยด้วย ปล่อยนะ!” ตุบ เท้าของดิโมล่าถีบเข้ากลางหลังฟาร์เน่ที่นอนอยู่บนฟูกใกล้ๆอย่างแรงจนอีกฝ่ายกลิ้งตกลงมาบนพื้น
“โอ๊ยยย เจบ” ฟาร์เน่ครวญครางขณะยังหลับตาอยู่ แล้วมือก็พยายามไขว่คว้าบางสิ่งบางอย่างเพื่อใช้เกาะดึงตนเองลุกขึ้น
“บ้าชะมัด" โลกูลิสที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่เอ่ยไม่ดังนัก พลางขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่ค่อยชอบใจ
“เฮ้ยไอ้ลิส ช่วยหน่อยสิวะ ผู้หญิงคนนี้จะปีนขาฉันขึ้นมาอยู่แล้ว” เดโวโล่หันไปพูดกับโลกูลิสที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางใช้มือดันหน้าฟาร์เน่ออกจากตัว “เริ่มรู้สึกจั๊กจี้แล้วสิ” ขนของเขาลุกแทบจะทั้งตัวเมื่อมือของฟาร์เน่เริ่มสาวสูงขึ้น
“ช่วยตัวเองเถอะ” โลกูลิสไม่สนใจ
"ให้ได้อย่างนี้สิ" ประชดเสร็จ เดโวโล่ก็ก้มแกะมือฟาร์เน่ออก ก่อนจะค่อยๆอุ้มเธอขึ้นเพื่อจะนำไปไว้บนฟูกตามเดิม
ความรู้สึกเหมือนตัวลอยจากพื้นทำให้ฟาร์เน่เสียววูบ ในขณะเดียวกันก็โล่งใจที่ยังรู้สึกเหมือนมีอะไรรองรับตัวเธออยู่ แล้วเปลือกตาก็เริ่มลืมขึ้น ภาพแรกที่เห็นทำเอาเธอโวยวายทันที
“กรี๊ด! ปลาหมึกดึกดำบรรพ์” ฟาร์เน่ร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อภาพเลือนๆลางๆที่เห็นปรากฏเป็นปลาหมึกในสารคดีที่เธอกลัวที่สุด
"อะฮึ่ม" คนถูกกล่าวหาว่าเป็นปลาหมึกกระแอมท้วงเด็กสาว หน้าตาเทพขนาดนี้เป็นปลาหมึกไปได้ไงกัน ก่อนฟาร์เน่จะรีบขยี้ตาดูใหม่อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
“คราวนี้เป็นเทพบุตรล่ะ” พูดไปหน้าเธอก็ขึ้นสีระเรื่อ ยกมือสองข้างประสานกันบิดตัวเป็นเกลียว
"ค่อยยังชั่วหน่อย" เดโวโล่ค่อยโล่งใจบ้างเมื่อไม่ต้องถูกเด็กสาวตรงหน้ากล่าวหา ว่าเขาเป็นไอ้ตัวประหลาดนั่นอีก
ทางโลกูลิสที่ยืนมองสภาพของเด็กสาวอีกคนอยู่ด้วยสีหน้ายุ่งๆ ตัดสินใจใช้นิ้วสะกิดที่แขนดิโมล่า เพื่อปลุกให้เธอตื่น แต่ร่างบางยังนิ่งไม่รู้สึกตัว เขาจึงเปลี่ยนมาจับแขนเธอเขย่าดูบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา
ตอนนี้ฟาร์เน่ตื่นเต็มตาแล้ว เดโวโล่จึงปล่อยเธอลงยืนบนพื้น ก่อนใบหน้าสวยจะหันไปมองทางเพื่อนสาวบ้าง ก็เห็นชายหนุ่มอีกคนกำลังพยายามปลุกรายนั้นอยู่ แต่เขาใช้ไปหลายวิธีแล้วก็ไม่ได้ผล จึงทักขึ้น
"ฮึๆๆ” ฟาร์เน่เห็นแล้วก็ขำ “ทำแค่นั้นดิมมันไม่ตื่นหรอกค่ะ ต้องใช้ความรุนแรง ไม่ก็เสียงทรงพลังถึงจะปลุกได้" เธอบอกโลกูลิสด้วยความหวังดี
"ใช้กำลังงั้นหรือ?" เขาทวนคำ ก่อนจะคิดอะไรได้ ก็เข้าไปจับแขนดิโมล่าล็อกไว้แล้วออกแรงบิด
"กรี๊ด! ปล่อยๆๆ" ในที่สุดคนขี้เซาก็ตื่นเต็มตาได้สักที ตื่นมาก็ดิ้นวุ่นวายเพื่อให้ตนเองหลุดจากพันธนาการอันเจ็บปวดที่ใครบางคนมอบให้
เมื่อโลกูลิสเห็นว่าเด็กสาวตื่นแล้วก็ปล่อยมือออก ก่อนเดินผละออกมา
"ใครทำ!" ลืมตาลุกขึ้นนั่งได้ก็กวาดตาเอาเรื่องไปทั่วทันที
"หมดธุระแล้ว ขอตัว" พูดแค่นั้น โลกูลิสก็เดินออกกระโจมไปหน้าตาเฉย ไม่สนใจว่าจะทิ้งเพื่อนอยู่กับผู้หญิงสองคนตามลำพังหรือไม่ ก่อนดิโมล่าจะหันมาเค้นเอาคำตอบจากเพื่อนสาวคนเดียวที่เหลืออยู่
"ยัยฟาร์" ดิโมล่าจ้องเขม็งมาอย่างรอคำตอบ
ฟาร์เน่สยองกับท่าทางเอาเรื่องของเพื่อนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมตอบโดยดี เธอแค่ยักไหล่ให้พร้อมแสยะยิ้มสวย
"ไปถามคุณโลหนึ่งมีหลายลิตรดูสิ"
"เพื่อนผม โลกูลิส ครับ ไม่ใช่โลหลายลิตร" เดโวโล่แก้ให้
"หะๆๆ อ้าวหรือคะ เคๆ โลหลายลิตร เอ๊ย โลอะไรลิสๆนะ?"
เดโวโล่เห็นท่าทางต๊องๆแบบนั้นก็ส่ายหัวให้ ก่อนเปลี่ยนเรื่องคุย
"พวกผมมาหาพวกคุณเพราะจะตามไปฝึกดาบ เพื่อนสามคนของพวกคุณรออยู่ที่ลานฝึกแล้วครับ"
"มิน่าล่ะ ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าทำไมเหลือกันแค่นี้ งั้นก็รีบไปกันเถอะ ส่วนอีตาบ้าโลหลายลิตรนั่น ฉันจะไปเช็กบิลล์ทีหลัง" ดิโมล่าที่ดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วหันไปพยักหน้าให้ฟาร์เน่ พลางคาดโทษชายหนุ่มที่กล้ามาบิดแขนเธอไว้ในใจ
“เราจะมาเริ่มกันที่จับคู่ซ้อมกันก่อน ให้พวกเธอเลือกเลขหนึ่งถึงห้ามา ถ้าตรงกับเลขประจำตัวของพวกฉันคนไหนก็จับคู่ซ้อมมือกับคนนั้นไปตลอดการฝึก ซึ่งเลขประจำตัวของพวกฉันจะเลือกจากการโยนลูกเต๋า ถ้าพวกฉันคนใดโยนลูกเต๋าออกแต้มอะไรก็จะได้แต้มนั้นเป็นเลขประจำตัวเลย ถ้ามีการซ้ำกับคนก่อนหน้าจะต้องทอยใหม่”พิราเต้ประกาศเงื่อนไขการจับคู่ฝึกให้พวกเด็กสาวทราบ ก่อนจะเริ่มดำเนินตามขั้นตอนที่บอก กระทั่งได้คู่กันครบจึงเริ่มฝึก
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”เดโวโล่ส่งยิ้มโปรยเสน่ห์มาให้ฟาร์เน่อย่างจงใจ ทำเอาคนมองหน้าขึ้นสีอย่างห้ามไม่อยู่ แววตาแบบนั้น รอยยิ้มแบบนั้น เชื่อว่าใครเห็นก็ต้องใจละลาย ด้วยความที่ฟาร์เน่เป็นคนเก็บอาการไม่มิด จึงต้องหันหลังให้เขาก่อนม้วนตัวไปมาด้วยความเขินสุดขีด
“ดีใจจังเลยที่ได้เป็นคู่เจ้านาย”แวมไพร์แกล้งพูดประจบฮันเตอร์หลังจากทราบผลตัวเลขประจำตัวของเขาแล้ว
“อยากรับใช้ฉันต่อหรือไง”อีกฝ่ายจงใจจี้ใจดำ
“แน่นอนสิคะ รับรองว่าอย่างไอ้ไพร์จะให้เจ้านายได้อาบน้ำเลือดสมใจเลยล่ะ”แวมไพร์ตอบกลับด้วยรังศีอาฆาต
“ฝากตัวด้วย”อินแชนดี้บอกด้วยความกันเอง เมื่อเห็นอาสตาร์ไม่ยอมพูดอะไรนอกจากมองหน้าเฉยๆ
“เช่นกัน”เขาบอกเรียบๆด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ทว่าก็ไม่ได้มีร่องรอยเย็นชาต่อเธอแต่อย่างใด
“ครั้งก่อนเป็นคู่เต้นรำ ไม่คิดว่าคราวนี้จะได้มาเป็นคู่ซ้อมมือกัน”พิราเต้เปิดปากขึ้นก่อน
“คุณ...!”เอลลิก้าตกใจกับคำพูดของเขา ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะพูดมันออกมาในเวลาแบบนี้ ประโยคเมื่อกี้ทำให้ข้อสันนิษฐานในใจเธอถูกไขจนกระจ่างแจ้ง
“อย่าทำให้ฉันเสียเวลาล่ะ”โลกูลิสมองคู่ฝึกของตนเองด้วยสายตาปรามาทเปิดเผย ไม่เชื่อว่าผู้หญิงท่าทางอย่างเธอจะเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาได้
“ฉันต่างหากที่จะต้องพูดคำนี้ นอกจากความรุนแรงหยาบคาย ในหัวนายคงไม่มีอะไรเป็นกุศลกับเขาเลยสินะ” แรงมาก็แรงกลับ ดิโมล่าไม่ยอมให้ใครเสียมารยาทกับเธอโดยไม่จำเป็นแน่นอน
โลกูลิสมองเธออย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิง รับรองได้หักคอตายคามือไปแล้ว
เคร้ง เคร้ง เคร้ง เสียงเพลงดาบฟาดฟันกันระหว่างห้าหัวหน้าจอมโจรทะเลทรายและพวกสาวๆดังไปทั่วลานฝึกซ้อม ทั้งสองฝ่ายรุกรับกันอย่างดุเดือด หลังจากที่ห้าสาวได้รับการสอนวิชาจากห้าหนุ่มมาสองสัปดาห์เต็ม นับว่าเพียงเวลาไม่นานนัก พวกเธอก็ใช้มีดและดาบได้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนศิลปะป้องกันตัว ดูเหมือนทุกคนจะเรียนมาพอสมควรอยู่แล้ว พวกหนุ่มๆจึงเป็นแค่คู่ซ้อมมือให้ตลอดมาเท่านั้น
ในวันนี้ เมื่อจอมโจรทะเลทรายทั้งห้าเห็นว่าฝ่ายเด็กสาวมีฝีมือเป็นที่น่าพอใจมากแล้ว จึงพากันปล่อยให้พวกเธอฝึกต่อกันเองตามลำพัง โดยจะแวะมาดู หรือซ้อมด้วยบ้างเวลาไม่มีอะไรทำจริงๆ ดังนั้น พอได้ฝึกซ้อมกันเอง พวกสาวๆจึงนึกหาเกมอะไรสนุกๆมาเล่นแก้เบื่อ
“เอางี้ละกัน ใครฟันถูกจุดสำคัญได้มากกว่าภายในเวลาก่อนนาฬิกาทรายหมด คนนั้นจะเป็นฝ่ายชนะ ถ้าใครชนะก็จะได้อยู่สู้ต่อกับคนต่อไป ส่วนฝ่ายที่แพ้ก็จะมีคนใหม่เข้ามาแทน” อินแชนดี้บอกเกณฑ์การแข่งขันต่อสู้ที่ตั้งขึ้นเองให้กับเพื่อนสาวทั้งสี่ฟัง
“ใครจะเริ่มก่อนล่ะ?" ดิโมล่าถามขึ้น
"โอวาน้อยออกดีไหม?" ฟาร์เน่เสนอง่ายๆตามประสา
"ก็ดีนะ ไม่ต้องจับสลาก หรือจับไม้สั้นไม้ยาว หาอุปกรณ์ตอนนี้คงจะช้าไป" ดิโมล่าเห็นด้วย ทุกคนเลยตกลงตามนั้น
หลังจากโอวาน้อยออกเสร็จ ผลปรากฏว่าคู่แรก แวมไพร์และเอลลิก้า ต้องออกไปสู้กันก่อน ฝ่ายแวมไพร์ถนัดด้านกีฬาและการต่อสู้อยู่แล้วจึงพร้อมประมือเสมอ หากเอลลิก้าดูกังวลไปบ้าง แต่เมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็เดินตามเพื่อนขาห้าวออกไปกลางลาน
ร่างกายของสองสาวบัดนี้มีเกราะและผ้าหนังหนาเหนียวปกปิดอยู่ตามจุดสำคัญต่างๆบนร่างกาย ซึ่งเป็นการออกแบบชุดโดยดิโมล่า เพื่อป้องกันการถูกคมดาบของอีกฝ่ายต้องร่างให้ได้รับบาดเจ็บหนัก
จากนั้นไม่นานการแข่งขันการต่อสู้ของสองสาวก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีแวมไพร์เป็นฝ่ายรุกเกือบจะทุกครั้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง
“ยังอ่อนไปนะเอล” แวมไพร์บอกเพื่อให้เพื่อนตนพยายามมากขึ้นกว่านี้ เอลลิก้าที่ได้ยินจึงรวมกำลังโต้กลับแรงขึ้น
เคร้ง เคร้ง ทั้งสองฟาดดาบใส่กันดุเดือดขึ้น เอลลิก้าดูจะเป็นฝ่ายตั้งรับซะส่วนมาก เธอพลาดถูกคมดาบของแวมไพร์ที่จุดสำคัญหลายจุดพอควร ถึงอย่างนั้นก็พยายามงัดฝีมือออกมาให้ถึงที่สุด ไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆจนกว่าจะหมดเวลาหรือหมดแรงจริงๆ
#ผู้แต่ง ครองใจ เมตต์พิรุณ & Vampire
#ขอบคุณหัวใจ ของเธอ
#เขียนด้วยหัวใจ เขียนด้วยความสุข เพื่อส่งสุขต่อๆไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 493
แสดงความคิดเห็น