ปาฏิหาริย์ซาตาน 4 : เพื่อนที่พลัดพราก (Rewrite)
ช่วงหัวค่ำยังอีกทางหนึ่งของวันเดียวกัน กำลังมีงานเลี้ยงครึกครื้นใหญ่โต คนชั้นสูงมากมายของอาณาจักรถูกเชิญเข้าร่วมงานต้อนรับราชทูตจากแดนอื่น ที่เดินทางมาส่งของขวัญให้แก่ราชธิดาแห่งอาณาจักรยิ่งใหญ่ในท้องทะเลสีทอง
เอลลิก้าเดินลงจากรถม้า ก้าวขึ้นบันไดพระราชฐานไปยังตัววังจัดเลี้ยง ทหารจำนวนหนึ่งคอยต้อนรับและตรวจคนเข้าออกอย่างขะมักเขม้นอยู่หน้าประตู เธอส่งสารเชิญที่มีลายพระหัตถ์รับรองจากองค์สุลต่านของอาณาจักรให้ทหารเหล่านั้นตรวจ จากนั้นจึงเดินผ่านประตูบานใหญ่เข้าไป
“ท่านเอลลิก้าเจ้าคะ งานเลี้ยงอยู่ทางนี้เจ้าค่ะ” นางข้าหลวงคนหนึ่งทักขึ้น เมื่อเห็นเด็กสาวยืนเก้ๆกังๆอยู่คนเดียว
“ขอบคุณค่ะ” เดินผ่านทหารและนางกำนัลบริวารในวังมากมายเข้ามาจนถึงโถงจัดเลี้ยงสุดหรู เอลลิก้าพบว่าในงานเลี้ยงนี้มีแขกทั้งในวังและนอกวังที่มีฐานะมากมายมาร่วมงานด้วย เสียงดนตรีบรรเลงให้หนุ่มสาวจับคู่กันออกมาเต้นรำอวดลวดลาย ใบหน้าทุกคนยิ้มแย้มรื่นเริงอย่างเห็นได้ชัด
สองขาเรียวเดินผ่านผู้คนมาเงียบๆ ไม่มีใครสนใจและมองเห็นเธอ แขกในงานให้ความสนใจแต่ความรื่นเริงที่ได้รับ จนกระทั่งมีบุคคลหนึ่งเดินเข้างานมา ทุกคนจึงหยุดทุกอย่างแล้วหันไปให้ความสนใจเขาแทน
“ข้าจะขอประกาศให้ทุกท่านทราบ..นี่คือ องค์หญิงอินแชนดี้แห่งอาณาจักร... ราชธิดาองค์เดียวแห่งองค์สุลต่านของพวกเรา!” น้ำเสียงทรงอำนาจของขุนนางมีอายุท่านนั้นบ่งบอกถึงศักดิ์และความอลังการยิ่งใหญ่ของฐานะผู้ถูกกล่าวถึงอย่างชัดเจน
ทุกคนในห้องปรบมือให้เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านหญิงสูงศักดิ์คนนั้นครู่หนึ่ง แล้วจึงพากันแสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียง โดยเหล่าบุรุษจะโค้งคำนับให้ ส่วนเหล่าสตรีจะพากันถอนสายบัวโค้มหัวพอประมาณ เนื่องจากเอลลิก้าอยู่ด้านหลัง จึงไม่อาจมองเห็นราชธิดาที่ถูกกล่าวถึงได้ถนัดตา ทว่าชื่อที่ถูกขานนั้นกระตุกหัวใจเธอได้ไม่น้อยทีเดียว หลังจากเสร็จพิธีแนะนำตัวราชธิดาแล้ว งานเลี้ยงก็เริ่มดำเนินต่ออย่างคึกคัก
“ขออภัยเถิด ท่านเอลลิก้า ข้าขอเชิญเป็นเกียรติเต้นรำกับข้าสักหน่อยได้หรือไม่"
ก่อนที่เด็กสาวจะได้เดินไปดูโฉมของราชธิดาแห่งองค์สุลต่าน เพื่อไขข้อข้องใจของตนเอง จู่ๆก็มีชายหนุ่มร่างยักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามาหาเสียก่อน
“เอ่อ..” ขณะเอลลิก้ากำลังหาทางเลี่ยง ชายหนุ่มหนวดเครายาวอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาสมทบ
“ท่านเอลลิก้าคงไม่สะดวกหรอกขอรับท่าน เพราะนางตกลงเป็นคู่เต้นรำกับข้าน้อยแล้ว” ชายหนุ่มผู้มาใหม่บอกหน้าตาเฉย
“จริงหรือท่าน?” ชายผิวเข้มร่างยักษ์หันมาถามอย่างไม่อยากเชื่อ
เอลลิก้าอึกอักพรางเหลือบสายตาไปมองชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่เล็กน้อย คิดในแง่ดีว่า อีกฝ่ายคงจงใจเข้ามาช่วย จึงหันกลับไปยืนยันกับชายภูมิฐานตรงหน้า
“ค่ะ ข้าต้องขออภัยท่านด้วย”
ได้ยินอย่างนั้นชายผิวเข้มจึงยอมเดินจากไป แต่ก่อนไป ขณะเดินผ่านชายหนุ่มผิวขาวที่เข้ามาขัดการสนทนา เขาก็หันไปมองหน้าชายหนุ่มคนนั้นด้วยความไม่พอใจ ต่อเมื่อชายคนนั้นเดินไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินเข้ามาใกล้บ้าง
“ขอบคุณขอรับที่เลือกข้าน้อย” เขาส่งยิ้มสวยให้
“ไม่เป็นไรค่ะ..ข้าเข้าใจจุดประสงค์ของท่าน และข้าต้องขอบคุณท่านที่เข้ามาช่วยข้า” เอลลิก้าตอบอย่างสุภาพและเต็มไปด้วยไมตรี จนคนฟังไม่อาจคิดได้เลยว่า เด็กสาวคนนี้หรือที่เป็นนักฆ่ามือหนึ่งของอาณาจักรแห่งนี้
“ข้าไม่ได้เข้ามาเพื่อช่วยท่านหรอกขอรับ ข้ามาเพราะอยากเต้นรำกับท่านต่างหาก” ชายหนุ่มผิวขาวสูงสง่า นัยน์ตาสีน้ำผึ้งกล่าวตามตรง “วันนี้ท่านแต่งกายงามมากขอรับ ข้าจึงอยากได้ท่านมาเป็นคู่เต้นรำให้กับข้า..” เขายื่นแขนแข็งแรงออกไปให้เธอจับ
“เอ่อ” เอลลิก้าอึกอักอีกครั้ง
"เป็นว่าตกลงนะขอรับ" แล้วฝ่ายนั้นก็ทึกทักเอาเองเสียเสร็จสับ
"เดี๋ยวค่ะ" เธอกำลังจะท้วง เขาก็จับมือพาเธอออกไปหน้าลานเต้นรำเสียแล้ว ก่อนจะถือวิสาสะจัดท่าเต้นรำให้เรียบร้อย จนสุดท้ายเธอก็ต้องเลยตามเลยอย่างเสียไม่ได้
การเต้นรำเป็นไปในท่วงท่าสวยงาม เดินก้าวเท้าหน้าหลังไปตามจังหวะเพลงที่บรรเลง แต่จวนใกล้จะจบเพลง จู่ๆชายหนุ่มก็ขอตัวเดินออกไป เอลลิก้าไม่ได้ติดใจอะไร เดินมาหยิบแก้วไวน์สัมฤทธิ์ขึ้นจิบพลางชมงานเลี้ยงไปเรื่อยๆ โดยลืมความตั้งใจเดิมไปชั่วขณะ
“เอล!”
เสียงหนึ่งทักมาจากด้านข้าง เอลลิก้าจึงหันไปตามเสียงเรียก เมื่อสายตาปะทะกับร่างในชุดกระโปรงสีขาวนวลตาสวมอัญมณีวิบวับเต็มชุด ความสวยสง่าโดดเด่นไม่เหมือนใครก็ทำให้เธอจำได้ทันที แล้วรีบเดินเข้าไปหาด้วยความดีใจ
“แชนดี้!..นี่แชนจริงๆใช่ไหม!” เอลลิก้ากล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้น
"ฉันเอง เธอมาอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?" อินแชนดี้ดีใจไม่แพ้กัน
"เอลว่าพวกเราไปหาที่ที่เป็นส่วนตัวคุยกันดีกว่า"
"จริงสิ งั้นมาทางนี้" แล้วอินแชนดี้ที่รู้จักวังนี้ดีกว่าก็เดินนำเพื่อนสาวออกมานอกงาน แต่ยังไม่ทันเดินพ้นงาน ทหารจำนวนหนึ่งก็เดินกันเข้ามาในห้องโถงพร้อมอาวุธครบมือด้วยท่าทีตื่นตัวเสียก่อน
“มีอะไรกัน?” ชีคท่านผู้ใหญ่คนสำคัญหันไปถามหัวหน้าทหารกลุ่มนั้น
“ขออภัยขอรับ พวกข้าได้ข่าวมาว่ามีพวกกบฏทะเลทรายปลอมตัวเข้ามาในงาน” หัวหน้าทหารแจ้งให้ได้ยินเพียงแค่สองคน
ชีคมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเรียกสติกลับมาทัน แล้วว่า
“ออกไปคุยกันด้านนอก" จากนั้นพวกเขาก็พากันออกจากงานไป
อินแชนดี้และเอลลิก้าที่ไม่รู้เรื่องอะไรนักก็ไม่ได้สนใจหาความเพิ่มเติม แม้จะแปลกใจกับการปรากฏตัวของเหล่าทหารองครักษ์กว่ายี่สิบนายในงานเลี้ยงไม่น้อยก็ตาม แต่เห็นว่าชีคท่านผู้ใหญ่รับเรื่องไว้แล้วจึงไม่ห่วงมากนัก ก่อนจะพากันผละจากงานมา
แสงสีทองแห่งรุ่งอรุณเริ่มฉายมาจากขอบฟ้า ดิโมล่าที่ตื่นก่อนพับเก็บที่นอนและของขึ้นไว้บนหลังอูฐเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ ยามเช้าในที่โล่งอย่างนี้มีสายลมอ่อนๆโชยมา ทำให้รู้สึกสดชื่นไม่น้อย เด็กสาวทรุดนั่งกับพื้นทราย ก่อนยกมือขึ้นสางผมให้เข้าทรง ไม่นานนัก เธอก็รู้สึกเหมือนมีคนเดินมาทางด้านหลัง จึงหันไปมอง
“เฮ้ยผี!” ดิโมล่าแกล้งทำเป็นตกใจ
“จะบ้าหรือไง นางฟ้าแสนสวยฟาร์เน่ต่างหาก มองเป็นผีไปได้ยังไง"
“ให้น้อยๆหน่อย” ดิโมล่าหมั่นไส้
“ว่าแต่ มานั่งทำมิวสิคทำไมตรงนี้จ๊ะคนสวยน้อยกว่าฉันนิดหน่อย” ฟาร์เน่ยังมิวายแหย่อีกฝ่ายเล่นต่อ
"มานั่งชมวิวสิยะ" ดิโมล่าตอบ
“เออ ผมยุ่งจริงด้วยอะ” ฟาร์เน่เห็นเพื่อนกำลังสางผมอยู่ก็นึกขึ้นได้ “ฉันว่านะ ตอนออกเดินทาง พวกเราต้องเก็บผมดีๆด้วย ก็อย่างที่รู้เร่ร่อนแบบนี้มันอันตราย” ฟาร์เน่หมายถึงเก็บผมให้ดูเหมือนผู้ชายนั่นเอง
“แน่สิ” ดิโมล่าเห็นด้วย
“ปะ งั้นเราออกเดินทางกันเลย ฉันจะรีบพาแกเดินทางไปเมืองด้านหน้าให้ได้ เผื่อจะเจอพวกที่เหลือบ้าง” พูดจบ ทั้งสองก็พากันลุกขึ้นไปที่อูฐก่อนจะออกเดินทางต่อ
“โอ๊ยเหนื่อย เป็นผู้ชายให้ผู้หญิงเดิน ช่างน่ารักจริง ขาก็แทบลาก เดินไม่ไหวอยู่ละ ยังมามัดมือกันอีก ชาตินี้ไปทำอะไรมาฟะถึงได้ลำบากขนาดนี้เนี่ย!” แวมไพร์เดินไปบ่นไปอยู่ตลอดทาง เพราะตอนนี้เธอได้เดินเท้า แทนที่จะได้ขี่อูฐสบายๆเหมือนตอนแรก
“ด้านหน้าก็ถึงโอเอซิสแรกแล้ว เดี๋ยวก็ได้พัก บ่นมาก อากาศร้อนแบบนี้ น้ำไม่พอเติมน้ำลายเจ้าหรอกนะ” เสียงเรียบดังมาจากคนที่นั่งอูฐอยู่ด้านหน้า
คนนั่งบนหลังอูฐอยู่ตลอดเวลาอย่างนายก็ว่าได้สิ!
เดินไปได้อีกสักพักก็ถึงโอเอซิสที่ว่าจริงๆ ทั้งสองคนจึงพากันเข้าไปพักผ่อนที่นั่น
“ว้าว! มีทะเลสาบด้วย” พอเข้ามาด้านใน แวมไพร์ก็ตาโตทันที เมื่อเห็นทะเลสาบไม่ใหญ่มากอยู่กลางแมกไม้ค่อนข้างร่มรื่น และดูท่ามันจะเย็นชุ่มใจเสียด้วย
“อยากอาบน้ำก็ตามใจ ข้าก็จะอาบอยู่พอดี” ชายหนุ่มพูดจบก็ถอดชุดคลุมด้านนอกออก ก่อนจะทำท่าถอดเสื้ออีกตัวออกตาม
“เฮ้ย! เดี๋ยวๆนะ หมายความว่ายังไง ข้าก็จะอาบอยู่พอดี อย่าบอกนะว่า...”
“อย่าลืมมาถูหลังให้ด้วย” พูดแค่นั้น เขาก็เดินออกไปหาที่ลงน้ำทันที
“ฮึ!?.." แวมไพร์หน้าตาตื่น "ถูหลังให้ด้วย..แหยะ จะบ้าตาย"
สภาพอากาศในทะเลทรายร้อนระอุแบบนี้ ไม่มีอะไรดีเท่าการแช่น้ำเย็นๆให้หนำใจ แวมไพร์ลงอาบน้ำมาได้พักใหญ่แล้วแต่ไม่มีท่าทีจะอยากขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ส่วนทางฝ่ายชายหนุ่มกลับต้องมานั่งเตรียมอาหารรอเธอแทนเสียอย่างนั้น
“เฮอะ ฉันไม่ขึ้นไปง่ายๆหรอก อยู่ในน้ำนี้เย็นสบายดีจะตาย แถมนายก็มาจิกหัวใช้ไม่ได้ด้วย” แวมไพร์พูดพลางใช้มือถูแขนในน้ำเล่นอย่างสบายใจ
“หาวๆ นี่เรายังไม่ได้นอนเลยหนิ รีบขึ้นดีกว่า" พูดจบ แวมไพร์ก็ค่อยๆว่ายเข้ามาใกล้ฝั่งที่มีเสื้อผ้าเธอวางพาดอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ามาใส่
เส้นทางผ่านที่เดินกลับไปหาชายหนุ่ม เด็กสาวก็ชื่นชมกับสิ่งแวดล้อมรอบข้างอย่างเพลิดเพลิน โอเอซิสนับเป็นจุดที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในทะเลทราย บางที่ต้นไม้หนาครึ้ม บางที่ต้นไม้บางตาหน่อย แต่ก็ไม่แห้งแล้งเกินไป
“มาถึงก็หลับเลยนะ..แต่อีตานี่มีมุมใจดีกับเขาด้วยหรือ เหลืออาหารไว้ให้ด้วย” พูดแล้วก็เดินเข้าไปจัดการกับอาหารที่เห็นจนเกลี้ยง
“เห็นหนวดอีตานี่แล้วรำคาญลูกตาชะมัด...” แวมไพร์มองหนวดยาวบนหน้าชายหนุ่มพลางครุ่นคิด “อืม หลับอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวข้าน้อยมา อย่าเพิ่งตื่นก่อนล่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินเพียงคนเดียวและสายตาเจ้าเล่ห์
“กลับมาแล้วเจ้านาย..หึๆ อุตส่าห์ไปนั่งขัดตั้งไกล” หายไปห้านาที แวมไพร์ก็กลับมาพร้อมกับมีดบางคมกริบที่เธอขโมยมาจากเจ้านายตนเองระหว่างที่เขาหลับอยู่
เธอย่อตัวนั่งลงใกล้ร่างแข็งแรงที่ยังนอนนิ่ง พยายามทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด ก่อนจะเริ่มโกนหนวดบนใบหน้าคมหล่อ ทว่ายังทำไม่ถึงไหน เปลือกตาของเขาก็ลืมขึ้น
“จะทำอะไร?" คำถามเรียบนิ่งหลุดออกมาจากปากเขา
“ถ้าไม่อยากเสียโฉมก็อยู่นิ่งๆซะ” แวมไพร์ขู่ ชายหนุ่มมองหน้าเธอเดี๋ยวหนึ่ง..แล้วจึงปิดเปลือกตาลงอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ
และเพียงไม่นานการโกนหนวดก็ผ่านไปด้วยดี ถึงแม้ในตอนแรกแวมไพร์คิดอยากจะเอามีดฝากแผลเป็นอะไรไว้เล็กน้อยก็ตาม แต่พอเห็นหน้าภายใต้หนวดเครานั้นแล้ว เธอก็เกิดทำไม่ลงขึ้นมา
"ทำไมเอลยังไม่มาอีกนะ?" อินแชนดี้ที่ออกมานั่งรอยังระเบียงหน้าวังบ่นกับตนเองด้วยความร้อนใจ แต่ไม่ทันขาดคำ เธอก็เห็นคนที่กำลังบ่นถึงขี่ม้าเข้ามาพอดี เด็กสาวจึงรีบลงไปหา
"ขอโทษที่มาช้าเพคะ ท่านลุงขอช่วยงานสักครู่ จึงต้องอยู่ช่วยก่อน" เอลลิก้าอธิบายให้เพื่อนฟัง ตอนนี้พวกเธออยู่ในชุดรัดกุมทะมัดทะแมงสำหรับออกนอกพระราชฐาน เพราะนัดกันไว้เมื่อคืนว่าจะออกตามหาเพื่อนสามคนที่เหลือในอาณาจักรแห่งนี้ก่อน
"เอาเถอะ ดีกว่าไม่มาเลย ข้าเตรียมคนไว้แล้ว ถ้าท่านไม่เหนื่อยจากการเดินทางมาที่นี่ เราก็ออกชมเมืองได้ทันทีที่ต้องการ" อินแชนดี้บอก
"ไม่เหนื่อยเท่าไหร่เพคะ สามารถออกเดินทางได้เลยถ้าพระองค์พร้อมแล้ว”
สองสาวพยายามพูดตามบทบาทที่ได้รับเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตแก่เหล่าข้าราชบริภารที่เดินพลุกพล่านในบริเวณนั้น
อินแชนดี้พยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปทางพระราชวัง แล้วออกปากเรียกบริวารคนหนึ่งเข้ามาหา รับคำสั่งจากเธอแล้ว ข้าราชบริภารคนนั้นก็เดินกลับหายเข้าไปในวัง รอครู่หนึ่ง จึงเดินออกมาพร้อมนางกำนัลสาวและนายทหารหนุ่มอีกสองคน
"หม่อมฉันขอให้เพื่อนไปอารักขาพระองค์ด้วยเพคะ" นางข้าหลวงที่อินแชนดี้จะให้นำชมอาณาจักรทูล
"งั้นก็ไปกันได้" อินแชนดี้ออกปากกับบริวาร ก่อนจะมีมหาดเล็กหนุ่มสามคนขี่ม้าเข้ามาส่ง อินแชนดี้และบริวารทั้งสองจึงเดินขึ้นม้าแต่ละตัว ส่วนเอลลิก้าก็กลับไปขึ้นม้าของตน จากนั้นทั้งสี่ก็พากันขี่ม้าออกเขตพระราชวังไปอย่างรวดเร็ว
#ผู้แต่ง ครองใจ เมตต์พิรุณ & Vampire
#ขอบคุณหัวใจ ของเธอ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 428
แสดงความคิดเห็น