บทที่ 224: ตายตกไปตามกัน

-A A +A

บทที่ 224: ตายตกไปตามกัน

“จริงหรือ?” ฮ่องเต้หนานซวนหัวเราะเยาะ “ข้าไม่คิดอย่างนั้น”

มู่ไป๋ไป่ตกใจกับท่าทีของอีกฝ่ายมาก เธอคิดว่าฮ่องเต้หนานซวนจะถูกหลอกได้ง่ายเหมือนก่อน แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเป็นเธอต่างหากที่ถูกคนอื่นหลอกได้ง่ายมาก

ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ชายคนนี้คอยแสดงละครต่อหน้าเธอมาตลอด

“ส่งทหารมรณะออกไป” ฮ่องเต้หนานซวนยังคงสั่งให้คนของตนดำเนินการต่อ “ตราบใดที่ชาวเป่ยหลงไม่ยอมแพ้ ก็ปล่อยให้ทหารมรณะสังหารทุกคนไปเรื่อย ๆ”

“อีกครึ่งชั่วยามให้หลัง เราจะเอาหัวขององค์หญิงหกไปให้พวกมัน”

ขณะเดียวกัน ในค่ายทหารของแคว้นเป่ยหลง

 “มีบางอย่างเกิดขึ้นที่หนานซวน!” เมื่ออวี้เซิ่งได้ยินเสียงกลองศึก เขาก็ลุกขึ้นยืนทันที “เซียวถังอี้ ท่านไม่ได้บอกหรือว่าถ้าเราแกล้งแพ้ สถานการณ์ก็จะพลิกผัน?”

“แล้วไหนล่ะที่ว่าพลิกผัน?”

“เหตุใดหนานซวนจึงส่งกองกำลังออกมาอีกแล้ว?”

ปัจจุบันอวี้เซิ่งกำลังสวมชุดเกราะสีเงิน ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาซ่อนอยู่ใต้หมวกเหล็ก ทำให้เขาดูดุดันยิ่งกว่าปกติ

เพื่อลดอัตราการบาดเจ็บล้มตายของทหาร คนที่เข้าร่วมการต่อสู้ในวันนี้ล้วนเป็นคนที่มีวรยุทธสูง

มันจึงเป็นเรื่องปกติที่อวี้เซิ่งซึ่งเป็นนักฆ่าฝีมือดีที่สุดในเป่ยหลงจะต้องเข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วย

ชายหนุ่มยืนกุมหน้าท้องที่ถูกทหารมรณะทำร้ายก่อนหน้านี้

คนพวกนั้นไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว กรงเล็บของพวกมันจึงแข็งแกร่งมากจนสามารถตัดเกราะได้

หากเขาไม่ว่องไวมากพอ เขาอาจจะถูกล้วงไส้ออกมาเลยด้วยซ้ำ

“เสด็จอา…” มู่จวินเซิ่งที่มีรอยเปื้อนเลือดบนใบหน้าถามขึ้นมา “ก่อนหน้านี้พระองค์บอกว่าพระองค์ได้เตรียมการอื่น ๆ เอาไว้ด้วย พระองค์ช่วยบอกเราได้หรือไม่ว่าแผนการนั้นคืออะไรกันแน่?”

“เช่นนี้เราจะสามารถร่วมมือกับเสด็จอาได้ง่ายขึ้น”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” ทหารคนอื่น ๆ เห็นด้วยจึงเอ่ยปากตาม ๆ กัน “ตอนนี้หนานซวนได้ส่งทหารบ้าคลั่งออกมาแล้ว หากพวกมันส่งแม่ทัพจ้าวออกมาด้วย กองทัพของเราก็จะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย”

ทันใดนั้นเซียวถังอี้ที่เงียบมาตลอดก็ลุกขึ้นยืน โดยที่ดวงตาดุจเหยี่ยวภายใต้หน้ากากสีเงินเต็มไปด้วยความเย็นชา ทำให้ทุกคนหุบปากลงโดยไม่รู้ตัว

“จวินเซิ่ง” เด็กหนุ่มเอ่ยปากพร้อมกับโยนตราพยัคฆ์ไปให้อีกฝ่าย “ต่อไปเจ้าจะเป็นผู้นำกองทัพ”

“เสด็จอา!” มู่จวินเซิ่งตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายมาก “พระองค์คิดจะทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”

หลังจากการประชุมหารือครั้งก่อน ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเซียวถังอี้จะเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมกองทัพแทนแม่ทัพจ้าวชั่วคราว

“มีเรื่องเกิดขึ้นแล้ว” เจ้าของหน้ากากเงินโบกมือ “เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าอย่าเผชิญหน้ากับคนที่ถูกพิษพวกนั้นและพยายามยื้อเวลาไว้”

หลังจากที่เขากำชับเสร็จแล้ว เขาก็พุ่งออกไปทันที

ทิ้งไว้ให้ผู้คนทำหน้ามึนงงอยู่ด้านหลัง

“ไม่สิ นี่เขาหมายความว่าอย่างไร?!” อวี้เซิ่งตบโต๊ะเสียงดัง แต่การกระทำดังกล่าวก็กระทบกระเทือนไปถึงบาดแผลที่บริเวณหน้าท้อง ส่งผลให้เขาทำหน้าเหยเก “ที่ผ่านมาเซียวถังอี้คนนี้เอาชีวิตรอดมาได้อย่างไรกัน”

“ท่านอ๋องเป็นเหมือนเทพสงครามที่มีกองกำลังของตัวเอง เขาจะต้องเตรียมการบางอย่างเอาไว้แล้วแน่นอน” รองแม่ทัพคนหนึ่งคิดอยู่สักครู่แล้วให้ความมั่นใจกับทุกคน “ในเมื่อท่านอ๋องสั่งให้เรายื้อเวลาเอาไว้สักระยะหนึ่ง เราก็จะทำตามที่ท่านอ๋องสั่ง”

“ต่อไปเราจะทำตามแผนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ คุณชายอวี้ ท่านยังต่อสู้ไหวหรือไม่ขอรับ?”

“ฮ่า ๆๆ นี่เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่อย่างนั้นหรือ?” อวี้เซิ่งยิ้มเยาะ “ข้าเพิ่งฆ่าคนตายไปได้ไม่กี่คน จำนวนเพียงเท่านี้ไม่คณามือข้าสักเท่าไหร่หรอก” 

หลังจากพูดจบเขาก็หยิบดาบที่ยืมมาชั่วคราวแล้วเดินออกไปจากกระโจม

อย่างไรก็ตาม เขาเดินไปได้ไม่ไกลนักก็ถูกอวี้ฉีขวางเอาไว้

เมื่อเทียบกับตัวเขาแล้ว อีกฝ่ายดูสะอาดสะอ้านมาก

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” อวี้เซิ่งขมวดคิ้วถาม “ยามศึกสงครามที่วุ่นวายนี้ข้าไม่มีเวลามาโต้เถียงกับเจ้าหรอกนะ หากเจ้าอยากจะหาเรื่องทะเลาะก็รอจนกว่าข้าจะกลับมา— นี่! ส่งมันคืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบ อวี้ฉีก็คว้าดาบจากมือของอีกฝ่ายมา ก่อนจะแค่นเสียงในลำคอ “เฮอะ ดูสภาพของท่านเสียก่อน นี่ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไรถึงคิดจะไปรบอยู่อีก?”

“สภาพข้าเป็นอย่างไร?” อวี้เซิ่งรู้สภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก “ข้าไม่เป็นไร ถ้าเจ้ามีเวลามากังวลเรื่องข้า เจ้าก็ไปทำอะไรที่มีประโยชน์เถอะ อย่าคอยแต่สร้างปัญหาอยู่ที่นี่”

“ไม่เป็นไรหรือ?” อวี้ฉีเหลือบมองหน้าท้องของคนตรงหน้า “ท่านคิดว่าข้าตาบอดเหมือนคนพวกนั้นหรือ? ถ้าท่านได้รับบาดเจ็บก็ให้แม่นางเจียงทำแผลให้ท่านซะ”  

สิ้นเสียงพูด ชายหนุ่มก็หันหลังเดินออกไป

อวี้เซิ่งยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ก่อนที่เขาจะรู้ว่าน้องชายต้องการจะบอกอะไร เขาก็เร่งฝีเท้าเดินตามไปทันที “เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าในชีวิตนี้จะไม่รับใช้ฝ่าบาท?”

แล้วเขาก็ได้ยินเสียงที่แสดงถึงความรังเกียจของอีกคนดังมาจากระยะไกล

“ใครบอกว่าข้ากำลังรับใช้ฝ่าบาท? ข้าทนไม่ไหวที่ต้องมาเห็นพี่ชายโง่ ๆ ตายเปล่าแบบนี้ต่างหาก!”

พออวี้ฉีพูดจบ เขาก็หายไปต่อหน้าต่อตา

“เจ้าน่ะสิโง่…” อวี้เซิ่งพยายามกลั้นยิ้ม แต่ก็ไม่อาจฝืนได้ “เจ้าคนโง่ เจ้าต้องรอดชีวิตกลับมาให้ได้ พี่ชายของเจ้าอุตส่าห์ใช้ความพยายามไปมากมายในการตามหาเจ้า…”

ปัจจุบันกลุ่มทหารมรณะของหนานซวนนั้นเป็นเหมือนกลุ่มสัตว์ประหลาด พวกมันไม่รู้สึกเจ็บปวด แถมร่างกายก็ยังแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า ทำให้พวกมันเป็นอาวุธสังหารที่ร้ายแรงที่สุดในขณะนี้

เมื่อเปรียบเทียบกับพวกมันแล้ว ฝั่งทหารของเป่ยหลงกลับอ่อนแอมาก

ในเวลาเดียวกัน ฮ่องเต้หนานซวนได้พาตัวมู่ไป๋ไป่ไปที่แนวหน้าของการสู้รบเพื่อให้นางได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าทหารของเป่ยหลงพ่ายแพ้ให้กับทหารมรณะของหนานซวนอย่างไร

เด็กหญิงไม่เคยเห็นสงครามกับตาในระยะใกล้เช่นนี้มาก่อน เธอรู้สึกอึดอัดมากทันทีที่คิดว่าเหล่าทหารของเป่ยหลงจะถูกสังหารไปจนสิ้นเพราะเธอ

“พระองค์มีโอกาสชนะอยู่แล้ว เหตุใดพระองค์ถึงทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้อีก!” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ฮ่องเต้หนานซวน พระองค์ต้องการอะไรกันแน่?”

“มีโอกาสชนะหรือ?” เด็กหนุ่มกล่าวพลางส่ายหัวช้า ๆ “ข้าไม่คิดเช่นนั้น คนที่เป็นผู้นำทัพที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคือเซียวถังอี้”

“เสด็จพ่อของข้าต้องตายด้วยน้ำมือของเขา”

“ตอนนั้นเขาอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น”

“เสด็จพ่อเคยบอกเอาไว้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นเทพสงครามที่กลับชาติมาเกิด ดังนั้นข้าอยากจะเห็นกับตาว่าเทพสงครามที่ปลิดชีวิตเสด็จพ่อของข้านั้นทรงพลังเพียงใด”

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะยอมแพ้โดยง่าย”

มู่ไป๋ไป่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ด้วยกันการกัดริมฝีปากไว้แน่น ผู้ชายคนนี้เป็นเพียงคนบ้าคนหนึ่งเท่านั้น

เดิมทีเธอต้องการจะช่วยทุกคน แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเธอได้กลายเป็นจุดอ่อนให้ฮ่องเต้หนานซวนใช้ข่มขู่เป่ยหลง

ยิ่งเธอคิดว่าต้องมีผู้คนจำนวนมากต้องมาตายเพราะเธอ มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น

ตั้งแต่ที่ได้ทะลุมิติมายังโลกนี้ เธอไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยสักวัน 

เธอมีทั้งพ่อ แม่ พี่ชายที่รักเธอมาก แถมยังมีสหายมากมายคอยอยู่เคียงข้าง

น่าเสียดายที่เธออาจจะไม่สามารถบอกลาพวกเขาได้ก่อนที่จะลาจากกัน

มู่ไป๋ไป่ค่อย ๆ หลับตาลงช้า ๆ ในขณะที่หัวใจของเธอเริ่มสงบลง

ฮ่องเต้หนานซวนพูดถูก ในฐานะคนของตระกูลมู่ เธอจะไม่มีวันยอมแพ้ง่าย ๆ

แม้ว่าเธอจะต้องตาย เธอก็จะไม่ยอมให้เขาใช้เธอเป็นเครื่องมือควบคุมเป่ยหลงเด็ดขาด!

“เจ้าม้า! วิ่ง!” คนตัวเล็กตะโกนเสียงดัง “วิ่งไปฝั่งตรงข้าม!”

ม้าตัวที่เธอถูกจับวางพาดไว้บนตักของฮ่องเต้หนานซวนวิ่งพุ่งออกไปข้างหน้าภายใต้สายตาประหลาดใจของทุกคน และมันก็วิ่งตื่นตระหนกไปที่ใจกลางของสนามรบ

“อะไรกัน เกิดอะไรขึ้น! รีบตามไปเร็วเข้า!” พวกแม่ทัพหลี่ที่เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกรีบวิ่งไล่ตามทั้ง 2 ไป

อย่างไรก็ตาม ม้าของเด็กหญิงวิ่งเร็วมากจนไปถึงใจกลางสนามรบภายในไม่กี่อึดใจ

ทหารมรณะถึงแม้จะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่มันก็ไม่มีความนึกคิด มันโจมตีโดยไม่แยกแยะว่าใครจะเป็นมิตรหรือศัตรู ดังนั้นหอกเงินอาบยาพิษของพวกมันจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทางมู่ไป๋ไป่กับฮ่องเต้หนานซวน

“นี่เจ้าคิดจะตายไปพร้อมกับข้าอย่างนั้นหรือ?” บัดนี้เด็กหนุ่มพยายามคุมบังเหียนด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.