บทที่ 225: ช่วยเหลือมู่ไป๋ไป่
“นี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด” รอยยิ้มของมู่ไป๋ไป่ดูไม่ค่อยสดใสเหมือนที่เคย แต่ท่าทางที่เธอแสดงออกมานั้นกลับแน่วแน่ดูไม่เหมือนคนที่กำลังเสียใจเลยสักนิด “พระองค์ตรัสเองไม่ใช่หรือเพคะ คนของตระกูลมู่ไม่มีวันยอมแพ้ง่าย ๆ”
“ถ้าหม่อมฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง หม่อมฉันก็จะต้องเสียใจทีหลังเหมือนที่พระองค์ตรัสไว้ไม่ใช่หรือ?”
ฮ่องเต้หนานซวนคิดอยากจะลงจากหลังม้า แต่ตอนนี้เขาถูกทหารมรณะล้อมเอาไว้แล้ว ถึงแม้ว่าการอยู่บนหลังม้าจะเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ถ้าเขาลงจากหลังม้าไป เขาไม่มีทางหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไร้เดียงสาเกินไป” จู่ ๆ เด็กหนุ่มก็คว้าตัวเด็กหญิงขึ้นมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทหารมรณะพวกนี้มันก็เหมือนกับหนู พวกมันจะรุมล้อมเข้ามาทันทีที่มันได้กลิ่นเนื้อ”
“และสิ่งที่มันชอบมากที่สุดคงจะเป็นเด็กที่ผิวบาง ๆ และมีเนื้อนุ่มอย่างเช่นเจ้า”
“พระองค์คิดจะทำอะไร!” มู่ไป๋ไป่จ้องอีกฝ่ายเขม็ง “ฮ่องเต้หนานซวน พระองค์คิดว่าการโยนหม่อมฉันลงไปจะสามารถเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมันและหลบหนีไปได้เช่นนั้นหรือ?”
“นั่นคือสิ่งที่ข้าคิดเอาไว้” ผู้เป็นฮ่องเต้พูดเยาะเย้ยแล้วก็โยนคนตัวเล็กออกไป
ขณะที่ร่างของเด็กน้อยลอยอยู่กลางอากาศ เธอก็สาปแช่งฮ่องเต้หนานซวนอยู่ในใจไปต่าง ๆ นานา
เธออยากจะเอาฉายาของเจ้าสัตว์ประหลาดยกให้อีกฝ่ายแทน เพราะมันควรเป็นของเขามากกว่า
นับตั้งแต่ที่เธอทะลุมิติมายังโลกนี้ เธอไม่เคยพบใครที่ชั่วช้าไปกว่าฮ่องเต้หนานซวนอีกแล้ว!
ขณะนั้นกลิ่นซากศพอันรุนแรงได้ลอยเข้ามาในจมูก มู่ไป๋ไป่อยากจะดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่ร่างกายของเธอถูกพันธนาการเอาไว้อย่างหนาแน่น เธอจึงทำได้เพียงหลับตาลงรอคอยความตายอยู่เงียบ ๆ เท่านั้น
ช่างน่าอายยิ่งนัก!
ทั้งที่เธออยากจะทำประโยชน์ให้แก่แคว้นเป่ยหลงแท้ ๆ
แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับแตกต่างไปจากที่เธอคิด แทนที่เธอจะกำจัดฮ่องเต้หนานซวนได้ กลับกลายเป็นว่าตัวเธอจะต้องมาตายไปเสียก่อน
เธอหวังว่าพวกเซียวถังอี้จะไม่หัวเราะเยาะตนทีหลัง
นอกจากนี้ หากชาติหน้ามีจริง เธอก็ยังอยากเกิดเป็นลูกของมู่เทียนฉง เธออยากมีพี่ชาย 2 คนเหมือนในตอนนี้ และเธอก็อยากเลี้ยงเจ้าส้มด้วย…
“...”
“นี่ ทำไมเจ้าดูเหมือนจะอ้วนขึ้นอีกแล้วล่ะ?” เสียงคุ้นเคยพร้อมกับรอยยิ้มที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำลอยเข้ามาในหัวของมู่ไป๋ไป่ จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังตกอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น
“เจ้าจะมัวแต่หลับตาอยู่ทำไมอีก?” เซียวถังอี้มองเด็กน้อยหน้าซีดเซียวในอ้อมแขนพลางเลิกคิ้วขึ้น “มีวันที่เจ้ารู้สึกกลัวเป็นด้วยหรือ?”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินคำพูดเยาะเย้ยอันแสนคุ้นเคยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วเธอก็เห็นแสงแดดที่สะท้อนกับหน้ากากสีเงิน “เซียวถังอี้…”
“อะไรกัน เจ้ากลัวจนความจำเสื่อมไปแล้วหรือ?” เด็กหนุ่มหลบการโจมตีของทหารมรณะ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าโดยมีเด็กหญิงอยู่ในอ้อมแขน “เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?”
“เซียวถังอี้!” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ฮือ ๆๆ เป็นท่านจริง ๆ ด้วย!”
เด็กหนุ่มตกใจกับท่าทีของเจ้าตัวเล็ก ทำให้ใบหน้าหล่อ ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงินแสดงออกถึงความสับสน “เจ้าจะร้องไห้ทำไม! เมื่อกี้ยังอวดเก่งอยู่เลยไม่ใช่หรือ?”
ในขณะที่เขาช่วยเด็กหญิงปลดเชือกที่พันธนาการตัวนางเอาไว้ เขาก็สั่งสอนคนตัวเล็กไปด้วย “เลิกร้องได้แล้ว! ร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์!”
ทางด้านมู่ไป๋ไป่ไม่สนใจอีกฝ่าย หลังจากที่เขาแก้มัดให้เธอเรียบร้อยแล้ว เธอก็ร้องไห้หนักขึ้นไปอีก “โฮฮฮ! ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่! ฮือ ๆๆ เมื่อกี้ข้าเกือบตายแล้ว!”
ยามนี้เด็กหญิงเกาะอยู่บนตัวของเซียวถังอี้เหมือนลิงขณะร้องโอดครวญว่า “ฮ่องเต้หนานซวนคิดจะโยนข้าให้สัตว์ประหลาดพวกนั้นกิน”
“เขายังบอกว่าทหารมรณะชอบกินเด็กที่เนื้อนุ่ม ๆ เหมือนข้า”
“...” เซียวถังอี้เหลือบมองฮ่องเต้หนานซวนที่ถูกอวี้ฉีคุมตัวเอาไว้ไม่ไกล ก่อนจะเอ่ยปากว่า “เขาโกหกเจ้า คนพวกนั้นไม่กินเจ้าหรอก”
“แต่มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี!” มู่ไป๋ไป่หลับตาเถียงคอเป็นเอ็น “ฮือ ๆๆ ข้ากลัวแทบตายแน่ะ!”
“องค์หญิงหก…” อวี้ฉีที่อยู่ด้านข้างทนฟังเสียงโหยหวนต่อไปอีกไม่ไหวจึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าเลิกโวยวายก่อนเถอะ ข้าปวดหูไปหมดแล้ว”
เซียวถังอี้ที่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ และออกคำสั่งให้ทหารพาตัวมู่ไป๋ไป่กลับไปที่ค่ายทหาร
ครั้งนี้ต้องขอบคุณองค์หญิงหก ฮ่องเต้หนานซวนจึงถูกพวกเขาจับกุมเอาไว้ได้ จากนั้นกองทัพของหนานซวนก็ไม่กล้ารุกรานเป่ยหลงอีกต่อไป ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดทำศึกกันชั่วคราว
เมื่อมู่จวินฝาน มู่จวินเซิ่ง และคนอื่น ๆ ได้รับข่าวว่ามู่ไป๋ไป่กลับมาอย่างปลอดภัย พวกเขาก็ดีใจมากแล้วออกไปรอต้อนรับเธอทันที
ปัจจุบันมู่ไป๋ไป่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว แต่พอได้เห็นหน้าพี่ชายทั้ง 2 เธอก็เริ่มเบะปากร้องไห้อีกครั้ง
“ฮือ ๆๆ ท่านพี่รัชทายาท ข้าคิดถึงท่านมากเลย ทำไมท่านถึงได้ผอมลงขนาดนี้?” เด็กหญิงกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของพี่ชายคนโต ก่อนจะมองดูใบหน้าซีดเซียวและแก้มตอบของอีกฝ่ายด้วยความเสียใจ “ท่านไม่ได้ดูแลตัวเองให้ดีหรือ ท่านกินข้าวบ้างหรือไม่?”
มู่จวินฝานตบไหล่เล็ก ๆ ของน้องสาวเพื่อเป็นการปลอบนางเบา ๆ พลางตอบว่า “พี่กินข้าวปกติ พี่ไม่ได้ผอมลงเลย เจ้าคิดมากไปเอง”
“น้องเล็ก ฮ่องเต้หนานซวนรังแกเจ้าหรือไม่?” มู่จวินเซิ่งเดินวนรอบตัวมองสำรวจเด็กน้อยก่อนจะรู้สึกโล่งใจหลังจากเห็นว่าอีกคนไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังเอ่ยปากถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง “เขาทำร้ายเจ้าหรือไม่?”
“ดูหน้ากลม ๆ ของนางสิ นางเหมือนคนถูกทารุณหรือไม่?” อวี้ฉีพูดแทรกขึ้นมา
มู่ไป๋ไป่ปาดน้ำตาออกจากดวงตา และกำลังจะโต้กลับเมื่อเห็นคนให้ร้ายเธอยืนอยู่ไม่ไกล
“องค์หญิง!” ในตอนนั้นเอง หลัวเซียวเซียวได้ยินว่าองค์หญิงหกกลับมาแล้ว นางจึงไม่อาจทนรอเฉยแล้ววิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
เด็กหญิงหลั่งน้ำตาทันทีที่เห็นมู่ไป๋ไป่
นับตั้งแต่ที่นางออกจากตระกูลหลัว นางกับองค์หญิงหกก็ตัวติดกันตลอดเวลา นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 2 แยกจากกันนานที่สุด
พอมู่ไป๋ไป่ถูกจับตัวไป หลัวเซียวเซียวก็ลงโทษตนเองด้วยการขังตัวไว้ในกระโจมโดยที่ไม่ให้ใครเห็นหน้า ต่อมามู่จวินเซิ่งตื่นขึ้นมากลางดึกและพบว่านางหายตัวไป เขาจึงรู้ได้ทันทีว่านางแอบเดินทางข้ามทะเลทรายมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารหนานซวนเพื่อช่วยคน
เขาจึงไล่ตามเด็กหญิงไปและพบนางเป็นลมอยู่กลางทะเลทรายไม่ไกลจากกองทัพเป่ยหลง
หลังจากนั้นเขาก็สั่งให้คนคอยจับตาดูหลัวเซียวเซียวตลอดเวลาเพื่อไม่ให้นางทำอะไรโง่ ๆ อีก
“เซียวเซียว!” มู่ไป๋ไป่รู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อที่ได้พบหน้าสหายตัวน้อย แล้วเด็กทั้ง 2 ก็กอดกันร้องไห้ “ฮือ ๆๆ เซียวเซียว เจ้าผอมลงมากเลย”
“องค์หญิง พระองค์ก็เช่น—” เดิมทีหลัวเซียวเซียวอยากจะบอกว่าอีกฝ่ายก็ผอมลงเช่นกัน แต่พอนางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้ากลมมนกว่าเดิมของเจ้าตัว นางก็พูดคำนั้นไม่ออก
“เอาล่ะ ๆ เลิกพูดถึงเรื่องเก่า ๆ แล้วเข้าไปข้างในกันดีกว่า” เซียวถังอี้ถกแขนเสื้อขึ้นแล้วยืนมองอยู่นาน ก่อนจะพูดขัดขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชา “ถ้าพวกเจ้าเอาแต่คุยกันอยู่ตรงนี้ ข้าคิดว่าคงจะตัวแห้งกันไปเสียก่อน”
“ใช่ เราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ” มู่ไป๋ไป่พยักได้เห็นด้วย “ท่านพี่รัชทายาท รีบเข้ามาเร็วเข้า ท่านอย่าเดินกลางแดดนาน ๆ”
ขณะเดียวกัน เซียวถังอี้เหลือบมองเจ้าตัวเล็กจากหางตา
ซึ่งการกระทำนั้นเด็กหญิงไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะสุดท้ายแล้วเธอที่ได้กลับมาก็รู้สึกดีใจมากที่ได้พบทุกคนอีกครั้งจนลืมความรู้สึกก่อนหน้านี้ไปโดยสิ้นเชิง
ปัจจุบันแม้ว่าแคว้นหนานซวนกับเป่ยหลงจะสงบศึกกันชั่วคราว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าสงครามจะสิ้นสุดลง มู่จวินเซิ่งยังคงยุ่งอยู่กับกิจการทหารจึงรั้งอยู่ได้ไม่นาน เขาพูดคุยกับมู่ไป๋ไป่สักพักก็ออกไปพร้อมกับกุนซือรวมถึงรองแม่ทัพทั้งหลาย
ส่วนเซียวถังอี้ เขาได้มอบตราพยัคฆ์ให้อีกฝ่ายไปแล้วจึงไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในกองทัพได้อีก เขาจึงนั่งอยู่ในกระโจมขององค์รัชทายาทและฟัง 2 พี่น้องพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
มู่จวินฝานถามมู่ไป๋ไป่เกี่ยวกับสิ่งที่นางพบในค่ายทหารของหนานซวน แล้วน้องสาวก็เล่าทุกอย่างที่ได้เห็นได้ยินทั้งหมดโดยไม่ปิดบังใด ๆ
ซึ่งเธอก็บอกเล่าแผนการอันโหดร้ายออกมาด้วยอารมณ์ที่ขบขัน ทำให้ผู้เป็นพี่ใหญ่หัวเราะออกมาแบบที่หาได้ยากยิ่ง
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยน้องจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเขาคนนี้!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 60
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น