บทที่ 196: พี่ชายถูกพิษ
ถึงกระนั้น ตลอดการเดินทางที่ผ่านมามู่จวินฝานไม่ได้ดูป่วยหนักเหมือนตอนนี้
มู่ไป๋ไป่รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที เธอจึงหันกลับไปก่อนจะพบว่าตนขอความช่วยเหลือได้จากเซียวถังอี้เพียงเท่านั้น
ไม่ว่าก่อนหน้านี้เธอจะมีปัญหากับเจ้าสัตว์ประหลาดอย่างไร แต่เธอก็สลัดทุกอย่างทิ้งแล้วกวักมือเรียกเขาไว ๆ “เสด็จอา ๆ ท่านมาช่วยตรวจชีพจรของท่านพี่ได้หรือไม่?”
“รีบมาเร็วเข้า ช่วยตรวจท่านพี่ดูหน่อย”
เซียวถังอี้ยื่นบังเหียนม้าให้องครักษ์เงาแล้วเดินเอามือไพล่หลังเข้าไปหา 2 พี่น้องตระกูลมู่
“เสด็จอา ท่านช่วยจับชีพจรท่านพี่ดูหน่อยได้หรือไม่?” มู่ไป๋ไป่ถามอย่างเป็นกังวล “ข้าคิดว่าท่านพี่ดูอาการไม่ดีสักเท่าไหร่ ตัวเขาเย็นมากผิดปกติ”
“เสด็จอา อย่าไปฟังที่ไป๋ไป่พูดเลย กระหม่อมไม่เป็นไร” มู่จวินฝานยังคงรู้สึกว่าน้องสาวกังวลมากเกินไป
“ยื่นมือมา” เซียวถังอี้มองสำรวจองค์รัชทายาทก่อนจะสั่งเสียงต่ำ
ทันทีที่คนผู้นี้เปิดปาก เด็กหนุ่มก็ไม่กล้าปฏิเสธ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยื่นมือออกไปให้อีกฝ่ายตามคำสั่ง
เซียวถังอี้ท่องทัศนาจรไปทั่วหล้า ทำให้เขาได้เรียนรู้ทักษะทางการแพทย์บางอย่าง เมื่อเขาตรวจชีพจรของมู่จวินฝาน มันก็ทำให้คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน
“เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่ไป๋ไป่รู้สึกเป็นกังวลมากจึงจ้องเจ้าสัตว์ประหลาดตาไม่กะพริบ “ท่านพี่ป่วยหรือไม่?”
เด็กหนุ่มเหลือบมองเจ้าตัวเล็กก่อนจะตอบว่า “ไม่ เขาแค่เหนื่อยเกินไป”
“เห็นหรือไม่?” มู่จวินฝานมองน้องสาวยิ้ม ๆ “ข้าบอกแล้ว เจ้าก็ไม่ยอมเชื่อ แล้วยังไปรบกวนให้เสด็จอามาจับชีพจรของข้าอีก”
มู่ไป๋ไป่มองเซียวถังอี้ด้วยสายตาสงสัย เพราะเธอรู้สึกว่าอีกคนไม่ได้พูดความจริง
“ข้ามียาที่ช่วยให้สงบจิตใจและบำรุงกำลัง เจ้ากินเข้าไป 2 เม็ดก่อน” เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่เห็นแววตาสงสัยของเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะหยิบขวดยาเล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้องค์รัชทายาท
“จวินฝานขอบคุณเสด็จอา” มู่จวินฝานพยักหน้าพร้อมกับรับขวดยามา และกินยาเข้าไป 2 เม็ดโดยไม่สงสัยอะไร
มู่ไป๋ไป่กำลังรู้สึกไม่สบายใจอยากถามเซียวถังอี้ให้รู้เรื่อง แต่พอเธอเห็นว่าเขาทำตัวเหมือนปกติ เธอจึงยั้งปากตัวเองเอาไว้
หลังจากที่มู่จวินฝานรู้สึกง่วงจนผล็อยหลับไปในที่สุด เธอก็รีบดึงเจ้าสัตว์ประหลาดออกไปถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำไมท่านไม่พูดความจริง?”
เด็กหนุ่มหรี่ตาลงมองเด็กหญิงที่เงยหน้าถามตน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าโกหก?”
เขาคิดว่าก่อนหน้านี้ตัวเองแสดงได้ไร้ที่ติมาก
“ข้ารู้แล้วกันน่า” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วมุ่นขณะพูดเร่งอีกฝ่าย “ท่านอย่าคิดจะหลอกข้าเลย รีบบอกความจริงมาเดี๋ยวนี้นะ เกิดอะไรขึ้นกับท่านพี่?”
“แล้วทำไมท่านพี่ถึงหลับไปเร็วขนาดนี้ เป็นเพราะเขากินยาที่ท่านให้เช่นนั้นหรือ?”
เซียวถังอี้ยกแขนเสื้อขึ้นแล้วไปนั่งลงบนก้อนหินด้านข้าง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปสะกิดสีข้างของเจ้าตัวเล็กเพื่อบอกว่าให้นางนั่งลงด้วยกัน
มู่ไป๋ไป่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งข้างเขาอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากที่เธอนั่งลง เด็กหนุ่มก็พูดขึ้นมาว่า “จากอาการของรัชทายาทดูผิดปกติเกินไป”
“ผิดปกติแบบไหน?” เด็กหญิงพูดขัดจังหวะโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่บีบมือเล็ก ๆ ของตัวเองอย่างประหม่า “เขาอาการร้ายแรงหรือไม่?”
เซียวถังอี้มองสำรวจองค์รัชทายาทแล้วตอบว่า “ชีพจรของเขาเหมือนคนกำลังจะตาย”
“อะไรนะ!?” มู่ไป๋ไป่พยายามตั้งสติให้มั่น และมองคนพูดเป็นเวลานานเพื่อให้แน่ใจว่าตนไม่ได้หูฝาดไป ก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เป็นไปได้อย่างไร? ผิวของเขาดูซีดลงจากเดิม แถมยังตัวเย็นขึ้นมาเพียงชั่วครู่…”
“แต่นอกจากนี้ก็ไม่มีอาการอื่นใดอีก”
“ไม่มีทางที่…”
เธอไม่สามารถเอ่ยคำว่า ‘ตาย’ ออกมาได้
“เจ้าพูดถูก” เซียวถังอี้พยักหน้าเห็นด้วย “ข้าสงสัยว่าเขาคงจะถูกพิษ”
เขาไม่รู้ว่าชีพจรของคนที่ถูกพิษแมลงกู่ในระยะแรกเป็นอย่างไร แต่อย่างที่มู่ไป๋ไป่เพิ่งพูดไป มู่จวินฝานไม่มีความผิดปกติอื่นใดนอกจากใบหน้าซีดขาวและอุณหภูมิร่างกายเย็นกว่าคนทั่วไป
แต่อาการเหล่านี้ไม่สอดคล้องกับภาวะชีพจรที่แสดงออกมา
ดังนั้นเขาจึงได้คาดเดาเอาไว้ว่าองค์รัชทายาทถูกพิษแมลงกู่
“ถูกพิษ?!” มู่ไป๋ไป่บีบมือแน่นแล้วบังคับให้ตัวเองใจเย็นลง “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ตอนที่อยู่จวนตระกูลจินหรือ?”
“ไม่สิ ตอนนั้นคนกลุ่มนั้นยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของท่านพี่รัชทายาท”
ในตอนที่คนกลุ่มนั้นจับตัวเธอออกไป พวกเขาไม่รู้ว่าเธอเป็นองค์หญิงลำดับที่ 6 ของแคว้นเป่ยหลง
“หรือว่าจะเป็นที่จวนแม่ทัพ?” เด็กหญิงคิดอย่างรวดเร็วและเธอก็เชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ หลังจากที่มาถึงเมืองเย่เฉิงเข้าด้วยกัน “จะต้องเป็นที่จวนแม่ทัพแน่นอน!”
“นอกจากจวนแม่ทัพแล้ว ท่านพี่ก็ไม่น่าจะถูกพิษจากที่อื่นได้อีก”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” เซียวถังอี้เหลือบมองคนตัวเล็ก จากนั้นจึงเอ่ยปากปลอบใจนาง “โชคดีที่เจ้าสังเกตเห็นมันเร็ว ข้าได้เอายาให้เขากินแล้ว”
“เจียงเหยาบอกว่ายามที่เจ้าของร่างหลับ แมลงกู่ก็จะหลับไปด้วย”
“ดังนั้น ก่อนที่หว่านผินจะส่งโสมมาถึง เราแค่ต้องทำให้รัชทายาทหมดสติให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“แล้วเราจะทำอย่างไร?” มู่ไป๋ไป่เม้มปากแน่น “อีกไม่ช้าเราก็จะไปถึงค่ายทหาร…”
เมื่อถึงเวลาที่ต้องสืบสวนเรื่องของแคว้นหนานซวน พวกเธอจะต้องให้มู่จวินฝานเป็นคนออกหน้า
หากพี่ชายคนโตยังคงหมดสติอยู่เช่นนี้ แล้วเรื่องสำคัญอย่างแคว้นหนานซวนจะทำอย่างไร?
หรือว่า… จะต้องพึ่งพาเธอ?
“!!!”
ดูเหมือนว่าเธอจะมองข้ามใครบางคนไป
มู่ไป๋ไป่สะบัดหน้าไปจ้องเซียวถังอี้ด้วยดวงตาเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงหวาน “เสด็จอา ท่านจะทนอยู่เฉย ๆ ไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วยหรือ?”
“...”
“ท่านพี่รัชทายาทกลายเป็นเช่นนี้แล้ว ยามที่เราอยู่ในค่ายทหาร เราจำเป็นจะต้องพึ่งพาเสด็จอาเพื่อออกหน้าจัดการคนของแม่ทัพจ้าว” เด็กหญิงกล่าวขณะทำตัวถ่อมตนต่อหน้าอีกฝ่าย
เซียวถังอี้รู้สึกขบขันกับท่าทางประจบประแจงของนาง ดังนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปดีดหน้าผากเจ้าตัวเล็ก “เจ้าไม่จำเป็นต้องทำท่าทางเชื่องขนาดนั้น”
“ในเมื่อข้าร่วมทางมากับพวกเจ้า ข้าย่อมยื่นมือช่วยเหลือ”
ใจจริงเขาอยากจะหนีไปเสียตอนนี้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังรู้สึกเป็นกังวล เขาก็ได้เรียกองครักษ์เงาที่คอยจัดการทุกอย่างในจวนแม่ทัพพร้อมกับมู่จวินฝานให้เข้ามา
หลังจากยืนยันแล้วว่าทุกคนไม่เป็นอะไร พวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้คอยเฝ้าเวรยามต่อไป
สำหรับความจริงที่ว่ามู่จวินฝานถูกพิษ เซียวถังอี้กับมู่ไป๋ไป่ได้ตัดสินใจว่าจะยังไม่บอกใครในขณะนี้ และบอกเพียงว่าองค์รัชทายาทเป็นไข้ลมหนาวเพียงเท่านั้น
เนื่องจากในระหว่างการเดินทาง ทั้งจินซือหยาง อวี้ฉีและคนอื่น ๆ อยู่ห่างจากมู่จวินฝาน ดังนั้นทุกคนจึงเชื่อในสิ่งที่เซียวถังอี้พูดโดยไม่มีข้อกังขา
ด้วยเหตุนี้คนทั้งหมดจึงเดินทางมุ่งหน้ามาถึงค่ายทหารโดยไม่หยุดพัก
ทางด้านมู่จวินเซิ่งได้รับข้อความจากเสด็จอาตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงแล้ว เมื่อเขารู้ว่ามู่จวินฝานไม่สบาย เขาจึงไม่ได้ให้ทุกคนออกไปรอต้อนรับอยู่ที่ด้านนอกค่ายทหาร และพาทุกคนเข้าไปในค่ายทหารโดยตรง
หลังจากเด็กหนุ่มส่งรองแม่ทัพและนายทหารที่มาเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทออกไป เขาก็ถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของพี่ชายคนโต
“พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?” มู่จวินเซิ่งขมวดคิ้วมองดูคนที่นอนอยู่บนเตียง “นี่ผ่านไปเพียงไม่กี่วันเองหลังจากที่เราแยกกัน ทำไมพี่ใหญ่ถึงดูซูบผอมลงถึงเพียงนี้?”
มู่ไป๋ไป่ที่นั่งอยู่ขอบเตียงคอยซับเหงื่อเย็นที่ออกจากหน้าผากของมู่จวินฝานพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พี่ใหญ่ถูกพิษ”
“อะไรนะ!?” มู่จวินเซิ่งอุทานเสียงดัง แต่แล้วเขาก็รู้ว่าตัวเองเสียงดังมากเกินไปจึงรีบปิดปาก แล้วหันไปมองเซียวถังอี้เพื่อยืนยันกับอีกฝ่าย “เสด็จอา ที่ไป๋ไป่พูดเป็นเรื่องจริงหรือ?”
“พี่ใหญ่ถูกพิษเช่นนั้นหรือ?”
เซียวถังอี้ยกถ้วยชาขึ้นจิบแล้วพยักหน้าเบา ๆ “ใช่ มีความเป็นไปได้ 9 ส่วน”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 79
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น