STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 5 ไกลเที่ยง
“ว่าแต่...ทำไมเราได้เรือลำเล็กมาล่ะ?” เซนขึ้นไปยืนอยู่บนเสากระโดงเรือจุดที่สูงที่สุด
“ไม่รู้ เห็นโทรกลับมาบอกว่าให้เอาเรือใหญ่เก็บเข้าท่าไปก่อน แต่อย่างน้อยเรือนี้มันก็มีห้องน้ำนะ” คานะอยู่ด้านหลังคอยคุมเรือตามประสามือใหม่ที่พึ่งสอนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
“ถ้าได้เสากระโดงเรือสูงสักสิบเมตรก็คงดี”
ซีโร่ถึงกับถอนหายใจหลังจากได้เห็นสภาพหน่วยเสริมทัพที่เหมือนจะจมก้นทะเลได้ทุกเมื่อ พวกเขาเดินทางด้วยเรือเล็กที่โดนคลื่นซัดแต่ละทีก็เหมือนจะล่มได้ตลอด
“เวลาอย่างนี้มันต้องแต่งกลอนสิ” เซนกระโดดขึ้นไปยืนบนปลายเสาแล้วทรงตัวอยู่ท่ามกลางคลื่นสูงและลมทะเล
เขาผายมือออกเสมือนการโอบอุ้มสายลม “สายลมพัดผ่านพาความเย็นมาเยือน แสงตะวันโฉมฉายราวกับองค์เทพมาเยือน เสียงคลื่นกระทบพบเรือดั่งดาวหางมาเยือน กลิ่นหอมมหาสมุทรสุดชื่นบานพานพบโหมโรงมาเยือน”
พวกเขาล่องเรือกันอยู่ในอ่าวของเคนใกล้ฝั่งอาณาจักรคา จะขึ้นฝั่งก็ไม่ได้เพราะอีกฝ่ายอาจจะรู้ตัวจึงทำได้แค่นั่งรอคำสั่งเท่านั้น
“วันก่อนไปฝึกกับกิมาเป็นยังไงบ้างล่ะ?” คานะนอนหงายมองดูเมฆฆ่าเวลาแม้แสงแดดจะส่องตาก็ตาม
“สุดยอดเลยเนอะ”
“ก็แหง่ล่ะ เธอเหมือนคนพิเศษเลยนะที่มาอยู่กับเราไม่นานแต่กิก็ช่วยฝึกเป็นการส่วนตัวเลย”
หือ ดูซื่อบื้อกันจริง ๆ คงมีแค่ฟรานกับยูกิที่ดูออกว่าเราเป็นใคร
“อาจจะเพราะฉันใช้เวทมนตร์วายุเหมือนกันก็ได้...เขาเลยอยากช่วย” เธอเอนหลังนอนลงข้าง ๆ มองดูท้องฟ้าไปด้วยกัน
“ก็คงงั้น พวกเราฝ่าฟันอะไรมาด้วยกันตลอดแต่ก็ไม่เคยได้หยุดพักจริง ๆ เลย ตอนแรกก็แค่อยากมีชีวิตรอด แต่พอหาที่อยู่ได้ก็ต้องกำจัดเสี้ยนหนามที่พร้อมทำร้ายเรา แต่ทุกอย่างมันกลับเป็นปัญหาลูกโซ่ที่ขมวดเป็นปม พอกำจัดหนึ่งปัญหาก็จะมีปัญหาใหม่ตามมาจนฉันไม่รู้ว่าเราจะไปหยุดตรงไหนกันแน่?”
“ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะหยุดตรงไหน แต่ปมโซ่เหล่านั้นเป็นแรงผลักดันให้เรามาถึงจุดนี้ ความแข็งแกร่งที่สร้างมาจากการดิ้นรนและความเจ็บปวดทำให้เราพร้อมแก้ไขปัญหาในอนาคต”
พวกเธอนอนอาบแดดกันเพลินจนเวลาล่วงเลยไปถึงช่วงเที่ยงที่แสงแดดส่องเข้าตาจนสู้ไม่ไหว
“กินข้าวกันเถอะ” เซนกระโดดลงมาจากเสาทำเอาเรือโคลงเคลงเหมือนจะคว่ำเลย
อีกด้านหนึ่งที่ชายแดนอาณาจักรอาฟติดกับอาณาจักรเซียที่มีวาเลี่ยมเป็นคนนำกองกำลังตรวจสอบ
“ท่านวาเลี่ยมเชื่อด้วยเหรอครับว่าศึกนี้จะถูกโจมตีจากรอบด้าน” มาชูกล่าวถามขณะที่ยืนระวังหลังให้
“ตรวจสอบสักหน่อยก็ไม่เห็นเสียหายเลยนี่ ไหน ๆ ก็จะตรวจสอบก็เลยถือเป็นโอกาสดัดนิสัยพวกที่ชอบลักลอบขายของด้วย” เบื้องหน้าของเขาเป็นกำแพงกั้นระหว่างสองอาณาจักรซึ่งจะต้องผ่านด่านตรวจเพื่อข้ามฝั่งไปมา
“เหนื่อยหน่อยนะท่านผู้กล้า”
“สบายมากเลยค่ะ” ฟรานตอบกลับเสียงใสและส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรมองวาเลี่ยมเป็นสหายของซึฮากิ
“อืม ถ้ามีปัญหาก็บอกได้เลยนะ จริง ๆ ท่านผู้กล้าควรนั่งพักเฉย ๆ ดีกว่า แผลจะได้หายเร็ว ๆ”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ…”
“แม่สาวน้อยของเราไปพักเถอะ ข้าจะคอยช่วยตรงนี้เอง” เฮร่าเดินมาด้านหลังแล้ววางมือลงบนบ่าทั้งสองข้าง รอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ทำให้ทหารรอบ ๆ ตกหลุมรักได้ในทันที
“อา…ก็ได้ ว่าแต่ตอนแรกคุณเฮร่าจะไปอยู่ฝั่งอาณาจักรนอดไม่ใช่เหรอคะ?”
“พอดีฉันเห็นเธอมาฝั่งนี้คนเดียวก็เลยอาสามาช่วยอีกแรง แถมร่างกายเธอก็ยังไม่พร้อมนี่นา” ระหว่างที่วางมือบนบ่า เฮร่าได้ใช้พลังรักษาช่วยให้แขนของฟรานฟื้นฟูได้ไวยิ่งขึ้น
“อุ่น…ผ่อนคลายแล้วก็สบายตัวมากเลยค่ะ” ฟรานยิ้มแป้นปลื้มใจเหมือนได้นอนอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ของเจ้าหญิง
“หยุดมันไว้ !” จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนจากทหารของวาเลี่ยม ตรงหน้าด่านตรวจมีคนขี่ม้าทะลวงเข้ามาไม่สนใจด่านตรวจเลยแม้แต่น้อย
“เอะอะโวยวายอะไรกัน?” วาเลี่ยมชะโงกหน้าดูจึงได้สบตากับชายคนนั้นที่กำลังขี่ม้าทะลวงเข้ามา แววตาอันซึมเศร้ามองมาพร้อมรอยยิ้มพึงพอใจที่ทำให้ขนลุก วินาทีที่ฝ่าด่านตรวจมาได้เขาก็มุ่งตรงมายังจุดที่วาเลี่ยมและฟรานยืนอยู่
“ถอยไปก่อนครับท่านวาเลี่ยม” ทหารหลายนายเข้ามาขวางไว้แต่เขากลับหยุดและม้าก็เริ่มพยศเป็นเสมือนการบอกลา ไม่นานนักชายคนนั้นก็จุดระเบิดที่รัดตัวไว้ระเบิดฆ่าตัวตายไปพร้อม ๆ กับทหารจำนวนหนึ่ง
“เป็นอะไรไหมครับท่านวาเลี่ยม?” มาชูเอาตัวบังแรงระเบิดไว้แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เพราะมีเฮร่ายืนอยู่ข้าง ๆ
เธอคลายโล่มานาออกแล้วเข้าไปดูอาการคนเจ็บซึ่งมีผู้เสียชีวิตสิบคนและบาดเจ็บอีกห้าคน
“เพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัย แล้วก็นำคนเจ็บไปรักษาโดยด่วน” วาเลี่ยมออกคำสั่งทันทีแล้วมองไปยังด่านตรวจฝั่งอาณาจักรเซียที่แสดงท่าทีตกใจไม่แพ้กัน
“เดี๋ยวฟรานจะไปดูฝั่งนั้นนะคะ” เธอวิ่งไปตามเส้นทางที่คนร้ายใช้จนถึงด่านตรวจฝั่งอาณาจักรเซีย
“ขอดูบัตรด้วยครับ”
ฟรานยื่นเหรียญพิเศษที่มีศักดิ์เทียบเท่าราชวงศ์ให้
“เธอคงเป็นลูกสาวของตระกูลดังในอาณาจักรอาฟสินะ ดูจากท่าทางมั่นอกมั่นใจก็คงคิดว่าแค่โชว์เหรียญก็จะผ่านเข้าไปได้”
พวกเขายังไม่ให้ฟรานผ่านเข้าไปจนหัวหน้าด่านตรวจเข้ามาดูความวุ่นวายที่เกิดขึ้น
“รายงานมาด่วนเลย...”
ผู้คุมด่านตรวจถึงกับเหงื่อตกเมื่อหันไปเห็นเหรียญยศที่นายทหารถืออยู่ เขาค่อย ๆ เหลือบมองฟรานด้วยความระมัดระวังเหมือนมีใครกำลังเอามีดมาจ่อคอ
“เมื่อครู่มีนักผจญภัยมาขอผ่านด่านไปอาณาจักรอาฟ แล้วพอผ่านไปได้เขาก็ควบม้าวิ่งไปไม่สนใจเสียงเรียกก่อนจะมีเสียงระเบิดตามมา”
หัวหน้าของเขาเอาแต่มองเหรียญยศสลับกับมองใบหน้าของฟรานเหมือนอยากยืนยันให้แน่ใจว่าใช่อย่างที่คิดหรือไม่
“ขออภัยที่ผมทักทายช้าไป” เขาก้มหัวอย่างสุภาพและบังคับให้ทุกคนทำตาม
“ไม่ต้องใส่ใจหรอกค่ะ แล้วแบบนี้ฟรานผ่านไปได้หรือยังคะ?” เธอจับไหล่ของหัวหน้าแล้วดึงตัวเขาให้เงยขึ้นมาตั้งตรง
“ผ่านได้สบายเลยครับ…ท่านผู้กล้า”
เหล่าทหารชั้นผู้น้อยตกตะลึงกับความนอบน้อมของหัวหน้า ปกติพวกเขาทำงานอยู่แค่ชายแดนจึงไม่เคยเห็นหน้าผู้กล้าและเหรียญยศพิเศษมาก่อน
“ขออภัยที่ผมทำตัวไร้มารยาทใส่ครับ ได้โปรดอย่าตัดหัวผมเลยครับ” ทหารที่เคยพูดจาดูหมิ่นก้มกราบเท้าเพราะแค่คำสั่งเดียวมันก็ทำให้หัวของเขาหลุดจากบ่าได้ทันที
คิดถูกไหมเนี่ยที่โชว์เหรียญให้ดู พวกเขายังอยู่ในวัฒนธรรมชนชั้นทำให้แค่ความผิดเล็กน้อยก็สามารถตายได้หากอีกฝ่ายมีศักดิ์สูงกว่า
“ช่วยลุกขึ้นแล้วตรวจสอบรายชื่อคนเมื่อกี้ด้วยนะคะ ขอข้อมูลทุกอย่างเท่าที่หาได้เลยค่ะ”
“ท่านจะไม่ตัดหัวผมใช่ไหมครับ?” เขายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นกลัวไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“ไม่ทำหรอกค่ะแต่ถ้ายังไม่ลุกขึ้นมาอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้” ชายคนนั้นสะดุ้งลุกขึ้นยืนทันที
“ชายคนเมื่อกี้ชื่อรอน อายุสามสิบห้าปี เป็นนักผจญภัยระดับซีที่กำลังจะไปทำภารกิจในอาณาจักรอาฟ เวทมนตร์ที่ใช้ได้คือเวทมนตร์วายุ อาวุธประจำตัวคือดาบยาว ส่วนข้อมูลนอกเหนือจากนี้ต้องค้นดูของของเขาก่อนครับ” นายทหารคนนั้นยืนตัวตรงรายงานทุกอย่างที่รู้ด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำกลัวท่านผู้กล้าจะไม่พอใจ
“งั้น…ถ้าไม่ว่าอะไรฟรานขอไปตรวจสอบด้วยตัวเองนะคะ” แม้พวกเขาจะเคยเอ่ยคำดูหมิ่นไร้มารยาทแต่ฟรานก็ยังยิ้มตอบรับอย่างเป็นมิตร
“ตามสบายเลยครับท่านผู้กล้า”
เมื่อได้รับอนุญาตฟรานก็ตามแกะรอยว่าชายที่ระเบิดฆ่าตัวตายมาจากไหน
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน แต่พวกมันถึงขั้นเสียสละชีวิตเพื่อสร้างความปั่นป่วนเลยเหรอ ไม่สิถ้ายิ่งสร้างความวุ่นวายการป้องกันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น
หลังจากแกะรอยมาได้ประมาณหนึ่งกิโลเมตร ร่องรอยทั้งหมดกลับหายไปเหมือนจู่ ๆ ก็โผล่มาอยู่ตรงนี้เลย
คงจะโดนลบร่องรอยออกไปหมดแล้ว งั้นต้องสันนิษฐานว่าพวกมันตั้งหลักอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้และอาจจะส่งคนมาเพิ่มอีกก็ได้
ทันใดนั้นก็มีลูกธนูพุ่งมาแต่ไกลแต่ฟรานก็หลบไปได้เฉียดฉิว หลังจากหลบได้เธอก็มองหาวิถีลูกศรเพื่อหาตัวคนยิง
ตรงนั้นสินะ ฟรานชักดาบเทพประทานขึ้นมาและฟาดดาบวายุพุ่งไปตรงต้นไม้สูงที่ห่างออกไปห้าสิบเมตร
พอต้นไม้ล้มก็มีคนกระโดดหนีออกมาซึ่งฟรานก็วิ่งตามไปอย่างทุลักทุเลเพราะต้องถือดาบเตรียมพร้อมไว้ตลอดแถมยังมีแขนข้างที่หักจนต้องเข้าเฝือกด้วย
ระยะสามสิบเมตรน่าจะไหวอยู่ เธอฟาดดาบวายุอีกครั้งโดยเล็งไปที่ขาของชายคนนั้นแต่เขาก็ยังกระโดดหลบทัน
ทั้งสองไล่ล่ากันอยู่พักหนึ่งโดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าถูกล่อให้ออกมาห่างไกลผู้คน
เจ้านั่นกะความเร็วพอให้เราตามทัน ดูยังไงก็จงใจให้ตามมาซึ่งที่ที่มันพาไปต้องมีพรรคพวกของมันอยู่แน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะได้กำจัดพวกมันทีเดียวเลย
หลังจากตามมาเป็นชั่วโมงสุดท้ายชายคนนั้นก็หยุดแล้วหันกลับมาตอบโต้แทน ท่าทางเงอะงะก่อนหน้านี้หายไปโดยสิ้นเชิงอย่างกับจะบอกว่าถึงเวลาเลิกเล่นแล้ว
“ผู้กล้าฟรานที่สามารถเพิ่มเลเวลได้ไวที่สุดในประวัติศาสตร์ มีทั้งความสามารถของธาตุทั้งสี่และเพลงดาบที่ถูกขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุด”
ฟรานไม่รอช้าพุ่งเข้าจู่โจมด้วยลงดาบรูปแบบที่หนึ่งแต่อีกฝ่ายกลับอ่านการเคลื่อนไหวและหลบวิถีดาบได้ไม่ยากนัก
“บาดเจ็บที่แขนขวาจากสงครามยึดน่านน้ำ ใช้อาวุธเป็นดาบสองเล่มกับตรีศูลอีกหนึ่ง”
ท่าทางสบายใจของเขาทำให้ฟรานหงุดหงิดและสุดท้ายคมดาบของเธอก็ได้เฉือนเอาใบหูของเขามาได้สำเร็จ
เลเวลเจ็ดเหมือนกันแถมสเตตัสก็ยังน้อยกว่าแต่เรากลับทำได้แค่แผลเล็ก ๆ หรือการฝืนตามมาจะหนักไปสำหรับแขนซ้ายข้างเดียว
“ถ้าหากอยู่ใต้อาณัติของอาณาจักรเซียก็คงจะดีไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่ท่านผู้กล้าตามติดเจ้านั่นไปอาศัยอยู่ที่อื่น หวังว่าท่านจะไม่โกรธพวกเราหรอกนะ” เพียงแค่พริบตาเดียวรอบ ๆ ก็มีกลุ่มคนโผล่ออกมาจากเงามืดพร้อมกับรุมยิงกระสุนเวทมนตร์ใส่จากทุกทิศทาง
โผล่มาสักที เธอสร้างโล่มานาป้องกัน แววตาและสีหน้าที่สุขุมกำลังกวาดมองด้วยเวทมนตร์ตรวจสอบ
เลเวลสองห้าคน เลเวลสามห้าคน เลเวลสี่หกคน เลเวลห้าอีกสามคน ไม่ได้เป็นปัญหานักแต่พวกมันใช้เวทมนตร์ต่อ ๆ กันจนหาช่องโหว่สวนกลับยาก และที่สำคัญก็คือเลเวลเจ็ดคนนั้นที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
“ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้เราจะหยุด แต่ถ้าไม่เราก็คงได้รอเก็บศพอย่างเดียว…” พูดไม่ทันขาดคำก็มีคมดาบฟาดผ่านกระสุนเวทมนตร์ออกมา ถ้าหลบไม่ทันร่างของเขาก็คงโดนผ่าเป็นสองส่วนไปแล้ว
ยังจะหลบได้อีกแฮะ หลังจากดูเชิงจนพอใจเธอก็ได้ใช้พลังงานที่เก็บไว้ของดาบเทพประทาน
“ลงดาบรูปแบบที่หก...”
“ทุกคนถอย !” ชายคนนั้นสังเกตเห็นมานาก้อนใหญ่จึงออกคำสั่งทันทีแต่มันก็โดนเสียงระเบิดจากกระสุนเวทมนตร์กลบไป
“[สะบั้นวารีกลืนกิน]”
ปกติการใช้ลงดาบก็มีประสิทธิภาพมากอยู่แล้วแต่เมื่อเธอมีมานาสำรองจากพลังงานของดาบเทพประทานทำให้ไม่จำเป็นต้องระแวงเรื่องมานาหมด เธอเอี่ยวตัวไปทางขวาเล็กน้อยจากนั้นก็หมุนฟันไปรอบ ๆ สร้างคลื่นน้ำกระแทกพวกมันจนกระดูกหัก บางคนก็รุนแรงถึงขนาดแขนขาผิดรูป บางรายก็เสียชีวิตทันทีที่โดน
“ลงดาบรูปแบบที่สอง [สับสน]” ฟรานไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ เธอกระโจนเข้าใส่พวกที่ยังรอดชีวิตเพื่อปลิดชีพลดความหวาดระแวงเมื่อต้องปะทะกับชายเลเวลเจ็ดคนนั้น
เธอเล็งเป้าไปที่หญิงสาวคนหนึ่งที่แขนบิดไปด้านหลังแต่ชายเลเวลเจ็ดก็เข้ามาขวางไว้เสียก่อน
“ไปเรียกกำลังเสริมมาให้หมด” เขาใช้มีดสั้นประชันความเร็วกับฟรานและพยายามกดดันให้ถอยกลับไปเพื่อให้ลูกน้องของเขาหนีไปได้
อุตส่าห์เตรียมคนมาขนาดนี้แต่ก็ยังละลายมานาของเธอไม่ได้อีกเหรอ มานาของผู้กล้าก็ไม่ได้เยอะมากแท้ ๆ แต่มันฟื้นฟูเร็วผิดปกติเกินไปเนี่ยแหละ
“สมกับเป็นผู้กล้า…”
ฟรานไม่เว้นช่องว่างให้เสียเวลาเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายพยายามถ่วงเวลารอกำลังเสริม เธอใช้วิชาลงดาบอย่างบ้าระห่ำหวังกำจัดชายเลเวลเจ็ดให้ไวที่สุด
เร็วยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เราต้องถ่วงเวลาไว้ให้ได้เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวของเรา
เขาขว้างมีดสำรองใส่ซึ่งเมื่อฟรานฟันสวนกลับมันก็ระเบิดกลายเป็นควันปกคลุมบริเวณโดยรอบ
ถ้าคิดว่าเป็นแค่ควันเฉย ๆ ก็ต้องเสียใจด้วยล่ะ เขาแฝงตัวไปกับกลุ่มควันโดยที่ตัวเขาใช้หน้ากากแบบพิเศษที่ออกแบบมากันพิษขณะที่ฟรานยังยืนนิ่งไม่ไปไหน
ลาล่ะท่านผู้กล้า เขาอ้อมมาด้านหลังใช้จุดบอดเพิ่มโอกาสเป็นไปได้ จากนั้นก็เพ่งรวมมานาไว้ที่มีดสั้นหวังเจาะทะลวงการป้องกันทั้งหมดแล้วสะบั้นคอของฟรานให้ขาดในทีเดียว
แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีฟรานก็ได้หายไปจากสายตา สิ่งเดียวที่ทิ้งไว้คือระเบิดมานาก้อนโตที่ระเบิดในจังหวะที่ชายเลเวลเจ็ดเข้ามาพอดี
เกือบไปแล้วไง ด้วยไหวพริบอันมากล้นเขาได้ใช้เสริมกำลังระดับเจ็ดป้องกันได้ทันแต่มันก็ยังมีแรงกระแทกส่งเขากระเด็นออกไปนอกกลุ่มควันอยู่ดี
เมื่อกี้เรามั่นใจแน่ ๆ ว่าเธออยู่ตรงหน้าเรา แต่ต่อให้หนีไปก็ต้องตายจากพิษอยู่ดี
ขณะที่กำลังจะใช้เวทมนตร์ตรวจจับก็มีดาบฟันมาจากด้านบน แม้จะป้องกันได้ด้วยโล่มานาแต่ก็ยังโดนกดลงพื้นราวกับเป็นลูกไก่ในกำมือ
จับได้สักที ฟรานใช้ดาบกดตัวชายคนนั้นลงไปเรื่อย ๆ สู้แรงกันไปมา
“จะฆ่าก็ฆ่าสิวะ ! เห็นฉันเป็นของเล่นที่จะทำอะไรก็ได้หรือยังไง?” พอแรงเริ่มหมดเขาจึงใช้ฝีปากตอบโต้แทน
“ถ้าให้ข้อมูลดี ๆ ก็อาจจะปล่อยไปก็ได้” แม้น้ำเสียงจะนุ่มนวลดูน่าเชื่อถือแต่เธอกลับตวัดดาบฟันแขนทั้งสองข้างแล้วใช้เวทมนตร์รักษาห้ามเลือดทันที
“ไอ้บัดซบ ! แกไม่ตายดีแน่” ชายคนนั้นอ้าปากพยายามสอดลิ้นผ่านซอกฟันเพื่อเปิดเอายาพิษออกมาฆ่าตัวตาย แต่วินาทีนั้นฟรานได้เอามือกดลงตรงหลังคอทำให้ชายคนนั้นหยุดนิ่งทันที
พอจะเข้าใจแล้ว ข้อมูลสำคัญแบบนี้ต้องรีบรายงานให้กิจัง
“[เปิดใช้งานการสื่อ...” ขณะที่กำลังยกหูติดต่อหาซึฮากิก็ดันมีมัดสั้นขว้างมาพอดีและมันก็ระเบิดเป็นควันพิษเหมือนก่อนหน้านี้
ตามมาไวจริง ๆ แต่การรายงานข้อมูลต้องมาก่อน ฟรานวิ่งหนีสุดฝีเท้าใช้ทั้งเสริมกำลังและเวทมนตร์วายุเหมือนกับซึฮากิ แม้ความเร็วจะไม่มากนักแต่ก็สลัดพวกมันออกไปได้
“[เปิดใช้งานการสื่อสาร]”
ซึฮากิตอบรับทันทีเหมือนเตรียมมือถือรออยู่แล้ว
“พวกมันมีการส่งผู้บริหารไปขอความช่วยเหลือจากศูนย์ ถึงจะไม่รู้ว่าศูนย์คือที่ไหนแต่ที่ระบุได้ก็คือมีผู้บริหารอยู่ที่อาณาจักรคาห้าคนแถมยังมีเจ้าสำนักโยฮันอีก ฉันว่านายน่าจะให้คนไปรอเสริมทัพเพิ่มก็ดีนะ”
“ขอบใจแต่ยิ่งมีคนมาเยอะจะยิ่งเคลื่อนไหวลำบาก สำนักมนตร์ดำทำงานกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งวิธีการตอบโต้จะแตกต่างกับตอนยึดน่านน้ำที่เป็นสงครามเต็มตัว แต่เธอนั่นแหละที่ต้องมีกำลังเสริม ดูจากเสียงลมหายใจคงจะเหนื่อยมากแล้วสินะ”
“ก็แหง่สิ นี่ฉันต้องถือทั้งดาบทั้งมือถือแล้วก็ยังต้องวิ่งหนีเจ้าพวกนั้นอีก แต่อีกไม่นานก็จะกลับไปสมทบกับทหารแล้ว นายไม่ต้องห่วงหรอก…” พูดไม่ทันขาดคำก็มีหอกแหลมแทงมาตรงหน้าเฉียดคอไปนิดเดียว แต่การเปลี่ยนมุมหลบกะทันหันทำให้เธอเสียหลักล้มกลิ้งจนมือถือกับดาบเทพประทานกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง
พวกมันตามมาทันได้ยังไง หรือจะมาดักตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ฟรานลุกขึ้นยืนตั้งหลักอีกครั้งแต่ดาบเทพประทานกับมือถือไปอยู่กับศัตรูเสียแล้ว
“นี่คุณผู้ตรวจการช่วยจับดาบเล่มนี้หน่อยสิ” เบื้องหน้าของฟรานมีกลุ่มคนกว่าสิบคนยืนรอทักทายอยู่
ชายสูงวัยหัวเราะลั่น “จับก็โง่แล้ว เมื่อกี้ฉันเห็นนะเว้ยที่แกจับแล้วมันช็อตมือน่ะ”
“แม่งูเอ๊ย ! ดันรู้ทันอีก”
“เลิกเล่นได้แล้ว ถ้าจับตรง ๆ ไม่ได้ก็หาอะไรมัดแล้วลากไปก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือตัวผู้กล้าต่างหากล่ะ” เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนขุนนางมากกว่าคนของสำนักมนตร์ดำ ความสุขุมเยือกเย็นที่กำลังกวาดสายตามองหาจุดบกพร่องทั้งหมดเพื่อลดโอกาสหนีของฟราน
พวกนี้มีแต่เลเวลหกกับเลเวลเจ็ดทั้งนั้นเลยแถมยังมีตาแก่ผู้ตรวจการนั่นอีก ต่อให้มีข้อมูลของพวกมันแล้วก็เถอะแต่จะให้สู้ด้วยสภาพย่างนี้ก็กระไรอยู่
“อย่าคิดหนีเชียวล่ะ” ชายวัยกลางคนสังเกตเห็นมานาที่กำลังจะใช้เสริมกำลังจึงเดาว่าฟรานกำลังจะหนี ที่ด้านหลังของเธอยังมีพวกของสำนักมนตร์ดำล้อมไว้อยู่และชายวัยกลางคนก็ยังเดินดุ่ม ๆ เข้ามาพร้อมกับชูหอกชี้แทนนิ้วมือ
“เหอะ ๆ ภูมิใจกันจริง ๆ ที่รุมผู้หญิงคนเดียว ถ้าแน่จริงก็ส่งดาบคืนมาให้ฉันสิ”
“คิดว่าจะมีใครโง่พอที่จะฟังคำขออะไรอย่างนั้นเหรอ?”
“นั่นสินะ” ฟรานคว้าเอาตรีศูลออกมาใช้แทน มันได้รับการดัดแปลงด้ามจับใหม่ให้พกพาและใช้การได้ถนัดไม่ต่างอะไรกับตอนถือดาบนัก
“ว่าแต่ทำไมถึงไม่ล้มสักทีล่ะ เธอน่าจะโดนพิษไปพอสมควรเลยนี่”
“ขอโทษละกันที่ฉันไม่ได้สูดพิษเข้าไปเลย” ฟรานเพ่งรวมมานาเตรียมยิงกระสุนเวทมนตร์ แต่ชายวัยกลางคนก็แทงหอกมาตรงหน้าทำให้ฟรานต้องหลบและเสียจังหวะไปหนึ่งครั้ง
ไวจริง ๆ แต่ยังพอหลบทันอยู่
แม้เธอจะถูกแขนขวาพันธนาการถ่วงแข็งถ่วงขาไว้แต่ก็ยังว่องไวไม่แพ้ศัตรูพวกนั้น ตรีศูลในมือส่องแสงสว่างยิงกระสุนมานาไปรอบ ๆ โดยใช้การตรวจจับล็อกเป้าหมาย
“พวกแกตั้งรับไว้ก็พอ !” ชายวัยกลางคนออกคำสั่งเสมือนเป็นหัวหน้าแทนผู้บริหารที่ไม่อยู่ ความสุขุมใจเย็นของเขาเป็นข้อดีที่ทำให้วิเคราะห์สถานการณ์ได้รวมถึงหาวิธีปิดจุดบอดของตนเองไปด้วย
ชายวัยกลางคนกระโจนเข้าใส่ทะลวงกระสุนมานาพวกนั้นด้วยการหมุนควงหอก เมื่อเข้าใกล้ฟรานก็จะพยายามหนีแต่ถ้าถอยมากเกินไปก็จะโดนคนที่ดักอยู่ข้างหลังเล่นงานเอาได้
“ยอมจำนนเสียเถอะผู้กล้า...” ฟรานพุ่งเข้าใส่พยายามคลุกวงในเพื่อความได้เปรียบแต่ชายคนนั้นใช้ด้ามหอกผลักเธอออกก่อน
ขณะที่ฟรานถอยออกมาเธอก็ได้วางระเบิดมานาไว้ทำให้ชายคนนั้นต้องสร้างโล่มานาป้องกันแรงระเบิด แต่ฟรานเลือกที่จะใช้เสริมกำลังหุ้มร่างไว้แล้วกระโจนผ่านแรงระเบิดเพื่อใช้มันกลบตัวตน เธอสร้างดาบมานาโดยใช้ตรีศูลเพื่อฟาดฟันโล่มานาที่อ่อนกำลังจากแรงระเบิด มิหนำซ้ำเธอยังผนวกการยิงกระสุนมานาเข้ากับตรีศูลเพื่อจัดการพรรคพวกที่ล้อมด้านหลังอยู่พร้อม ๆ กับปะทะกับชายตรงหน้าไปด้วย
“ฝากด้วยล่ะหมายเลขเก้า” ชายที่เคยคุยเล่นกับผู้ตรวจการอ้อมมาดักด้านหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขาใช้แส้สะบัดฟาดกระสุนมานาของฟรานทิ้งทำให้โอกาสที่จะหลุดออกจากวงล้อมหายไปอีกแล้ว
บัดซบจริง ๆ เพราะมัวระแวงมือหอกก็เลยตรวจจับไม่ละเอียดพอ จะใช้ดาบเทพทมิฬก็ไม่ได้เพราะกิจังบอกว่าห้ามใช้จนกว่าจะบอกให้ใช้ หรือจะลองเสี่ยงกับมานาที่เหลืออยู่ดี
“ในเมื่อไม่ฟังก็คงต้องรอเก็บศพอย่างเดียว” ชายวัยกลางคนตั้งท่าเตรียมแล้วพุ่งเข้าใส่พร้อมกับหอกแหลมพร้อมแทงด้วยมานาจำนวนมาก ด้านหลังก็มีหมายเลขเก้าที่คอยคุมพื้นที่ไม่หนีไปไหนได้
แต่ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเพราะฟรานกระโดดสูงขึ้นไปลอยอยู่เหนือหัว เธอใช้เทคนิคเดียวกับซึฮากิเพื่อบินหนีจากวงล้อมของศัตรู
“จะไปไหน !” ชายวัยกลางคนขว้างหอกที่อัดแน่นไปด้วยมานาใส่
ฟรานที่ยังใช้บินไม่ชำนาญจึงหักหลบได้ยากนัก เธอจึงยกเลิกการบินแทนเพื่อให้ร่วงลงต่ำหลบหอกไปได้ฉิวเฉียด จากนั้นก็ใช้พื้นเสริมกำลังเหยียบและวิ่งไปบนท้องฟ้าหลบหนีออกจากวงล้อมได้สำเร็จ
ต้องรีบกลับไปรวมกับเฮร่า
ขณะที่กำลังโล่งใจที่หนีออกมาได้ เธอกลับสังเกตเห็นกลุ่มก้อนมานาแปลก ๆ จากผู้ตรวจการ
“เล่นกันสนุกพอแล้ว” เขาฟาดดาบวายุใส่เหมือนกับที่ฟรานเคยใช้จากระยะมากถึงห้าสิบเมตร เพียงแค่ใช้ตรวจจับมองก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่กลืนกินพื้นที่โดยรอบทั้งหมด
“เจ้าประมาทเกินไปนะ” ก่อนที่คมดาบวายุจะเข้าถึงตัวก็มีแสงสว่างจ้าพุ่งขึ้นมาจากด้านล่างเสมือนเป็นเสาปกป้องฟรานไว้
“ขอโทษค่ะคุณเฮร่า”
ทั้งเฮร่าและทหารจำนวนมากได้ตามมาสมทบแล้วยืนประจันหน้ากับคนของสำนักมนตร์ดำ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 57
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น