ตอนที่ 170: ความเสื่อมโทรมของตระกูล
ตอนที่ 170: ความเสื่อมโทรมของตระกูล
ปัจจุบันเซี่ยเฟยได้กลับมาที่โรงพยาบาลและถึงแม้ว่ามันจะมีความคืบหน้าไปมากแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ได้รู้สึกผ่อนคลาย
ตลอดการเดินทางเขาพยายามคิดถึงเรื่องต่าง ๆ อย่างรอบคอบว่าเขาพิจารณาตัวแปรไหนตกหล่นไปหรือเปล่า เพราะท้ายที่สุดเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของแอวริล เขาจึงไม่สามารถที่จะปล่อยปละละเลยอะไรได้แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม
“อย่าพึ่งคิดมากเลยแผนการของนายตอนนี้สมบูรณ์มากแล้ว ตราบใดก็ตามที่คนของทูรามเริ่มลงมือมันก็ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดอะไร” อันธพยายามปลอบเซี่ยเฟย
“นั่นคือสิ่งที่ฉันกังวล เรื่องนี้มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไป ถ้าหากว่ามันมีสายลับแฝงอยู่แม้แต่คนเดียว แผนการทุกอย่างมันก็จะพังทลายลงไปได้เลย” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ถ้าแบบนั้นทำไมไม่ลงมือคนเดียวเลยล่ะ?” อันธถาม
ในระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นั้นเซี่ยเฟยก็เดินทางมาจนถึงชั้นล่างของโรงพยาบาลแล้ว เขาจึงจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินขึ้นไปด้านบน
“ไม่ว่ายังไงฉันก็จะต้องปกป้องแอวริลเอาไว้ให้ได้”
แผนการทุกอย่างถูกวางเอาไว้จนหมดแล้วเหลือเพียงแค่การรอคอยผลลัพธ์กลับมาเพียงเท่านั้น
เซี่ยเฟยได้ฝากให้พวกพี่น้องตระกูลหลิงจัดการเรื่องทุกอย่างตามแผนการ ส่วนเขาก็กลับมายังโรงพยาบาลเพื่อคอยปกป้องแอวริล
หลังจากทำงานด้วยกันมาสักพักชายหนุ่มก็รู้สึกไว้วางใจพวกพี่น้องตระกูลหลิงมากพอสมควร เขาจึงทำการมอบหมายงานในการจัดการแผนการต่าง ๆ ให้พวกพี่น้องตระกูลหลิงได้อย่างไม่มีปัญหา
นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังเคยช่วยชีวิตหลิงเฟิงเอาไว้แล้วครั้งหนึ่ง พวกเขาสามพี่น้องจึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะคอยช่วยเหลือชายหนุ่มอย่างสุดความสามารถ
ขณะเดียวกันถ้าเซี่ยเฟยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยบัญชาการตำแหน่งต่าง ๆ เขาก็ไม่สามารถที่จะมาอยู่เคียงข้างแอวริลได้อย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าหากว่าเขาต้องการที่จะมาอยู่เคียงข้างแอวริลจริง ๆ เขาก็จำเป็นที่จะต้องส่งมอบอำนาจในการสั่งการให้คนอื่น ซึ่งหลังจากที่เขาทำการชั่งน้ำหนักความสำคัญของทุกอย่างแล้วชายหนุ่มก็ยังคงคิดว่าแอวริลคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา
บอดี้การ์ดบนทางเดินมีจำนวนมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งมันก็ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่ผางชิงจะเดินเข้ามาอธิบายกับเขาว่า
“ผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ด้วย”
คำพูดนี้ทำให้เซี่ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย เพราะผู้อาวุโสที่ทุกคนเรียกติดปากกันคือ ‘เออเนส’ ปู่ของแอวริล ว่ากันว่าหลังจากที่ชายชราคนนี้ปลีกวิเวกเข้าไปอยู่ในป่าเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะกลับมา
เซี่ยเฟยพยักหน้าขอบคุณผางชิงก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องของแอวริลอย่างช้า ๆ
สมองของเขากำลังคิดพิจารณาสถานการณ์ทั้งหมดด้วยความรวดเร็ว เพราะท้ายที่สุดหลังจากที่เขาพูดคุยเรื่องแบ็ตตี้กับผางไห่ไปชายชราคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไม่ว่าเซี่ยเฟยจะคิดพิจารณายังไงการปรากฏตัวของผู้อาวุโสคนนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับผางไห่อย่างแน่นอน
ภายในห้องแอวริลกำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ ปู่ของเธอและถึงแม้ว่าคนในตระกูลเจี่ยนมักจะมีผมสีบลอนด์แต่ผมของชายชราคนนี้ใกล้ที่จะเป็นสีขาวแล้ว โดยใบหน้าของเขามีความคล้ายคลึงกับนิวแมนและแบ็ตตี้มากเพียงแต่มีรอยย่นแห่งกาลเวลาประดับตกแต่งอยู่เท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าเออเนสจะดูชรามากแล้วแต่เขาก็ยังคงดูมีไหวพริบเหมือนกับพวกนักธุรกิจรุ่นเก๋า
ข้าง ๆ เออเนสและแอวริลไปไม่ไกลมีผางไห่ยืนประจำการอยู่ ชายหนุ่มจึงทำการเคาะประตูพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“นายกลับมาแล้ว! เซี่ยเฟยมานี่สิ นี่คือปู่ของฉันเองเขาชื่อว่าเออเนส… คุณปู่คะเขาชื่อว่าเซี่ยเฟย” แอวริลแนะนำตัวทั้งสองคนด้วยความกระตือรือร้น
เซี่ยเฟยก้มศีรษะทักทายเออเนสและผางไห่ด้วยความสุภาพ ก่อนที่เขาจะหาเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ กับแอวริล
สายตาของเออเนสยังคงมองสำรวจเซี่ยเฟยทุกการกระทำ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนที่เขาจะทำการชงน้ำชาแล้วยกแก้วขึ้นมาดื่มด้วยตัวเอง
“นายคือเซี่ยเฟยใช่ไหม?” เออเนสถาม
“ใช่ครับ”
“ฉันได้ยินมาว่าบ้านเกิดของนายเป็นดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลก”
“ใช่ครับ”
เซี่ยเฟยตอบอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ได้รู้สึกประหม่าเลยแม้แต่นิดเดียว เออเนสจึงไม่คิดที่จะทำการทดสอบอะไรเพิ่มเติม
ขณะเดียวกันแอวริลไม่รู้เรื่องเล่ห์เหลี่ยมในระหว่างบทสนทนามากเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่เริ่มไม่ดีจากบทสนทนาระหว่างทั้งสองคน
‘แย่แล้ว! ดูเหมือนคุณปู่จะไม่ค่อยชอบเซี่ยเฟยเท่าไหร่เลย ฉันควรจะทำยังไงดี?’ แอวริลคิดกับตัวเองด้วยความกังวลใจ เพราะถ้าหากว่าปู่ของเธอไม่ชอบเซี่ยเฟยเหมือนกับพ่อ มันก็คงจะทำให้เธอรู้สึกปวดหัวมาก
“เซี่ยเฟยปู่ฉันชอบฟังเรื่องตลกด้วยล่ะ นายลองเล่าเรื่องตลกที่เคยเล่าให้ฉันฟังให้คุณปู่ฟังสิ” แอวริลพยายามให้เซี่ยเฟยเล่าเรื่องตลกเพื่อคลายบรรยากาศที่ตึงเครียด
“วันนี้ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ไว้วันหลังฉันค่อยมาเล่าให้ฟังได้ไหม” เซี่ยเฟยตอบพร้อมกับส่ายหัว
“ฮ่า ๆ ๆ อย่าไปบังคับเขาเลย ถ้าเขาไม่อยากเล่าก็ปล่อยเขาไปเถอะ แอวริลหนูช่วยออกไปข้างนอกหน่อยได้ไหม ปู่มีเรื่องจะพูดคุยกับเซี่ยเฟยสักหน่อย” เออเนสกล่าว
แอวริลเชื่อฟังปู่ของเธอมากหญิงสาวจึงเดินออกจากห้องไปพร้อมกับผางไห่ แต่ถึงยังไงเธอก็ยังส่งสัญญาณให้เซี่ยเฟยว่าอย่าทำให้ปู่ของเธอโกรธ แต่เซี่ยเฟยกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นทำให้หญิงสาวเดินออกจากห้องไปพร้อมกับหน้ามุ่ย
“เอาล่ะตอนนี้พวกเราอยู่กันสองคนแล้ว นายคงรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงมาที่นี่” เออเนสถาม
“คงเป็นเรื่องของลูกชายคุณสินะครับ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“นายพูดถูก เรื่องนี้ลูกชายของฉันเป็นคนผิดและคนเป็นพ่อก็มีส่วนรับผิดชอบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” เออเนสถอนหายใจออกมายาว ๆ พร้อมกับมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาที่ขุ่นมัว
หลังจากหยุดพูดไปชั่วคราวเออเนสก็พูดต่อขึ้นมาว่า
“ฉันรู้ว่ามันคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับผางไห่ที่ต้องพยายามซ่อนเรื่องทุกอย่างของแบ็ตตี้ไม่ให้ฉันรู้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สามารถปกป้องแบ็ตตี้เอาไว้ได้อีกต่อไป เขาก็คงจะไม่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง”
“ตระกูลผางคอยรับใช้ตระกูลเจี่ยนมาโดยตลอดและคราวนี้ลูกชายของฉันก็เป็นคนก่อเรื่องขึ้นมาจริง ๆ ฉันจึงไม่มีเหตุผลที่จะไปตำหนิผางไห่ได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาอายุมากแล้วและถึงเวลาที่สมควรจะต้องเกษียณเสียที นายคิดว่าผางชิงมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะขึ้นมาเป็นพ่อบ้านของตระกูลแทนผางไห่ได้หรือยัง?”
คำถามนี้ถึงกับทำให้เซี่ยเฟยชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะท้ายที่สุดเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องของตระกูลเจี่ยน แล้วทำไมเออเนสถึงเอาเรื่องพ่อบ้านของตระกูลมาถามคนนอกอย่างเขา
“มันคือเรื่องภายในตระกูลของคุณ คงจะไม่ใช่เรื่องดีถ้าหากว่าผมเข้าไปแสดงความคิดเห็น” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยบอกฉันหน่อยว่านายคิดว่าผางชิงเป็นยังไงบ้าง? ฉันได้ยินมาว่านายเคยปะทะกับเขามาครั้งหนึ่งแล้ว” เออเนสยังคงถามต่ออย่างต่อเนื่อง
“ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับคุณผางชิงเท่าไหร่นัก แต่ผมคิดว่าความภักดีของเขาไม่มีข้อกังขาและเขาก็ดีกับแอวริลมากด้วย” เซี่ยเฟยตอบ
เออเนสไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของชายหนุ่มมากนัก เขาจึงกอดอกและถามออกไปเพิ่มเติมว่า
“นายชอบแอวริลใช่ไหม?”
“ใช่ครับ” เซี่ยเฟยไม่คิดว่าเออเนสจะถามตรง ๆ ออกมาแบบนี้ โชคดีที่เขาสามารถรักษาความสงบเอาไว้ได้และตอบกลับไปด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผย
“ฉันก็รักลูกชายของฉันเหมือนกัน” เออเนสพูดขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์
หากดูผิวเผินประโยคนี้อาจจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่สถานการณ์ในปัจจุบันกลับทำให้มันกลายเป็นประโยคที่มีความเกี่ยวข้องกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
“พ่อทุกคนในโลกต่างก็ล้วนแล้วแต่รักลูกของตัวเองเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่ครับ” เซี่ยเฟยกล่าว
“ใช่แล้วและพ่อทุกคนก็สามารถทำอะไรก็ได้เพื่อปกป้องลูกของตัวเองเช่นกัน” เออเนสกล่าวอย่างจริงจัง
“แต่ทุกคนก็เป็นลูกที่มีพ่อเหมือนกัน ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร ผมคิดว่าพ่อคนอื่น ๆ ก็คงจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องลูกของตัวเอง”
จุดประสงค์ในคำพูดของเซี่ยเฟยชัดเจนมากว่าเด็กผู้หญิงทุกคนที่ตายภายใต้น้ำมือของแบ็ตตี้ก็เป็นลูกที่มีพ่อเช่นเดียวกัน และมันก็ไม่มีเหตุผลที่ลูกชายของเขาจะต้องไปฆ่าลูกของคนอื่นเพื่อความสนุกสนาน
คำตอบนี้ทำให้เออเนสรู้สึกเหมือนกับตัวเองแก่ลงไปอีกหลายปี แต่คำพูดนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกประทับใจในตัวของเซี่ยเฟยเช่นเดียวกัน
“นายจะปล่อยเขาไปไม่ได้จริง ๆ หรอ?” เออเนสเอามือปิดหน้าพร้อมกับถามขึ้นมาด้วยเสียงอันแหบแห้ง
“ผมขอโทษด้วยครับ แต่ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นไปเหมือนที่คุณคิด ผมไม่ใช่คนเดียวที่รู้เรื่องความลับของลูกชายคุณ ถึงแม้คุณจะขอร้องผมได้แต่มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
“แต่ฉันรู้ว่าคนพวกนั้นกำลังทำงานให้นาย ดังนั้นนายสามารถทำให้เรื่องใหญ่เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเล็กได้แน่นอน ถือซะว่าวันนี้ฉันขอบิณฑบาตชีวิตสัตว์ร้ายตัวหนึ่งได้ไหม? สิ่งที่แบ็ตตี้ทำลงไปสมควรจะถูกลงโทษแล้วจริง ๆ แต่ฉันกำลังขอร้องนายในนามของบรรพบุรุษตระกูลเจี่ยน ถ้าหากเรื่องของแบ็ตตี้ถูกเปิดเผยออกไปตระกูลของพวกเราจะได้รับผลกระทบทั้งตระกูล” เออเนสพูดอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป
ยิ่งเออเนสพูดออกมามากเท่าไหร่เขายิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น เพราะใบหน้าของเขาเริ่มแดงก่ำขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยเฟยจึงรู้ดีว่าสิ่งที่ชายชราคนนี้พูดคือความจริง
ท้ายที่สุดสิ่งที่เออเนสกำลังทำอยู่ก็ไม่ใช่การขอร้องเพื่อลูกชายเพียงคนเดียว แต่เขากำลังขอร้องเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อแอวริลโดยตรง
“ถ้านายสัญญาว่าจะปล่อยแบ็ตตี้ไป ฉันสัญญาว่าจะให้แอวริลแต่งงานกับนาย หลังจากนี้ทุกอย่างในตระกูลจะอยู่ในคำสั่งของนาย” เออเนสพูดขึ้นมาด้วยดวงตาอันแดงก่ำ
ช็อก!
ช็อกชิบหาย!
นี่มันเป็นเงื่อนไขที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ชัด ๆ!!
หากไม่ได้พูดถึงแอวริลแล้วล่ะก็บริษัทสตาร์ยูไนเต็ดก็เป็นถึงบริษัทอันดับที่ 13 ของพันธมิตรที่มีผู้คนเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันอยากจะทำงานภายในบริษัทแห่งนี้ แต่จู่ ๆ โอกาสได้เป็นเจ้าของบริษัทกลับมาวางไว้ตรงหน้าของเซี่ยเฟย และตราบใดก็ตามที่เขาตอบตกลงทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลเจี่ยนก็จะกลายเป็นของเขา!
เหตุการณ์นี้ทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกลังเลจริง ๆ เพราะท้ายที่สุดชายหนุ่มก็เป็นคนที่ต้องดิ้นรนขึ้นมาจากสังคมระดับล่างของดาวเคราะห์อารยธรรมระดับต่ำ เขาจึงเข้าใจความสำคัญของเงินมากกว่าคนอื่น ๆ
เออเนสหรี่ตาลงเล็กน้อยและรู้ดีว่าเซี่ยเฟยกำลังลังเลกับข้อเสนอของเขาอย่างแน่นอน ตราบใดก็ตามที่ชายคนนี้ไม่ใช่คนบ้ามันย่อมไม่มีใครกล้าปฏิเสธข้อเสนอที่ดีแบบนี้
น่าเสียดายที่เออเนสมีข้อมูลของเซี่ยเฟยน้อยเกินไป เขาจึงไม่รู้ว่าชายคนนี้มีฉายาว่า ‘ไอ้บ้าเซี่ย’
เซี่ยเฟยขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนที่เขาจะทำหน้าเหมือนเข้าใจอะไรได้บางอย่างแล้วมันก็ทำให้ร่างกายของเขาผ่อนคลายลง
“ขอโทษด้วยครับ แต่ผมรับข้อเสนอไม่ได้” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คำตอบนี้ถึงกับทำให้เออเนสพูดไม่ออก เพราะเขามั่นใจว่าเขาได้ยื่นข้อเสนอที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้แล้ว แต่เซี่ยเฟยกลับปฏิเสธข้อเสนอที่ดีแบบนี้จริง ๆ!!
ชั่วขณะนั้นเออเนสรู้สึกล่องลอยไปในอากาศและกำลังรู้สึกราวกับว่าแม้แต่อากาศบริเวณรอบข้างก็กำลังหัวเราะเยาะให้กับความเสื่อมโทรมของตระกูลเจี่ยน
เออเนสยืนขึ้นเดินโซซัดโซเซออกไปจากห้อง เพราะท้ายที่สุดมันก็ไม่มีอะไรจำเป็นจะต้องพูดอีกต่อไป หากเซี่ยเฟยสามารถปฏิเสธเงื่อนไขแบบนี้ได้มันก็ไม่มีเงื่อนไขอะไรสามารถดึงดูดใจชายหนุ่มได้อีกแล้ว
“อันที่จริงผมก็พอมีวิธีปกป้องชื่อเสียงของตระกูลคุณได้อยู่นะครับ” เซี่ยเฟยพูดขึ้นมาอย่างลังเล
“วิธีอะไร?”
“คุณก็น่าจะรู้อยู่แล้ว”
“ถึงแม้ว่าผลลัพธ์มันจะแตกต่างจากที่ฉันคาดการณ์เอาไว้ แต่ฉันก็ยังต้องขอบคุณนายอยู่ดี” เออเนสก้มหัวให้กับเซี่ยเฟยพร้อมกับหัวเราะให้กับความสมเพชของตัวเอง
“ไม่เป็นไรครับ” เซี่ยเฟยตอบกลับไป
***************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 269
แสดงความคิดเห็น