STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 18 กังวาน
หลังจากที่รินออกคำสั่งสุดท้ายเธอก็มุ่งหน้าไปยังประตูนรกซึ่งตั้งอยู่ที่ช่องแคบระหว่างอาณาจักรเซียและอาฟ
“ตาแก่นั่นคงจะเก็บมันไว้ในนั้นแน่ ๆ ถ้าหากฉันได้ตรีศูลนั่นมาฉันก็จะครอบครองท้องทะเลและรุกรานแผ่นดินที่ครั้งหนึ่งเป็นได้แค่ฝันได้” ช่องแคบนั้นตั้งอยู่ในอาณาเขตของเมอร์ซึ่งมันเคยเป็นบ้านของท่านพอนไซ บ้านอันใหญ่โตที่สร้างทับประตูนรกอีกทีเพื่อปกปิดประตูบานนั้นไว้
แม้ภายนอกจะดูดีแค่ไหนแต่ด้านในกลับโทรมจนสภาพดูไม่ได้ราวกับซากปรักหักพัง
“คิดถึงจริง ๆ นะคะท่านพอนไซ” เธอหยุดยืนอยู่หน้ารูปปั้นยักษ์ที่ตั้งอยู่ใจกลางบ้าน ศิลปกรรมชั้นสูงที่มีรายละเอียดเหมือนกับตัวจริงทุกระเบียบนิ้วราวกับถูกโคลนมาจากตัวจริง แต่แล้วรินก็ยิงกระสุนพิฆาตพังมันในทันที
“คิดถึงวันที่ท่านยังรุ่งเรืองเพราะอาวุธนั่นน่ะ” ภายในรูปปั้นนั้นมีประตูสูงห้าเมตรซ่อนอยู่และยังตั้งตระหง่านไม่กระดิกไปไหนแม้จะโดนกระสุนพิฆาตของรินก็ตาม
เธอเปิดประตูบานนั้นด้วยกุญแจทั้งเจ็ดพร้อมด้วยรอยยิ้มฉีกกว้างเสมือนประตูที่ค่อย ๆ เปิดออก
“ในที่สุด...”
เธอว่ายน้ำเข้าไปในประตูบานนั้น ว่ายไปตามทางมืด ๆ ราวกับกำลังว่ายสู่จุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง ขณะเดียวกันด้านหลังของเธอก็มีมนุษย์เงือกสาวคนหนึ่งตามหลังเข้ามาติด ๆ
“ข้างในมันเป็นอย่างนี้เองสินะ” แม้แต่รินที่ผ่านโลกมามากมายยังต้องตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า
ประตูนรกเชื่อมต่อกับดันเจี้ยนที่มีแต่น้ำทะเลเหมือนกับมหาสมุทรแต่สิ่งที่แตกต่างก็คือสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายที่แค่ตั้งสติไว้ก็เต็มกลืนแล้ว
“มันคือบททดสอบสินะ ของแค่นี้ใช้เวลาแค่นาทีเดียวก็ชินแล้วเว้ย !” รินว่ายน้ำฝ่าออกไปโดยที่ทางข้างหน้าแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย
นอกจากหมอกใต้น้ำแสงก็ยังส่องไม่ถึงทำให้เธอเห็นแค่บริเวณด้านหน้าแค่ครึ่งเมตรเท่านั้น วินาทีที่เธอว่ายขึ้นสูงเพื่อมองหาแสงตะวันแต่เธอกลับเจอกับมอนสเตอร์ปลาขนาดยักษ์ที่แค่ครีบของมันก็ใหญ่เท่าตัวเธอแล้ว
“สุดยอดไปเลย ! พอมองอะไรไม่เห็นมันก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปอีก” เธอเปลี่ยนไปใช้ตรวจจับมานาเพื่อมองดูร่างที่แท้จริงของเจ้าของครีบนั้นซึ่งมันมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับเครื่องบินโดยสารและขณะเดียวกันเธอก็สัมผัสมานาจุดเล็ก ๆ ได้อีกหนึ่งจุด
ก่อนที่รินจะได้ตั้งหลักก็มีใครบางคนพุ่งจู่โจมด้วยมีดครีบจากด้านหลัง แม้จะหลบเลี่ยงจุดสำคัญได้แต่ก็ยังได้แผลมาเล็กน้อย
รินหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเมื่อรู้ว่าใครกันที่ลอบโจมตีเธอ “ต้องอย่างนี้สิถึงจะเป็นลูกหลานของท่านพอนไซ”
มนุษย์เงือกสาวไม่ขานรับแต่อย่างใดและหายไปกับความมืดเพื่อรอจังหวะซุ่มโจมตี
“ออกมาเถอะเมอร์ ถ้ายอมออกมาดี ๆ ฉันจะไม่ทำอะไรรุนแรงนักหรอก...” พูดไม่ทันขาดคำก็มีคมมีดครีบปาดเข้าที่แขนของริน
“ยอมรับเถอะว่ามันไม่มีพลังพอที่จะทำอะไรพี่ได้หรอก”
รินใช้จังหวะที่เมอร์เข้าจู่โจมล็อกแขนของหล่อนไว้ จากนั้นก็ใช้รยางค์ข้อปล้องรัดตัวเมอร์ไว้แน่นเสมือนใช้เชือกมัด
“ทำไมพี่รินถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ ! เมื่อก่อนพี่เป็นเหมือนแม่คนที่สองของข้าแท้ ๆ ทั้งงดงามและใจดี...แต่ดูตอนนี้สิ” เมอร์พยายามดิ้นสุดชีวิตและต่อให้เธอพยายามใช้คมมีดครีบแค่ไหนมันก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะทะลุเปลือกแข็ง ๆ ของรินได้
“เมอร์...ถ้าเธอได้เจอสิ่งที่ตัวเองตามหามาตลอดร้อยปีจะดีใจแบบนี้ไหมล่ะ?”
“ไม่ !” เมอร์ตอบกลับเสียงแข็งก่อนที่มอนสเตอร์ปลายักษ์จะพุ่งใส่
เพียงแค่การเคลื่อนไหวสั้น ๆ มันก็ทำให้เกิดพายุใต้น้ำซึ่งสามารถดึงดูดมนุษย์เงือกระดับต่ำได้อย่างง่ายดาย รินยิ้มแยกเขี้ยวยิงกระสุนพิฆาตใส่แต่มันกลับทำได้แค่สร้างแผลถลอกเท่านั้น
“ผิวหนาอย่างกับพวกเลเวลเก้าไม่มีผิด แต่ก็ยังช้าแถมยังเดาทางง่ายไม่มีลูกเล่นอะไรให้กลัวเลยสักนิด” แม้เธอจะมองไม่เห็นแต่เวทมนตร์ตรวจจับก็ทำให้รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เธอใช้ความเร็วที่เหนือกว่าเพื่อหลบการจู่โจมของมอนสเตอร์ปลาแล้วยิงกระสุนพิฆาตใส่ที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
รินใช้เวลามากถึงสิบนาทีกว่าจะจัดการมอนสเตอร์ปลาตัวนั้นได้ และมานาจำนวนมากได้ใช้ไปกับกระสุนพิฆาตแต่ก็เธอก็กัดกินซากมอนสเตอร์ปลาตัวนั้นเพื่อฟื้นฟูมานากลับมาอีกครั้ง
“แล้วฉันจะไปหาตรีศูลได้จากไหนเนี่ย?”
“ปล่อยข้านะ !” ขณะที่รินได้วาดลวดลายการต่อสู้ของผู้มีประสบการณ์เธอก็ยังจับเมอร์ไว้ตลอดเวลา
“เธอไม่อยากเห็นวินาทีที่พี่ได้จับตรีศูลนั่นเหรอ? แต่ก่อนอื่นเราก็คงต้องไปสำรวจเสียหน่อย”
รินพยายามว่ายขึ้นไปด้านบนเพื่อหาผิวน้ำและแสงสว่างซึ่งใช้เวลามากถึงสามสิบนาที
“ระยะทางมันเหมือนได้เดินทางข้ามอาณาเขตไม่มีผิดเลย ที่นี่มันลึกแค่ไหนกันแน่เนี่ย?”
ข้างบนนั้นอยู่ในช่วงเวลาฟ้ามืดแต่บนท้องฟ้าก็ยังมีแสงจันทร์และแสงดาวมากมายส่องระยิบระยับสะท้อนกับผิวน้ำให้เห็นเป็นภาพอันงดงามที่พวกเธอไม่อาจหาดูที่ไหนได้อีก
ขณะเดียวกันทางฝั่งกองทัพเอลโฟเรียก็ได้เอาเรือถอยกลับฝั่งแต่ก็ทำได้เพียงแค่เล็กน้อยเพราะความเหนื่อยล้าสะสมที่ต้องรับมือกับจำนวนศัตรูที่มากกว่าเป็นสิบเท่า
ไม่มีกำลังเสริมมาเพิ่ม ตอนนี้ก็น่าจะถึงเวลาใช้แผนต่อไป
“เรียกถึงทุกหน่วย จากนี้ให้ถอนกำลังออกจากน่านน้ำยกเว้นหัวหน้าหน่วย”
โชคดีที่พวกสำนักมนตร์ดำไม่มีมาเพิ่มแล้วก็เลยวางใจเรื่องบนบกได้ แต่แค่หัวหน้าหน่วยไม่กี่คนจะสู้กับกองทัพนับหมื่นได้เหรอ
ซีโร่วิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อดูลาดเลาและความเป็นไปของกองกำลังของฝั่งศัตรู
เมื่อทุกหน่วยโฟกัสไปที่การหนีจึงช่วยกันป้องกันและพากันหนีขึ้นฝั่งที่มีมนุษย์เงือกฝั่งพันธมิตรรอรับอยู่ และที่ใจกลางสนามรบมีเพียงเรือเกรย์เอลโฟเรียและหัวหน้าหน่วยทั้งสอง
“ลุงโทลไหวไหมคะ?”
เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะตอบกลับ “ลุงต้องถามเธอต่างหากว่าไหวหรือเปล่า?”
สุดท้ายพวกเขาก็แยกกันไปอยู่ขนาบข้างของเรือแล้วบรรเลงบทเพลงแห่งความตายให้พวกมันได้รับรู้ ที่ผ่านมาพวกเขาพยายามไม่ใช่เวทมนตร์ใหญ่เพราะมีพันธมิตรอยู่ด้วยแต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว
“ฉันจะเป็นคนจัดการหล่อนเอง” มนุษย์เงือกสาวผู้มีร่างกายส่องสว่างกระโดดขึ้นเหนือน้ำเพื่อสาดแสงจ้าทำให้ฟรานต้องหันหน้าหนีซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่กองทัพมนุษย์เงือกโถมเข้าใส่
มายัน หนึ่งในแม่ทัพของรินที่มีความสามารถส่องสว่าง ไม่ได้พกแว่นกันแสงมาด้วยคงต้องพึ่งเวทมนตร์ตรวจจับอย่างเดียว
เธอใช้เสริมมานาสร้างพื้นเหยียบทำให้เคลื่อนไหวบนผิวน้ำได้ราวกับอยู่บนพื้นจริง ๆ เมื่อสัมผัสทิศทางของมานาได้เธอก็จะวิ่งหลบ เมื่อสัมผัสสัญญาณชีพได้เธอก็จะสวนกลับ
ต้องรับจัดการเจ้านั่นก่อน เวทมนตร์ตรวจจับของเรายังอ่อนแอเกินกว่าจะตอบโต้กองทัพทั้งกองทัพได้
ยิ่งใช้ตรวจจับแบบละเอียดก็จะยิ่งใช้มานามากขึ้นแต่นั้นก็ยังไม่เพียงพอหากต้องปะทะกับกองทัพมนุษย์หลายพันหลายหมื่นคน
“ลงดาบรูปแบบที่หก [สะบั้นวารีกลืนกิน]”
คลื่นดาบพัดออกไปทุกทิศทางจนเกือบโดนเรือเกรย์เอลโฟเรียด้วยซ้ำแต่เธอก็กะแรงและระยะหวังผลไว้หมดแล้ว พลังของคลื่นวารีทำให้สามารถปัดป้องเวทมนตร์อันอ่อนแอของทหารมนุษย์เงือกได้อย่างง่ายดาย
“ลงดาบรูปแบบที่หนึ่ง…”
ในวินาทีที่คลื่นครั้งสุดท้ายซัดออกไปเธอก็ได้พุ่งออกไปพร้อม ๆ กับมันเพื่อพรางตา
"[เส้นทางเปล่าเปลี่ยว]" แม้เธอจะใช้มือข้างที่ไม่ถนัดแต่ความรุนแรงของมันก็ยังสามารถแหวกผืนน้ำออกเป็นสองส่วนได้
“เป็นไปไม่ได้…” เพราะความประมาทเพียงไม่กี่วินาทีมันก็ได้ทำให้มายันจบชีวิตลงและนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นความหวั่นเกรงของพวกมนุษย์เงือกฝั่งศัตรู
“อะไรวะเนี่ย มีแค่คนเดียวแท้ ๆ แต่พวกเราทำอะไรเธอไม่ได้เลยเหรอ !”
ความสงสัยค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวเหมือนตอนได้ยินเสียงของริน การปะทะกันก่อนหน้านี้ที่มีลูกหน่วยอยู่ด้วยทำให้พวกเขาไม่ได้รับรู้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหัวหน้าหน่วยเลยแม้แต่น้อย
“ยิงเข้าไปเรื่อย ๆ ยังไงมานาของเธอก็ต้องหมดลง”
เมื่อไม่มีแม่ทัพคนสั่งการก็จะตกเป็นของคนที่มีตำแหน่งรองลงมา และถึงแม้จะมีคนคอยสั่งการแต่พวกเขาก็ไม่ได้นัดแนะเตรียมแผนอะไรไว้ทำให้สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือบุกทะลวงเข้าไป
“ลงดาบรูปแบบที่ห้า [ฟ้าหลังฝน]” คลื่นวายุพัดกวาดกระสุนวารีตรงหน้าไปพร้อม ๆ กับกองทัพของมนุษย์เงือกเหล่านั้น
“จังหวะนี้แหละ !” พวกมันเข้าประชิดตัวจากสองฝั่งและเหวี่ยงอาวุธปะทะกันอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าฟรานผู้ที่มีพรสวรรค์และได้รับการฝึกจากซึฮากิมันก็ทำให้มนุษย์เงือกเหล่านั้นเป็นเหมือนเด็กหัดเดินในทันที
การใช้มือซ้ายชักจะลำบากเข้าไปใหญ่แล้วสิ ต่อให้ใช้แรงเหมือนถือชูขวดน้ำแต่ถ้าต้องชูมันตลอดหลายชั่วโมงก็ต้องล้าอยู่ดี
อีกฝั่งหนึ่งจะเป็นหน้าที่ของลุงโทลที่มีวิชาดาบยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เมื่อเขาผสานวิชาดาบเข้ากับเวทมนตร์เพลิงมันก็จะสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างได้แต่ก็ทำได้แค่พวกที่เข้ามาใกล้กับพวกบนผิวน้ำเท่านั้น
แม่หนูฟรานจะไหวไหมเนี่ย ถ้าเป็นเราที่เสียแขนข้างที่ถนัดไปก็คงลำบากแน่ ๆ
“เรียกหัวหน้าหน่วยแคทเทอรีนและหัวหน้าหน่วยเคน ทั้งสองกลับไปสมทบที่เรือเกรย์เอลโฟเรียได้เลย”
ตอนนี้ไม่มีกำลังเสริมแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาไปปั่นป่วนขบวน หลังจากนี้ทุกอย่างจะตัดสินกันที่เรือเกรย์เอลโฟเรีย ซีโร่ใช้ดวงตาของแฟรงค์ผนวกรวมกับเวทมนตร์ล่วงรู้เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนทัพของฝั่งศัตรู
“เรียกหัวหน้าหน่วยแคทเทอรีน พอไปถึงให้เธอสร้างพื้นน้ำแข็งเพื่อให้ลุงโทลและฟรานเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น”
หลังจากที่ได้รับคำสั่งแคทเทอรีนและทีโอน่าก็มุ่งหน้ากลับไปที่เรือเกรย์เอลโฟเรียด้วยการสร้างพื้นน้ำแข็งวิ่งข้ามหัวพวกมนุษย์เงือกไปหน้าตาเฉย
“นั่นมันจอมเวทน้ำแข็งที่ท่านรินบอกให้ระวังไว้…” พูดไม่ทันขาดคำแคทเทอรีนก็ขว้างระเบิดน้ำแข็งใส่เหมือนรู้ว่ากำลังพูดถึงอยู่
“ฉันไม่ค่อยมีบทบาทบ้างเลยนะคะ” ทีโอน่าได้แต่สร้างโกเล็มเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แคทเทอรีนเท่านั้น
“ก็เวทมนตร์ของเธอไม่เหมาะกับสงครามใหญ่ ๆ นี่ ลองดูเจ้าซึฮากินั่นสิ...ฝีมือออกจะเก่งกาจแต่ก็ไม่ได้ลงมาที่สนามรบเลยสักครั้ง” ระหว่างที่กำลังคุยกันก็มีกระสุนวารีพุ่งเข้าใส่แต่โกเล็มของทีโอน่าก็รับไว้แทน
“รีบไปกันเถอะ เธอยังมีงานชิ้นใหญ่ที่ต้องทำอยู่”
ทั้งสองมุ่งหน้าไปที่เรือต่อ ส่วนเคนกำลังไล่ต้อนกองทัพศัตรูเพื่อให้ไปกองรวมกันที่เรือเกรย์เอลโฟเรีย
ทำไมพวกเขาถึงไร้รูปขบวนได้ขนาดนี้ เป็นถึงกองทัพของรินแต่กลับสะเปะสะปะเอาแต่บุกไปที่เรือไม่หยุด เคนค่อย ๆ ไล่ฆ่ามนุษย์รอบนอกและต้อนพวกเขาเหมือนต้อนแกะต่อไป
อีกด้านหนึ่งที่ซึฮากิกำลังปั่นป่วนกำลังเสริมจากสำนักมนตร์ดำ เพราะการมาของซึฮากิทำให้ฝั่งสำนักมนตร์ต้องล่าถอยไปแต่คนที่เข้ามาเผชิญหน้ากลับเป็นโยฮันเสียเอง
“แหม ๆ นึกว่าใครที่ไหนที่แท้ก็เป็นคุณซึฮากินี่เอง”
ก่อนหน้านี้ซึฮากิได้รวบรวมอาวุธและของใช้ไว้มากมายจากศพพวกนั้นเพื่อรอคอยการปะทะกับผู้บริหาร
ไม่คิดว่าเจ้าสำนักจะมาด้วยตนเอง หรือว่าจะมีผู้บริหารคนอื่นอีก
“ฉันมาคนเดียว ตอนแรกก็ไม่คิดจะมาหรอกแต่ดูเหมือนคนของเราจะมีปัญหาก็เลยมาตรวจสอบให้แน่ใจเสียหน่อย”
“รู้ตัวใช่ไหมครับว่าการเข้ามาแทรกแซงสงครามนั่นหมายความว่าพวกคุณก็จะเป็นศัตรูกับเราด้วย”
“อืม...นายเป็นคนฉลาด หากศึกไหนที่ไม่มีทางชนะหรือโอกาสชนะน้อยนายก็จะหนีและเลี่ยง แต่หากศึกนั้นมีโอกาสชนะนายก็จะเริ่มคิดแผนทันที เหมือนตอนที่นายอยากใช้อ่าวของเคนเนี่ยแหละ หากเคนไม่เป็นพันธมิตรนายก็จะไม่เริ่มสงครามในครั้งนี้ แต่เมื่อได้เคนเป็นพันธมิตรนายก็เลยคิดแผนต่อเพื่อจะได้ใช้น่านน้ำแห่งนี้อย่างสบายใจ...” ซึฮากิยิงกระสุนวายุใส่เสมือนการทักทายแต่โยฮันกลับขว้างเข็มเวทมนตร์สวนกลับได้พอดี
“ใช้บดบังวิสัยทัศน์คู่กับอ่อนแรงเพื่อควบคุมการรับรู้ของอีกฝ่าย จากนั้นก็เล็งจู่โจมในจุดบอดเพื่อสังหารก่อนที่จะได้เริ่มการต่อสู้ วิธีการเช่นนั้นมันเหมือนกับสำนักมนตร์ดำไม่มีผิดแต่นายกลับใช้มันได้สมบูรณ์แบบ นอกจากการสร้างจุดบอดก็ยังลบตัวตนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับทางได้ด้วย รวมทั้งการสร้างจุดมานาเพื่อดึงความสนใจของเวทมนตร์ตรวจจับแล้วลอบเข้าโจมตีในจังหวะเดียวกัน...” ระหว่างที่พูดไปเรื่อยซึฮากิก็ยังทำแบบที่เขาพูดแต่มันก็ไม่อาจสร้างบาดแผลให้โยฮันได้เลยสักแผล
“ยังพูดไม่จบเลย นายคงกำลังสงสัยสินะว่าทำไมฉันถึงรู้ว่านายกำลังจะเข้ามาทางไหน เหตุผลมันก็แค่เรื่องง่าย ๆ ที่นายเองก็รู้...ก็แค่ฟังเสียงน่ะ”
พอเอ่ยคำสุดท้ายออกมาเขาก็พุ่งเข้าหาซึฮากิในจุดบอดเพื่อขว้างเข็มพิษใส่แต่ซึฮากิก็หลบได้ทันและหมุนตัวเหวี่ยงมีดสั้นหวังตัดแขนของโยฮัน
ยอดเยี่ยมสุด ๆ เขาใช้เข็มเล็ก ๆ เหล่านั้นปัดมีดของซึฮากิเบี่ยงทิศทาง จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปล็อกมือของซึฮากิไว้แล้วดันเข็มแทงเข้าที่มือแต่ซึฮากิก็ยกเท้าถีบมือของโยฮันได้ทัน
เอาอีกสิ ใครกันแน่จะเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่ง
ทั้งสองเดินวนไปรอบ ๆ เพื่อดูจังหวะการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแต่ต่างคนต่างไม่กล้ารุกก่อนเพราะกลัวจะถูกมองแผนออก
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสเราก็คงต้องเปิดก่อนสินะ
โยฮันหยิบเข็มออกมาทีละสี่เล่มและขว้างมันดักทุกทิศทางแล้วจึงเข้าประชิดด้วยเข็มแบบยาวพิเศษ วินาทีที่โยฮันกำลังจะเข้าถึงตัวซึฮากิก็สร้างหมอกควันออกมาบดบังวิสัยทัศน์เพื่อบังคับให้อีกฝ่ายใช้ตรวจจับกับการฟังเสียงแทน
ดูสิ จะมาไม้ไหนอีก
เพียงแค่เสียงเท้าเหยียบพื้นดินมันก็บอกทิศทางให้โยฮันขว้างเข็มใส่ทันที ขณะเดียวกันซึฮากิก็เลือกที่จะใช้เสียงเป็นตัวล่อพร้อม ๆ กับส่งมานาออกมาปั่นป่วนเวทมนตร์ตรวจจับของโยฮันด้วย
น้ำหนักเท้ามีทั้งที่เบาลงและหนักขึ้น เสียงหายใจยังคงคงที่ จะมีการวางน้ำหนักเบาหนักสลับกันไปและจะขยับเข้ามาใกล้เหมือนกำลังจะได้โอกาสแต่พอเห็นว่าเรารู้ตัวเขาก็จะถอยกลับไปอยู่ในรูปแบบเดิม
เสียงฝีเท้าหนักก้าวมาจากด้านหน้า พอโยฮันรู้ตัวเขาก็ขว้างเข็มเปิดทางก่อนและใช้เข็มยาวตั้งหลักเตรียมรับมือแต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงรองเท้าของพวกลูกศิษย์
ให้ตายสิ ตุ๋นซะเปื่อยเลยนะ โยฮันแสยะยิ้มเลศนัยเมื่อรู้ตัวว่าซึฮากิหนีหายไปแล้ว
“ท่านโยฮัน !” ไม่นานคนของสำนักมนตร์ดำก็ตามมาเพิ่ม
สายตาสงสัยกำลังจ้องมองรอยยิ้มเลศนัยที่ไม่ค่อยได้เห็นจากเจ้าสำนัก
“หยุดให้การช่วยเหลือซะ หลังจากนี้พวกนายต้องเก็บข้อมูลของพวกเอลโฟเรียมาให้มากที่สุด”
ที่สนามรบได้มีการปูพื้นน้ำแข็งเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการตอบโต้ รูปแบบของพวกมนุษย์เงือกจะแบ่งเป็นสองส่วนก็คือส่วนที่เข้าประชิดตัวกับพวกที่โจมตีระยะไกล
“พื้นน้ำแข็งกินรัศมีห้าร้อยเมตรจากเรือ และไกลออกไปจะเป็นพวกมนุษย์เงือกที่เน้นร่ายเวทมนตร์โจมตี” คานะทิ้งปืนสไนเปอร์เพราะเป้าหมายที่เธอต้องการได้หายหัวไปแล้ว
“กลับไปเป็นนักธนูเหมือนเดิมแล้วสินะ” เซนยิ้มแก้มปริตบบ่าคานะอย่างกับเพื่อนเล่น
“เรียกหัวหน้าหน่วยคานะและเซน หลังจากนี้พวกนายต้องไปสมทบที่เรือเกรย์เอลโฟเรีย ส่วนคนอื่นให้ถอยกลับไปที่ฐานตั้งรับกับหน่วยแพทย์สนาม” พอให้คำสั่งสุดท้ายเสร็จซีโร่ก็ลงสู่สนามรบเช่นกัน
เซนแบกคานะขึ้นหลังและใช้ดาบยักษ์เป็นฐานเพื่อใช้เวทมนตร์ระเบิดเป็นแรงผลัก
“ให้อารมณ์เหมือนขี่ม้าศึกเลยเนอะ” เซนพาคานะไปส่งที่เรือก่อนที่ตนเองจะขึ้นไปสูงยิ่งกว่าเดิม
“เจ้านั่นก็บินได้เหรอ? นึกว่ามีแค่ซึฮากิที่ทำได้” แคทเทอรีนเงยหน้ามองด้วยความสงสัยก่อนที่จะวาดมือสร้างดาบน้ำแข็งพุ่งทะลวงมนุษย์เงือกตรงหน้า
สงสัยจะทำเหมือนตอนนั้น คานะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเซนกำลังจะทำอะไร เธอถอนหายใจยิ้มแล้วยกคันธนูขึ้น
“อย่าออกไปจากรัศมีแผ่นน้ำแข็งเด็ดขาด !” คานะตะโกนบอกสหายร่วมรบทุกคนเป็นเวลาเดียวกับที่เซนพุ่งผ่านเมฆลงมา
หวังว่าจะไปจมน้ำตายนะเซน วินาทีที่เซนฟาดดาบด้วยการสะสมแรงโน้มถ่วงคานะก็ได้สร้างโล่วารีหนาหลายเมตรเพื่อปกป้องเรือและเพื่อน ๆ
“ไปเลย !” เซนกัดฟันลั่นสุดเสียงและฟาดดาบลงผิวน้ำสร้างแรงระเบิดมหาศาลราวกับอุกกาบาตตกลงมาจริง ๆ ถ้าไม่ได้โล่วารีของคานะมันก็คงจมเรือเกรย์เอลโฟเรียไปด้วยแน่ ๆ
“นี่ใช่พลังของเลเวลเจ็ดจริงเหรอ?” ไม่ใช่แค่แคทเทอรีนแต่โทลก็ยังอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าตนเองจะสามารถทำอะไรแบบนั้นได้หรือเปล่าถ้าเลเวลเท่าเซน
ผิวน้ำที่ถูกแหวกออกค่อย ๆ ไหลกลับมาเสมอเหมือนเดิมแต่อุณหภูมิตรงนั้นดันสูงถึงสองร้อยองศาต่อให้มีน้ำไหลมาลดอุณหภูมิแล้วก็ตาม
“มาสิวะ !” เซนที่ใช้พื้นเสริมกำลังไม่เป็นจึงต้องว่ายน้ำไล่ล่ามนุษย์เงือก พอเห็นแล้วก็รู้สึกอนาถใจต่างกับภาพลักษณ์พลังทำลายมหาศาลนั้นเหลือเกิน
“หมดหน้าที่แล้วกลับไปตั้งหลักก่อน” เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากด้านบนที่เต็มไปด้วยไอน้ำ ชายผู้เป็นเสมือนแม่ทัพและผู้นำได้ปรากฏอยู่ตรงนั้นและใช้เสริมกำลังลากตัวเซนกลับไปที่เรือ
“หายไปไหนมาซะนานเลย” เซนเอ่ยถามทันทีที่กลับไปรวมกัน
“ไม่บอก”
“หา !”
“ล้อเล่น ฉันไปสำรวจรอบ ๆ มา เอาเป็นว่าเรามาจบสงครามในครั้งนี้กันเถอะ”
“ฉันรอคำนี้มานานแล้ว” เซนเดินตัวเปลือยเปล่าเพราะโดนไฟของตนเองเผาไปหมดแล้วแต่ก็ไม่มีใครสนใจเลยแม้แต่น้อย
“จำนวนมนุษย์เงือกที่เหลืออยู่คาดว่ามีประมาณสามหมื่นคน แค่ระเบิดของเซนก็กวาดพวกมันไปเป็นหมื่นคนเห็นจะได้” ซึฮากิบินขึ้นไปอีกครั้งเช่นเดียวกับซีโร่ที่ได้ร่ำเรียนมาจากกิเหมือนกัน
“ใช้ทุกอย่างเพื่อกำจัดพวกมันซะ” คำสั่งสุดท้ายจากซึฮากิทำให้เซนและคานะกระโดดลงไปกลางวงสนามรบ
ขณะเดียวกันที่ดันเจี้ยนประตูนรก รินได้สำรวจไปทั่วแต่ก็ยังหาตรีศูลนั่นไม่เจอ
“นี่เมอร์ เธอไม่รู้อะไรบ้างเลยเหรอ?”
“ไม่ ต่อให้รู้ข้าก็ไม่บอก”
“ก็ได้ ๆ พี่จะหาเองก็แล้วกัน...”
พูดไม่ทันขาดคำเธอก็สังเกตเห็นออร่ามานาแปรปรวนที่มีมอนสเตอร์ปลาจำนวนมากกำลังแหวกว่ายวนอยู่แถวนั้น
“จะใช่หรือเปล่านะ?” รินเข้าปะทะกับมอนสเตอร์ปลายักษ์เหล่านั้นและเมื่อรู้วิธีสังหารเธอจึงใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีก็กำจัดพวกมันทั้งหมดลงได้
สิ่งที่พวกมันกำลังปกป้องอยู่ก็คือถ้ำใต้น้ำที่ทอดยาวไปไกลหลายสิบกิโลเมตร เธอมุ่งตรงต่อไปโดยไม่มีข้อสงสัยจนได้เจอกับมอนสเตอร์ปลาแปลก ๆ อีกหลายตัว
เป็นสายพันธุ์ที่ไม่เคยเห็นเลยแฮะ ถ้าไอ้ตัวข้างนอกผิวหนาขนาดนั้นแล้วเจ้าพวกนี้จะมีความสามารถอะไรกันแน่
เพียงเธอก้าวเข้าไปในระยะมันก็สัมผัสได้ทันที มอนสเตอร์ปลาตรงหน้าหายวับไปกับตาราวกับเป็นเพียงภาพหลอนแต่พอรู้สึกตัวอีกทีมันก็มาโผล่อยู่ที่ด้านหลังเสียแล้ว
ความไวระดับนี้คงพอ ๆ กับเอนอนเลยสินะ รินหมุนตัวสร้างคลื่นวารีซัดพวกมันออกไปก่อนจะยิงกระสุนพิฆาตใส่แต่ก็ยังช้าเกินไปอยู่ดี
ว่องไวแต่ก็ไม่เห็นจะมีการโจมตีแบบไหนเลยนอกจากจะเข้าประชิดตัว ถ้าทำได้แค่นั้นไวไปก็เปล่าประโยชน์
รินเอาหลังชิดกำแพงและรอให้อีกฝ่ายเข้ามาหาด้วยตนเองและอาศัยจังหวะนั้นกราดยิงกระสุนพิฆาตใส่ หลังจากกำจัดพวกนั้นได้เธอก็มุ่งหน้าไปยังสุดปลายทางของถ้ำซึ่งจะเห็นปะการังเหมือนบัลลังก์และมีเศษซากหอยกระจายเต็มพื้นเสมือนทางเดินสู่บัลลังก์
“เจอสักที”
ตรีศูลอาวุธที่พอนไซเคยใช้ได้วางไว้บนบัลลังก์นั่น แต่ก่อนที่เธอจะได้หยิบก็ดันมีมอนสเตอร์ปลาอีกตัวโผล่ออกมาขวาง
“เหมือนที่เคยได้ยินมาสินะ...ราชาดันเจี้ยน” รินปล่อยเมอร์เพื่อให้ตนเองมีสมาธิกับการต่อสู้ให้มากที่สุด
ราชาดันเจี้ยนที่มีลักษณ์เหมือนกับมนุษย์ทั้ง ๆ มอนสเตอร์ตัวอื่นเป็นปลากันหมด มันกำลังจ้องมองรินตาไม่กะพริบเหมือนกำลังดูเชิงกันและกันอยู่
“นานเสียจริงตั้งแต่เจ้านั่นจากไป หวังว่าเจ้าจะทำให้ข้าสนุกได้บ้างนะ”
“นี่แก...คุยกับฉันได้ด้วยเหรอ?”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 109
แสดงความคิดเห็น