บทที่ 12 แค่ทางผ่าน
ตอนเย็นหลังเลิกเรียน
“รดาแล้ววันนี้แกกลับบ้านยังไง ให้ฉันไปส่งไหม” เชอรี่ถามขึ้นเมื่อสี่สาวเดินออกจากห้องเรียนวิชาสุดท้ายในช่วงเย็น
“นั่งรถเมล์แหละแต่ฉันกะว่าจะแวะเอาโทรศัพท์เข้าไปเช็กที่ศูนย์ก่อนแล้วค่อยกลับห้องน่ะ”
“ถ้างั้นก็แยกย้าย ไว้เจอกันพรุ่งนี้ บายมึง”
ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองศูนย์รวมสินค้าแบรนด์ดัง คราคลั่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่กำลังเดินขวักไขว่สวนกันไปมา บ้างก็กำลังซื้อของ บ้างก็มาดูหนังรวมถึงทานข้าว ร้านค้าร้านอาหารเนืองแน่นไปด้วยผู้คน รดาขึ้นบันไดเลื่อนมายังบริเวณชั้น3 ของห้างซึ่งเป็นพื้นที่แหล่งรวมสินค้าไอทีและโทรศัพท์มือถือ โซนฝั่งซ้ายของห้างคือจุดมุ่งหมายของรดาซึ่งเป็นที่ตั้งของช็อปและศูนย์บริการของโทรศัพท์ยี่ห้อดัง
เท้าเล็กเดินเลี้ยวเข้าไปทันทีเมื่อเห็นป้ายโลโก้เดียวกันกับที่ติดอยู่บนโทรศัพท์ของเธอ ภายในช็อปเต็มไปด้วยนักชอปปิ้งที่กำลังเลือกซื้อโทรศัพท์เพราะวันนี้เป็นวันแรกในการวางขายโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดในไทยที่พึ่งเปิดตัวที่ต่างประเทศเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
“พี่คะ ช่วยเช็กโทรศัพท์ให้หน่อยค่ะ อยู่ดีๆ เครื่องมันก็ดับไป” รดายื่นโทรศัพท์มือถือยี่ห้อดังที่ตกรุ่นเพราะซื้อมาหลายปีให้กับเจ้าหน้าที่ที่ยืนรอต้อนรับและบริการอยู่ด้านใน
“รอสักครู่นะครับ ทางเราขอเช็กตัวเครื่องสักครู่” ระหว่างรอรดาก็เดินดูโทรศัพท์เครื่องใหม่ไปพลางๆ แต่เมื่อเห็นราคาที่ติดอยู่กับป้ายบอกสเปคเครื่องถึงกับต้องรีบวางทันทีเพราะราคาของโทรศัพท์แต่ละเครื่องนั้นสามารถจ่ายค่าอยู่ค่ากินของเธอได้หลายเดือน
“ทางช็อปเช็กให้แล้วนะครับปรากฏว่าหน้าจอเสีย ต้องเปลี่ยนหน้าจอใหม่แต่ราคาเปลี่ยนค่อนข้างแพงเพราะตอนนี้เครื่องของลูกค้าหมดประกันศูนย์แล้วและเครื่องของลูกค้าก็ตกรุ่นมาหลายปีถ้าจะเปลี่ยนผมว่าไม่คุ้มนะครับ ผมแนะนำให้ลูกค้าดูเครื่องตัวใหม่จะดีกว่านะครับ ลองเลือกดูก่อนได้ครับ ตอนนี้ทางช็อปของเรากำลังจัดโปรโมชั่นอยู่หลายรุ่นนะครับ” ความหวังอันน้อยนิดของรดาพังลงทันทีเมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าโทรศัพท์เธอไม่สามารถซ่อมได้
เงินเก็บที่มีอยู่ในบัญชีก็เหลือแค่พอใช้จ่ายถึงแค่เรียนจบเท่านั้น ถ้าเธอแบ่งเงินตรงส่วนนี้ออกมาซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่การเงินของเธอต้องมีปัญหาแน่ๆ เพราะตอนนี้ก็ใกล้จะฝึกงานและทำวิทยานิพนธ์คงไม่มีเวลาว่างไปทำงานพาร์ททามอย่างแต่ก่อน
“ขอบคุณค่ะ” รดารับโทรศัพท์เครื่องเก่าแล้วรีบเก็บใส่กระเป๋าและเดินออกจากซ็อปทันที ระหว่างนั่งรถเมล์กลับบ้านก็คิดมาตลอดทางว่าจะทำอย่างไรดีเพราะโทรศัพท์ก็เป็นปัจจัยที่5 ต้องใช้ติดต่อกับเพื่อน อีกอย่างกลัวว่าแม่และพี่ชายโทรมาแล้วไม่สามารถติดต่อเธอได้ เมื่อกลับมาถึงห้องพักจึงตัดสินใจต่อสายหาใครบางคน
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด รอสายสักพักคนปลายสายก็กดรับ
“มีธุระอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามานั้นเป็นใคร
“เอ่อ..คือ..หนู” รดาอ้ำอึ้งไม่กล้าเอ่ยบอกออกไป
“อ้ำอึ้งอยู่นั่นแหละวันนี้จะรู้เรื่องไหม มีอะไรก็พูดมาผมไม่ว่างรอฟังคุณทั้งวันหรอกนะ”
“คือ โทรศัพท์หนูพังหน้าจอมันเสียและตอนนี้หนูก็ยังไม่มีเงินที่จะซื้อใหม่ หนูก็เลยจะขอยืมโทรศัพท์เครื่องนี้ของคุณหมอใช้ก่อนสักพัก ไว้หนูหาเงินซื้อเครื่องใหม่ได้แล้วหนูจะรีบเอาไปคืนนะคะ” รดาร่ายยาวออกมาโดยไม่เว้นจังหวะหายใจ เมื่อพูดจบถึงขั้นหายใจหอบเหนื่อย กว่าจะรวบรวมความกล้าพูดประโยคพวกนั้นออกมาเธอต้องใช้พลังงานอย่างมาก
“เครื่องนั้นผมไม่ค่อยได้ใช้แล้วมันก็ตกรุ่นแล้วผมให้คุณเลยแล้วกัน เก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้มันจะพังเสียเปล่าๆ”
“ขอบคุณค่ะ ถ้ามีงานอะไรที่หนูพอช่วยคุณหมอได้บอกหนูได้เลยนะคะ” เสียงเจื้อยแจ้วตอบกลับมาด้วยความดีใจโดยลืมไปว่าเธอนั้นยังเรียนหนังสือไม่จบและงานของกองทัพแต่ละงานนั้นต้องอาศัยความรู้ความสามารถเฉพาะด้าน เธอเองคงช่วยได้แค่จัดเรียงเอกสารหรือพิมพ์งานแค่นั้น
“พรุ่งนี้เลิกเรียนกี่โมง” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นเมื่อนึกอะไรบางอย่างในหัวออก
“มีเรียนแค่ตอนเช้าค่ะ”
“เลิกเรียนเข้ามาหาผมที่โรงพยาบาล”
“เอ่อ..ค่ะ”
เมื่อวางสายจากกองทัพคนตัวเล็กก็เดินไปหยิบแจ็กเกตสองตัวที่ซักไว้จนแห้งเพื่อมารีดก่อนที่จะนำไปคืนให้เจ้าของในวันพรุ่งนี้ โทรศัพท์มือถือถูกหยิบขึ้นมาเสิร์ชหาวิธีรีดและระดับไฟที่เหมาะสมเพราะกลัวทำเสื้อพัง ผ้าแต่ละชนิดใช้ไฟในการรีดที่แตกต่างกันโดยเฉพาะเสื้อราคาแพงแบบนี้มักจะทอด้วยกรรมวิธีแบบพิเศษ จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ขืนเธอทำเสื้อสองตัวนี้พังคงต้องทำงานหลายปีกว่าจะซื้อมาคืนเขาได้
รดาลงมือรีดเสื้อผ้าอย่างทะนุถนอม แจ็กเกตสองตัวใช้เวลารีดนานกว่าสองชั่วโมง รีดจนเรียบทุกระเบียบนิ้วก่อนจะนำไปแขวนไว้ที่ราวรอให้ความร้อนระเหยออกไปหมดก่อนจะพับใส่ถุงผ้าเพื่อนำไปคืนชายหนุ่มในวันพรุ่งนี้
“เฮ้อ! เสร็จสักที ต้องทำงานอีกกี่ปีถึงจะซื้อเสื้อตัวนี้ได้นะ” รดามองแจ็กเกตยีนแบรนด์ดังรุ่นลิมิเต็ดที่แขวนอยู่บนราวตาละห้อย เสื้อตัวละเป็นแสนต้องทำงานมีรายได้เดือนละเท่าไหร่ถึงจะสามารถซื้อได้โดยไม่เสียดายเงิน
เช้าวันรุ่งขึ้น
รดาหอบข้าวของพะรุงพะรัง มือขวาถือกระเป๋าผ้าที่ข้างในเต็มไปด้วยหนังสือ3-4เล่ม มือซ้ายถือถุงผ้าด้านในบรรจุแจ็กเกตตัวใหญ่สองตัว สะพายกระเป๋าใบเล็กเดินลงจากตึกเพื่อไปเรียน เท้าเล็กเดินออกไปยังป้ายรถเมล์เพื่อเรียกแท็กซี่เพราะวันนี้ถือของเยอะ จะขึ้นรถเมล์ก็คงไม่เหมาะ
ปี๊ก! ปี๊ก! ปี๊ก! เสียงบีบแตรดังขึ้นเสียงดัง เมื่อหันไปมองก็เจอกับรถลัมโบร์กินีสีดำจอดอยู่กระจกสีดำมืดปิดสนิท รดาหันไปมองแค่แว็บเดียวก็หันไปสนใจแท็กซี่ที่กำลังขับมาทางนี้พอดี
“ขึ้นรถ” กระจกรถถูกเลื่อนลงเผยให้เห็นชายหนุ่มที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับ
“คุณมาทำอะไรแถวนี้คะ” รดาตะโกนถามเสียงดังแข่งกับเสียงรถที่สัญจรวิ่งผ่านไปมา
“อย่ามัวแต่ถาม ตรงนี้เป็นที่จอดรถสาธารณะ เอาของไปเก็บหน้ารถแล้วรีบขึ้นมา” กองทัพเอ่ยบอกเสียงดุเพราะตอนนี้ตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนหมู่มากที่กำลังยืนรอรถเมล์อยู่ ไม่รู้ว่าในใจนั้นกำลังก่นด่าตนที่มาจอดรถขวางทางรถโดยสารหรือกำลังชื่นชมความหล่อของตนกันแน่
รดาวิ่งหน้าตื่นไปยังด้านหน้ารถเพื่อเอาของไปเก็บขณะที่กองทัพได้เปิดฝากระโปรงรออยู่นานแล้ว
“เรียบร้อยค่ะ แล้วสรุปคุณหมอมาทำอะไรแถวนี้แต่เช้าคะ” เมื่อขึ้นนั่งเบาะนั่งด้านข้างคนขับเรียบร้อยแล้ว รดาก็เอ่ยถามคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบอีกครั้ง
“แค่ขับผ่านมา” ให้คำตอบเพียงแค่นั้น สายตาจับจ้องการจราจรที่ติดขัดตรงหน้า มือข้างขวาจับพวงมาลัยส่วนมือซ้ายกำลังกดโทรศัพท์พิมพ์อะไรสักอย่างในแอปพลิเคชันไลน์
“ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถมันอันตรายนะคะ” รดาละสายตาจากการจราจรตรงหน้ามาสนใจชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถซึ่งขณะนี้กำลังทำสิ่งที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุ
“อะไรคะ” โทรศัพท์เครื่องหรูถูกยื่นมาตรงหน้าเด็กสาวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ไม่ให้ผมใช้โทรศัพท์ก็ช่วยผมพิมพ์สิ”
“แล้วทำไมไม่โทรเอาล่ะคะ จะมัวพิมพ์ให้เสียเวลาทำไม” รดาถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ทำไมคนเราชอบทำอะไรยุ่งยากมานั่งพิมพ์ข้อความยาวเหยียดกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ถ้าเปลี่ยนเป็นการโทรจะง่ายกว่าไหม สมัยนี้ค่าโทรถูกจะตายเผลอๆ ใช้แพ็กเกตโทรฟรีทุกเครือข่ายด้วยซ้ำ
“ถ้าโทรไปมันรับ ผมจะมานั่งพิมพ์ข้อความทำไม”
“ขนาดโทรไปยังไม่รับเลย แล้วพิมพ์ข้อความไปเขาจะอ่านเหรอคะ”
“เป็นเด็กหรือไง ถึงมีคำถามอะไรเยอะแยะขนาดนี้” เสียงทุ้มดุออกมาเสียงเข้มแต่ไม่จริงจังนัก นิ้วเล็กหยิบโทรศัพท์มาถือไว้ในมือหน้าง้ำงอแสดงอาการไม่พอใจเล็กน้อย
“บอกมาสิ ว่าจะพิมพ์อะไร” รดาถามกลับเสียงห้วน
“หางเสียงไปไหน” กองทัพดุออกไปไม่จริงจังนัก กลับรู้สึกเอ็นดูเวลาที่รดาทำหน้างอนด้วยซ้ำ ชอบแก้มป่องๆ ที่เป่าลมเข้าเต็มกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างบวกกับดวงตากลมโต มองแล้วเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้
“บอกมาสิคะ”
“ตื่นแล้วโทรกลับหากูด้วย กูมีเรื่องด่วน” นิ้วเล็กกดพิมพ์ข้อความทั้งหมดและกดส่งทันทีที่พิมพ์เสร็จ พร้อมกับยื่นโทรศัพท์ส่งให้ชายหนุ่มที่กำลังขับรถอย่างอารมณ์ดีทั้งที่การจราจรตอนเช้าติดขัดรถแทบไม่ขยับ
ครืด ครืด ครืด ยังไม่ทันที่กองทัพจะรับเอาโทรศัพท์คืนก็มีสายเรียกเข้าเข้ามาพอดี
“กดรับสายให้ผมหน่อย” หน้าจอโชว์ชื่อว่าน่านฟ้าเป็นคนโทรเข้ามา
{มีอะไรไอ้ห่า โทรมาปลุกทำห่าอะไรตั้งแต่เช้า กูพึ่งได้นอนตอนตีสี่นี่พึ่งเจ็ดโมงก็เสือกโทรมาปลุกกู ถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนกูจะด่าให้หาทางไปโรงพยาบาลไม่ถูกเลยคอยดู} ยังไม่ทันที่กองทัพจะพูดอะไร น่านฟ้าก็รัวคำด่ามาจนฟังแทบไม่ทัน รดาที่นั่งถือโทรศัพท์อยู่ในมือถึงกับหลุดขำออกมา
{เรื่องเมียมึง สำคัญพอไหม กูไม่น่าเปลืองแบตโทรบอกมึงเลย}
{กองทัพเพื่อนรัก เพื่อนผิดไปแล้วที่ว่าเพื่อนออกไปแบบนั้น สงสัยตอนนั้นพูดออกไปโดยไม่มีสติเพราะนอนน้อย เห็นใจเพื่อนคนนี้ด้วยนะ คุณกองทัพเป็นหมอย่อมรู้ดีว่าคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอจะเกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย}
{แต่ในตำราแพทย์ มันไม่มีโรคนี้รวมอยู่ด้วยนะ}
“โรคที่ว่านี้คือโรคอะไรเหรอคะ” รดาเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยจนลืมไปว่าคุณหมอหนุ่มนั้นยังไม่ได้วางสายจากเพื่อน
{ไอ้หมอ นี่มึงอยู่กับน้องรดาเหรอวะ กูเชื่อเลยยอมขับฝ่ารถติดอ้อมโลกไปเกือบ30กิโล เพื่อจะไปรับน้องมันตอนเช้า มึงนี่มันสุดจริง}
อาการชาเคลือบทั่วใบหน้าคมเข้มก่อนจะเอื้อมมือมากดตัดสายทันที รดาเองก็เกิดอาการเกร็งทำตัวไม่ถูกเช่นกัน
ภายในรถเงียบสนิทไร้ซึ่งบทสนทนาของทั้งสอง ใบหน้าเรียวเล็กจากตอนแรกที่มองการจราจรด้านหน้า บัดนี้เอี้ยวบิดตัวเอียงไปด้านข้างหันหลังให้กองทัพที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแอบชำเลืองมองเด็กสาวเป็นระยะ วันนี้รถติดกว่าปกติทุกวันเพราะมีพายุฤดูร้อนทำให้รถเคลื่นตัวได้ช้า
“ใส่เสื้อแล้วนั่งดีๆ นั่งแบบนั้นเดี๋ยวเหน็บกินเอา” แจ็กเกตตัวที่3ถูกวางลงบนตักรดาพร้อมกับยื่นมือไปกดปรับอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ด้วยด้านนอกฝนตกจึงทำให้อากาศเย็นกว่าปกติ
“คุณพกแจ็กเกตติดรถตลอดเลยเหรอคะ วันก่อนคุณก็พึ่งให้หนูยืมใส่ไปสองตัว นี่คุณเหมามาหมดทั้งช็อปเลยหรือไง” ก็พอรู้ว่าชายหนุ่มเป็นคนมีตังค์แต่แจ็กเกตแต่ละตัวราคาเป็นแสน และอากาศเมืองไทยก็ร้อนมากไม่จำเป็นเลยที่ต้องซื้อมาไว้หลายตัวแบบนี้ ปีปีหนึ่งจะมีโอกาสได้ใส่สักกี่วันและเท่าที่เธอเห็นก็สามตัวเข้าไปแล้ว ไม่รู้ชายหนุ่มจะมีอยู่ที่บ้านอีกกี่ตัว
“ซื้อตอนที่อยู่เมืองนอก และที่พกไว้ตลอดเพราะมีเด็กมันชอบใส่กระโปรงสั้น” รดารีบรับแจ็กเกตในมือชายหนุ่มมาคลุมตัวทันที ความเงียบเข้าปกคลุมจนรถยนต์คันหรูหักพวงมาลัยออกจากถนนเส้นหลักเข้าไปยังซอยเล็กๆ แคบๆ
“ทำไมคุณถึงขับเข้ามาในนี้ล่ะคะ” เมื่อรถมาโผล่ซอยเปลี่ยวที่ข้างทางมีแต่ป่ารดาเริ่มรู้สึกกลัวจึงเอ่ยถามขึ้น บวกกับบรรยากาศด้านนอกที่มืดครึ้มและสายฝนโปรยลงมาอย่างหนักจนมองแทบไม่เห็นทาง
“ถ้าขืนยังวิ่งเส้นหลักสิบโมงจะถึงมหาลัยไหม รถติดขนาดนี้”
“แล้วคุณรู้จักทางเหรอคะ ตรงนี้คือที่ไหนมีแต่ป่าหนูว่ามันน่ากลัวนะคะ” ดวงตากลมโตกวาดสายตามองรอบๆ ฝั่งสองข้างทางก็ไม่เห็นมีรถสักคันที่วิ่งมา ถึงจะอยู่ในรถที่ราคาแพงแต่ถ้าโจรมีอาวุธก็สามารถทำร้ายเธอกับชายหนุ่มได้อยู่ดี
“ผมอยู่ด้วยคุณจะกลัวอะไร ปืนอยู่ในลิ้นชักใครโผล่มายิงได้เลย” กองทัพแกล้งพูดแหย่เด็กสาวยิ่งทำให้รดากลัวมากขึ้น
“คุณพกปืนด้วยเหรอคะ”
“ถึงผมจะช่วยชีวิตคนไว้มากมาย แต่ผมก็มีศัตรูเยอะพอๆ กับแต้มบุญที่สะสมมา ชีวิตคนเรามีหลายด้านและตัวผมเองก็เหมือนคนอื่น ไม่ได้เพอร์เฟคอย่างที่คุณเข้าใจหรอก”
ใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งชั่วโมงรถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดภายในมหาวิทยาลัยพร้อมกับฝนที่หยุดตกพอดี
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
“ตั้งใจเรียนนะ แล้วแจ็กเกตที่ใส่อยู่ค่อยเอาไปคืนผมตอนเย็น”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 620
แสดงความคิดเห็น