บทที่ 223: ตกหลุมพราง

-A A +A

บทที่ 223: ตกหลุมพราง

นั่นมันชางหลาน!

อารมณ์ของมู่ไป๋ไป่เริ่มสั่นไหวทันทีที่เห็นเหยี่ยวของเซียวถังอี้ ในขณะที่มือน้อย ๆ ของเธอกำอาหารแห้งแน่นขึ้น

ก่อนหน้านี้เธอขอให้เจ้าส้มส่งข่าวไปให้เจ้าสัตว์ประหลาด ในเวลานั้นเขาตอบกลับเธอมาว่า หากถึงเวลาเขาจะส่งสัญญาณให้เธอ

 ดูเหมือนว่าชางหลานจะเป็นสัญญาณที่ว่า

มู่ไป๋ไป่เงยหน้ามองเหยี่ยวตัวใหญ่ที่บินอยู่บนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูก

 “มีอะไรหรือ?” เมื่อฮ่องเต้หนานซวนสังเกตเห็นสายตาของคนตัวเล็ก เขาก็เงยหน้าขึ้น “เจ้ากำลังดูอะไรอยู่หรือ?” 

 “ไม่มีอะไรเพคะ!” เด็กหญิงรีบมองไปทางอื่นแล้วส่ายหัวตอบนิ่ง ๆ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ “หม่อมฉันแค่คิดว่าวันนี้เมฆดูหนาผิดปกติคล้ายกับว่าฝนกำลังจะตก” 

 “หม่อมฉันกลัวว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อพวกเราในภายหลัง” 

เด็กหนุ่มหรี่ตาลงพลางกล่าวว่า “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะดูสภาพอากาศเป็นด้วย มู่เทียนฉงสอนอะไรเจ้ามาอีกบ้าง?” 

 “ท่าน— มู่เทียนฉงไม่ได้สอนอะไรหม่อมฉันเลยเพคะ หม่อมฉันเรียนรู้ทั้งหมดด้วยตัวเองจากการอ่านตำรา” มู่ไป๋ไป่ลูบปลายจมูกแล้วตอบตามความจริง

ในฐานะนักเรียนดีเด่นแห่งศตวรรษที่ 20 เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เธอย่อมรู้อยู่แล้ว

 “จริงหรือ?” ฮ่องเต้หนานซวนเหลือบมองคนข้าง ๆ อย่างครุ่นคิดแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

มู่ไป๋ไป่กลัวว่าเขาจะสงสัยเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองชางหลานอีก จากนั้นเธอก็รีบกินอาหารให้หมดและเตรียมการที่จะจับอีกฝ่าย

ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการจะบอกเจ้าส้ม ‘หัวหน้าโจร’ ที่เธอหมายถึงก็คือเขา

ขอเพียงเธอจับฮ่องเต้หนานซวนได้ เธอย่อมสั่งให้กองทัพหนานซวนล่าถอยออกไปได้ และหยุดยั้งสงครามในครั้งนี้

เธอได้บอกแผนการดังกล่าวให้กับเซียวถังอี้และขอให้เขาร่วมมือแสดงละครเพื่อให้ฮ่องเต้หนานซวนผ่อนคลายการเฝ้าระวังลงก่อน จากนั้นเธอจะลงมือในเวลาที่เหมาะสม

ซึ่งมันก็คือเวลานี้!

 “สุรานี้รสชาติดีหรือไม่เพคะ?” มู่ไป๋ไป่เอ่ยถามขณะแอบกำแส้ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของตัวเองแน่น

 “หืม? เจ้าอยากดื่มหรือ?” เด็กหนุ่มถามพลางแกว่งจอกสุราเบา ๆ อาจเป็นเพราะเขากำลังมีความสุขที่การต่อสู้ในครั้งแรกชนะ เขาจึงกวักมือเรียกเด็กหญิงให้เข้ามาหาตน “ดีเหมือนกัน ไม่มีใครดื่มเป็นเพื่อนข้าเลย เจ้าลองชิมดูสักอึกสิ” 

 “เพคะ!” คนตัวเล็กพยักหน้าทันที แล้วเธอก็ลงจากรถม้าของตัวเองไปยังรถม้าของอีกฝ่ายโดยที่ไม่แสดงท่าทีลังเลใด ๆ

ผู้คนรอบกายฮ่องเต้หนานซวนคุ้นเคยกับพฤติกรรมขององค์หญิงหกอยู่แล้ว และเนื่องจากครั้งนี้ฝ่าบาทเป็นคนเอ่ยปากเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้ามาขวางเธอ

พอไปถึงมู่ไป๋ไป่ก็รับจอกสุราขึ้นมาจิบ แล้วรสชาติเผ็ดร้อนก็แพร่กระจายตั้งแต่ปลายลิ้นไปจนถึงลำคอในทันใด

 “มันเผ็ดมากเลยเพคะ!” เธอโพล่งขึ้นมาหน้าตาตื่น 

เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กหญิงแดงขึ้น เขาก็หัวเราะอย่างมีความสุข “นี่เป็นสุราที่แรงที่สุดในแคว้นหนานซวน แน่นอนว่ามันจะต้องมีรสร้อนแรง” 

 “แต่รสชาติไม่เลวเลยเพคะ” มู่ไป๋ไป่รอให้ความแสบร้อนในปากหายไป ก่อนจะยกจอกสุราถวายชายตรงหน้าอย่างเคร่งขรึม “จอกนี้หม่อมฉันขอคารวะพระองค์ ฮ่องเต้หนานซวน ขอบพระทัยที่พระองค์คอยดูแลหม่อมฉันมาตลอด” 

แม้ว่าเธอจะถูกจับเป็นตัวประกัน แต่คนผู้นี้ก็ดูแลเธอดีมาตลอด

เธอควรจะขอบคุณเขาในเรื่องนี้

 “เพียงแค่เรื่องเล็กน้อย” ฮ่องเต้หนานซวนยกมือขึ้นชนจอกสุรากับอีกคน แล้วเสียงหยกขาวกระทบกันก็ดังชัดเจนขึ้นในสนามรบ “ในโลกนี้พวกเราเป็นเพียงคนที่ถูกทอดทิ้ง” 

มู่ไป๋ไป่ยกจอกสุราขึ้นดื่มในอึกเดียว ความแสบร้อนค่อย ๆ ไหลจากปลายลิ้นสู่ลำคอ และลงไปในท้องของเธอ นั่นทำให้ทั่วทั้งร่างกายเธอเหมือนมีไฟลุกวูบวาบ มันให้ความรู้สึกทั้งอบอุ่นและตื่นเต้นทีเดียว

จากนั้นเธอก็วางจอกสุราลงแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ฮ่องเต้หนานซวน หม่อมฉันคงต้องเสียมารยาทแล้ว” 

ชั่วอึดใจนั้นเด็กหญิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กว่าที่ราชองครักษ์ของฝ่ายตรงข้ามจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น แส้สีดำก็พันอยู่รอบคอของเขาแล้ว

 “ฝ่าบาท!” 

 “องค์หญิงหกของเป่ยหลงคิดจะลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท!” 

 “แม่ทัพหลี่ รีบมาช่วยฝ่าบาทเร็วเข้า!” 

แล้วตั้งแต่นั้นเบื้องหลังกองทัพหนานซวนก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย

มู่ไป๋ไป่มองแม่ทัพหลี่และผู้คนที่มารวมตัวกันด้วยท่าทีสงบมาก เธอรู้เพียงว่าตราบใดที่ฮ่องเต้หนานซวนยังอยู่ในมือเธอ คนของแคว้นหนานซวนก็ไม่กล้าทำอะไรเธอแน่นอน

 “หยุดนะ!” เด็กหญิงเตือนเสียงแหลม “แม่ทัพหลี่ หากท่านก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” 

บัดนี้แส้สีดำที่รัดคอของฮ่องเต้หนานซวนถูกรั้งไปด้านหลังแน่นขึ้น

 “อย่านะ!” ชายชราร้องห้ามพร้อมกับที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด “มู่ไป๋ไป่ ฝ่าบาทของเราไม่ดีต่อพระองค์หรือ เหตุใดพระองค์ถึงได้โหดร้ายถึงเพียงนี้?” 

 “โหดร้ายเช่นนั้นหรือ? เรื่องนี้ข้าเทียบท่านไม่ได้หรอก” มู่ไป๋ไป่กล่าวเสียงเข้มพลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม “ท่านเอาคนเป็น ๆ มาทดลองแมลงกู่และสร้างกองทหารมรณะขึ้นมา แล้วไหนจะมีผู้คนอีกหลายชีวิตที่ต้องตายในจวนตระกูลจินของเมืองชิงหยางอีก” 

 “มิหนำซ้ำยังมีสัตว์บริสุทธิ์มากมายที่ต้องมาเดือดร้อน” 

 “บัญชีนี้ท่านจะชำระคืนอย่างไร?” 

 “ไร้สาระ!” แม่ทัพหลี่โต้เถียงขณะเหลือบมองนายเหนือหัวอย่างเป็นกังวล “พวกเราชาวหนานซวนไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน มู่ไป๋ไป่ พระองค์อย่าได้คิดจะมาใส่ร้ายป้ายสีกันเช่นนี้” 

 “เรื่องพวกนี้ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจ” มู่ไป๋ไป่ไม่อยากเสียเวลาพูดไร้สาระกับพวกเขาอีก “หากท่านไม่ต้องการให้ฝ่าบาทของท่านต้องสิ้นพระชนม์ จงถอนกำลังทหารออกไปทันที!” 

 “ไม่ได้!” ชายสูงวัยตอบโดยไม่ต้องคิด “เป่ยหลงพ่ายแพ้แล้ว มู่ไป๋ไป่ มันไม่มีประโยชน์ที่พระองค์จะทำเช่นนี้” 

 “นอกจากนี้ พระองค์ลืมไปแล้วหรือว่าคนของเป่ยหลงทอดทิ้งพระองค์แล้ว?” 

 “ถึงแม้ว่าพระองค์จะทำเช่นนี้ พระองค์ก็ไม่สามารถกลับไปยังเป่ยหลงได้อยู่ดี” 

 “ข้าไม่ขอรบกวนให้แม่ทัพหลี่ต้องมาเป็นกังวลเรื่องของข้า” มู่ไป๋ไป่กระชับแส้ในมือตัวเองและหลับตาลง “ฮ่องเต้หนานซวน รบกวนพระองค์ออกคำสั่งด้วยเพคะ” 

 “แม่ทัพของพระองค์ไม่สนใจชีวิตความเป็นไปของพระองค์ แล้วพระองค์เองก็จะไม่ใส่ใจมันด้วยหรือเพคะ?” 

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มนิ่งเงียบมาตลอด หลังจากได้ยินคำถามของเด็กหญิง เขาก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นตอบว่า “มู่ไป๋ไป่ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การเสแสร้งเช่นนั้นหรือ?” 

 “ทั้งหมดเป็นเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากข้า” 

 มู่ไป๋ไป่ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “หม่อมฉันโกหกพระองค์ แต่ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจ แต่เป็นเพื่อความอยู่รอด!” 

ในตอนแรก เธอถูกแม่ทัพหลี่หลอกพาไปที่หนานซวน เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบไหน

เวลานั้นเธอมีโอกาสที่จะเกาะแข้งเกาะขาของฮ่องเต้หนานซวนเพื่อความอยู่รอด เธอย่อมไม่ปล่อยโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไป

 “จริงหรือ?” เด็กหนุ่มยิ้มจาง ๆ “น่าเสียดาย ข้าคิดว่าข้าได้เจอคนที่เป็นแบบข้าจริง ๆ แล้วเสียอีก ช่างน่าเสียดาย…” 

ขณะที่มู่ไป๋ไป่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าร่างกายของเธอนั้นไร้เรี่ยวแรง พร้อมกับอาการวิงเวียนศีรษะที่รุนแรงถาโถมเข้ามา

นี่มัน…

ฉันถูกวางยา!

จอกสุราเมื่อกี้!

และแล้วแส้ในมือของมู่ไป๋ไป่ก็ร่วงหล่นพร้อมกับร่างเล็กที่ล้มลงกับพื้น

 “ช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าสนุกมากจริง ๆ” ฮ่องเต้หนานซวนยืนขึ้นในขณะที่ดวงตาของเขาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก “มู่ไป๋ไป่ เดิมทีข้าก็อยากจะไว้ชีวิตเจ้า” 

เด็กหนุ่มทำหน้าประหลาดใจขณะมองเด็กหญิง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าจะลงมือ?” 

 “เดายากหรือไม่?” 

จากนั้นฮ่องเต้หนานซวนก็โบกมือให้ราชองครักษ์มาจับมู่ไป๋ไป่มัดเอาไว้

 “เจ้าเป็นลูกของมู่เทียนฉง และคนของตระกูลมู่ก็เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก” 

 “...” 

ใจจริงคนตัวเล็กอยากจะโต้เถียงอีกฝ่าย แต่ที่เขาพูดมาก็ไม่ผิด

ในไม่ช้ามู่ไป๋ไป่ก็ถูกจับมัดแล้วโยนไปบนหลังม้า

 “คอยจับตาดูนางไว้ การแสดงที่แท้จริงยังมาไม่ถึง” ฮ่องเต้หนานซวนยิ้มกว้าง จากนั้นเขาก็หันไปหาชายสูงวัย “แม่ทัพหลี่ ส่งคนไปแจ้งคนของเป่ยหลง หากพวกมันไม่ต้องการให้องค์หญิงหกของพวกมันตายอยู่ที่นี่ จงยอมแพ้บัดเดี๋ยวนี้” 

มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงแล้วกัดฟันพูดขึ้นอย่างประหม่าว่า “ฮ่องเต้หนานซวน คนของเป่ยหลงทอดทิ้งหม่อมฉันแล้ว มันไม่มีประโยชน์ที่พระองค์จะทำเช่นนี้ พวกเขาไม่มีทางยอมแพ้เพื่อหม่อมฉันแน่!” 

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: นั่นไง น้องโดนตลบหลังเข้าแล้ว ฮ่องเต้หนานซวนร้ายกาจจริง ๆ!

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.