บทที่ 9 วิธีการเอาคืน
เช้าแล้วทิวาลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงคนจากนอกห้อง ทิวาค่อย ๆ ลุกขึ้นจากใต้โต๊ะที่เธอเข้าไปซ่อนตัวอยู่ รู้สึกปวดตามเนื้อตามตัวซึ่งเกิดจากการนอนบนพื้นแข็ง ๆ นี่ทั้งคืน มองดูนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาแปดโมงห้าสิบนาที
“เชี้ย มีควิซย่อยวิชาอาจารย์มงคล! ” ทิวาไม่รอช้าวิ่งไปเปิดประตู แล้วก็โชคดีที่เปิดประตูได้แล้ว แล้วก็วิ่งไปล้างหน้า ล้างตาในห้องน้ำ เพราะไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืน อย่างน้อยล้างหน้าล้างตาให้รู้สึกสดชื่นก่อนเข้าห้องสอบก็ยังดี ตอนแรกทิวาคิดว่าคงจะนอนไม่หลับแล้ว และจะรอให้คนมาเปิดประตู แต่เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตื่นมาก็สายโด่งแล้ว ทิวาพยายามทำตัวเองให้เป็นปกติที่สุด ก่อนเข้าห้องสอบ ทำเอาลืมไปเลยว่าเมื่อคืนตั้งปณิธานว่าจะเอาคืนใครไว้
“ทิวา ทำไมมึงมาเอาป่านนี้อ่ะ” วิษณุกระซิบถามทิวาผู้ที่มาก่อนเวลาเรียนตลอด แล้ววันนี้มีควิซย่อยเธอไม่น่ามา (เกือบ) สายได้
“เอ่อ กูตื่นสายน่ะ” แต่กูไม่ได้มาสายนะเพราะกูนอนที่นี่ประโยคสุดท้ายทิวาไม่ได้พูดออกมา
“เอาล่ะทุกคน ถ้ามากันพร้อมแล้วก็เริ่มควิซได้ ส่วนใครไม่มาวันนี้ก็ไม่ต้องเอาคะแนน”
ยังโชคดีของทิวาที่ทบทวนบทเรียนอยู่เสมอ จึงยังพอทำได้ ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ดูจะตามเวรตามกรรมของแต่ละคนที่ทำมา ทิวาใช้เวลาทำข้อสอบค่อนข้างเร็วกว่าปกติเพราะเธอมีเรื่องใหญ่ที่ต้องสะสางหลังจากนี้
“ทาย คือกูถามอะไรหน่อยดิ” ทิวาที่นั่งรอเพทายออกมาจากห้องสอบอย่างร้อนใจ
“อืม ว่า” เพทายที่จะยังดูงง ๆ กับเพื่อนสาวที่ลุกพรวดขึ้นถามหลังจากเขาออกมาจากห้องสอบ แต่ก็ยังเอ่ยปากตอบเพื่อนที่จะดูร้อนใจเป็นพิเศษ
“คือ กูอยากรู้ว่าวันนี้พี่เขมมีเรียนมั้ยอ่ะ พอดีกูอยากคุยเรื่องสรุปชีทเรียนกับพี่เค้าหน่อยอ่ะ ว่าจะขอเอามาดูก่อนกูกลัวกูอ่านไม่ทัน” เธอเตรียมเรื่องโกหกเอาไว้แล้ว
“ฮึ มึงนี่เด็กเรียนจังนะ วันนี้พี่เขาเรียนบ่ายวิชาสถิติ แต่กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าห้องไหน แต่เดี๋ยวกูถามพี่เค้าให้ก็ได้” แต่ทิวาห้ามไว้
“ไม่เป็นไรมึง ข้อมูลแค่นี้ก็พอแล้ว ขอบใจมึงมาก” ทิวายังไม่บอกเรื่องนี้กับเพทาย เพราะเธอยังไม่มีหลักฐานยังไงซะเขมันต์ก็เป็นแฟนที่เพทายรักมาก เขาคงจะไม่เชื่อเธอง่าย ๆ แน่ ดีไม่ดีอาจจะคิดว่าเธอใส่ร้ายแฟนของเขาอีก
“งั้นมึงเอาเบอร์พี่เขาไปสิ เดี๋ยว …” ยังพูดไม่ทันจบประโยคเพทายก็ต้องชะงักเพราะทิวาพูดแทรก
“ไม่เป็นไรอ่ะมึง พอดีกูทำโทรศัพท์หาย แต่กูรู้ว่าจะหาพี่เขายังไงขอบใจมึงมากนะ อ่อ วันนี้พวกมึงไปกินข้าวกันเลยนะไม่ต้องรอกู”
“เอ่อ แล้วมึง…”
“เออ ช่วงนี้มึงเตรียมตัวเป็นเดือนหนักเลยล่ะสิ สู้ ๆ นะ กูไปล่ะ” พูดจบก็เดินจากไปทิ้งเอาเพทายยืนงงอยู่คนเดียว ‘อะไรมันจะรีบขนาดนั้นว่ะ’
หลังจากเดินออกมาทิวาก็เดินเข้าร้านสะดวกซื้อแถวคณะ เพื่อหาของกินเพิ่มพลังก่อนลุยศึกใหญ่ทันที เมื่อกินเสร็จก็เดินเข้าห้องสมุดของคณะที่อยู่ชั้นหนึ่ง เพื่อหาข้อมูลห้องที่เขมันต์เรียน ทิวาไม่สามารถไปนั่งดักรออยู่ทางเข้าได้เพราะที่คณะมีสองตึกเชื่อมหากัน มีถึงสามทางเข้า รอที่ลานจอดรถก็ไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเขาจะจอดไว้ที่ไหนลานไหน อาจจะเป็นจอดที่คณะใกล้ ๆ แล้วเดินมาก็ได้ มันเสี่ยงที่จะไม่พบเขาได้ ทิวาเปิดเว็บไซต์ของคณะแล้วเข้าไปค้นหาที่หลักสูตรรายวิชาสถิติ แล้วเลื่อนดูว่ามีอาจารย์คนไหนสอนบ้าง แล้วก็กดไปดูตามรายชื่ออาจารย์ แล้วเข้าไปที่ตารางสอนของอาจารย์คนนั้น
“เจอแล้ว ห้อง BS302” เมื่อจำชื่อห้องได้แล้วก็เดินตรงไปยังห้องนั้นทันที ทิวาเข้าไปดูในห้องแล้วแต่ไม่มีเขา จึงออกมายืนรออยู่หน้าห้อง เธออาจจะใจร้อนไปกว่าจะได้เวลาเรียนก็อีกตั้งยี่สิบนาที
ระหว่างที่ยืนรอก็มีรุ่นพี่ที่มาเรียนเดินเข้าห้องนั้นไปเรื่อย ๆ บางคนก็มีมอง ๆ ทิวาบ้าง บางคนก็ไม่ได้สนใจ บางคนมีซุบซิบแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง ทิวาไม่ได้สนใจคนเหล่านั้นเพราะคนเดียวที่เธอสนใจคือเขาแค่คนเดียว และแล้วเวลาที่ทิวารอคอยก็มาถึงเมื่อทิวามองเห็นว่าเขากำลังเดินเข้ามากับกลุ่มเพื่อนของเขาอีกสองคน กำลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติโดยไม่ได้สนใจคนที่ยืนรออยู่หน้าห้องเลย แล้วก็กำลังจะเดินเข้าห้องไป
“พี่เขม! ” เมื่อเขมันต์ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อของก็หันกลับไปมองทางต้นเสียง
“ว้าว นี่มึงมาขอบคุณกูเรื่องเมื่อวานหรอ” เมื่อเขมันต์เห็นเธอก็นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่เขาแกล้งเธอเอาไว้ขึ้นมาทันที
“วามีเรื่องจะคุยกับพี่ ไปคุยกันหน่อยสิ” ทิวาพยายามกดอารมณ์พูดกับเขา
“เฮอะ แล้วทำไมกูต้องไปกับมึงด้วย” ยัยเด็กคนนี้มันวอนจริง ๆ กล้ามาดักรอเขาถึงหน้าห้องแล้วยังจะมาขอให้เขาไปกับเธออีกงั้นรึ
“เฮ้ย ไอ้เขมน้องเขาก็อุตส่าห์มารอมึงถึงหน้าห้องเนี่ยมึงก็ไปคุยกับน้องเค้าหน่อยดิว่ะ อาจารย์เขายังไม่เข้าหรอก” วิทยาจำได้ว่าเด็กคนนี้คือคู่จิ้นของแฟนเขมันต์ที่โด่งดังในเพจรับน้องของมหาวิทยาลัย เขาเจอเธอแล้วเมื่อวานนี้
“ถ้าพี่อยากให้เพื่อนของพี่รู้ถึงความต่ำตมของพี่วาก็จะพูดอยู่ตรงนี้ก็ได้” ทิวาไม่ได้ขู่แต่จะพูดให้มันได้ยินทั้งสาขาเนี่ยแหละ
“หึ ปากดีนักนะมึง แต่วันนี้กูอารมณ์ดีกูจะไปกับมึงก็ได้” จากการที่ได้แกล้งเธอเมื่อวานนี้มันก็ทำให้เค้าอารมณ์ดีขึ้นมาก แล้วก็อยากรู้เหมือนกันว่ายัยเด็กนี่จะมีลูกไม้อะไรอีก
เมื่อเดินมาถึงระเบียงห้องที่มีคนไม่พลุกพร่าน ทิวาก็หยุดเดินแล้วหันไปประจันหน้ากับเขมันต์โดยตรงไม่หลีกเลี่ยงสายตา
“มึงมีอะไรก็พูดมา” เขมันต์เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จ้องเขาไม่ยอมพูดอะไร
“เอาโทรศัพท์วาคืนมา ถ้าพี่เขมไม่อยากมีปัญหา” ทิวาพูดเสียงเรียบ พร้อมกับยื่นมือออกไปข้างหน้า
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า อะไรของมึง โทรศัพท์ของมึงทำไมถึงต้องมาอยู่กับกู แล้วน้ำหน้าอย่างมึงอ่ะ จะทำอะไรกูได้! ” เขมันต์หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นรู้สึกขบขันกับคำขู่ของเธอ น้ำหน้าอย่างเธอจะมาทำอะไรเขาได้ เธอก็เหมือนกับเศษฝุ่นที่ติดอยู่ปลายรองเท้าของเขา แค่ใช้เท้าอีกข้างเขี่ยออกเศษฝุ่นมันก็กระจายออกไปคนละทิศคนละทางแล้ว เธอมาขู่เขาแบบนี้คิดว่าเขาจะกลัวอย่างนั้นหรอ
“พี่เขมนี่วาพูดกับพี่ดี ๆ แล้วนะ ...พี่รู้ใช่มั้ยว่าตึกนี้มีกล้องวงจรปิด” ทิวาช้า ๆ ชัด ๆ พูด
“แล้วยังไง” เขมันต์ถามขึ้นอย่างสนเท่ห์
“จริงอยู่ที่ในห้องสาขาไม่มีกล้องวงจรปิด แต่ตรงระเบียงทางเดินมี แล้วกล้องมันก็บันทึกเรื่องเมื่อวานไว้หมดแล้ว ถ้าเดาไม่ผิดพี่คงเป็นคนล็อกกุญแจขังวาไว้ในห้อง ซึ่งถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูฝ่ายวินัยนักศึกษาพี่เขมว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นคะ” ถ้าเรื่องนี้ไปถึงฝ่ายวินัยนักศึกษาจริง คงจะต้องมีการไต่สวนที่จริงจังแล้วไม่แน่ว่าเขมันต์อาจจะถูกลงโทษให้ถูกพักการเรียน หรืออาจจะโดนไล่ออกเลยก็ได้ ในกรณีที่ทิวาเป็นอะไรขึ้นมา เพราะการกักขังกันแบบนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ความจริงทิวาก็ไม่ได้อยากจะขู่เขาแบบนี้แต่กับคนแบบเขาพูดกันดี ๆ คงไม่ฟัง
แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ
เสียงตบมือของเขมันต์ดังขึ้น เขาเดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นแล้วก้มหน้าลงพูดกับเธอในระยะห่างแค่คืบ ทิวาก็แอบผงะไปเล็กน้อยที่เขามาใกล้เธอขนาดนี้ แต่ที่นี่คือมหาวิทยาลัย แถมยังเป็นตอนกลางวันเขาคงไม่กล้าทำอะไรโง่ ๆ แต่ถ้าเขากล้าทำเธอก็พร้อมที่จะสู้ ดังนั้นทิวาจึงจ้องตาเขากลับไม่ละสายตา
“กูชื่นชมแผนมึงที่คิดจะจัดการกับกูนะ กูฟังดูแล้วกูก็คงจะรู้สึกตื่นเต้นตามมากกว่านี้ ...ถ้ากูไม่รู้ว่ากล้องวงจรปิดชั้นหกมันเสีย” ประโยคสุดท้ายยื่นหน้ามาพูดที่ข้างหูทิวา
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทิวาแทบเข่าอ่อน จริงอยู่ที่ชั้นอื่นมีกล้องวงจรปิดแต่ว่ามันไม่เห็นว่าใครเป็นคนล็อกห้อง ถึงจะรู้ว่าคืนนั้นใครเป็นคนออกจากตึกเป็นคนสุดท้าย แต่มันก็ยังไม่มีน้ำหนักมากพอที่กล่าวหาเขา เพราะอาจจะเป็นคนอื่นล็อกเธอไว้ก่อนหน้านั้นก็ได้ ทิวากำมือแน่นรู้สึกแค้นใจ ทำไมกล้องต้องมาเสียเอาตอนนี้ด้วย
“พี่เขมแน่ใจนะว่าไม่ได้โกหกวา” เธอถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เขาอาจจะโกหกเธอก็ได้เพื่อเอาตัวรอด
“หึ กูจะโกหกมึงทำไม เพราะต่อให้กล้องวงจรปิดจะไม่เสียจริง ๆ มึงคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำอะไรคนอย่างกูได้งั้นหรอ” เขมันต์พูดพร้อมยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง ถึงกล้องวงจรปิดจะไม่เสีย แต่อำนาจเงินในมือของเขาสามารถทำให้สีดำกลายเป็นสีขาวได้ง่าย ๆ กับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้กระทบกระเทือนผิวหนังเขาเลยสักนิด อาจจะแค่วุ่นวายขึ้นนิดหน่อยแค่นั้น
“แต่ถึงจะยังไงกูก็ขอบใจมึงนะ ที่ดูจะพยายามสู้กับกู มันทำให้การที่กูจะกำจัดมึงมันไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด ส่วนโทรศัพท์ของมึงกูทิ้งไปแล้วล่ะ” พูดจบก็หันหลังกลับเดินไปเรียน ตอนนี้ทิวามืดแปดด้านอีกแล้ว โทรศัพท์ที่เธอเก็บเงินซื้อเป็นปีตอนนั้น เขาทิ้งมันไปอย่างไม่ไยดี เธอทำอะไรเขาไม่ได้เลย เธอต้องกลายเป็นเหยื่อแบบนี้อยู่ทุกครั้งไปอย่างนั้นหรอ แล้วดูแล้วเขาคงจะไม่ยอมหยุดง่าย ๆ แน่ ถ้าเธอไม่ยอมเลิกยุ่งกับเพทาย แต่เธออยากเป็นเพื่อนกับเพทายอยากเป็นเพื่อนกับมินนี่แล้วก็วิษณุด้วย เธออยากเป็นเพื่อนกับพวกเขาจริง ๆ
“พี่เขมก็มีพ่อแม่ใช่มั้ย” เขมันต์ชะงักฝีเท้าของตนเองไว้
“วาก็เหมือนกัน ...ถึงวาจะไม่มีพ่อ แต่วาก็เป็นลูกที่มีแม่ แม่ที่รักวามาก ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อวา แม่ไม่เคยต้องให้วาต้องลำบากเลยสักครั้ง ถึงแม้ว่าครอบครัวของเราจะจนมากแค่ไหนก็ตาม …แม่ก็จะทำทุกอย่าง เพื่อให้วามีความสุข ...ที่วาพูดเรื่องนี้เพราะวาอยากให้พี่เขมรู้ว่าพ่อแม่ของทุกคนรักลูกของตัวเอง ถ้าลูกเจ็บพ่อแม่ก็เจ็บยิ่งกว่า ...วาเองก็เป็นแค่เด็กบ้านนอกหัวเดียวกระเทียมลีบที่มาเรียนที่นี่ เพื่อทำตามความฝันเท่านั้น วาเองก็อยากจะมีเพื่อนที่เข้าใจไม่รังเกียจในความเป็นวาซึ่ง …” ทิวาพูดไปด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ พูดยังไม่จบประโยคเขมันต์ก็พุ่งตัวเขามาเต็มแรงแล้วใช้มือข้างนึงกระชากคอเสื้อทิวาเข้ามา มืออีกข้างบีบคางเธอเอาไว้
“มึงกล้าดียังไงมาพูดถึงพ่อแม่กู! มึงคิดว่ามึงพร่ำพรรณนาถึงความรักของมึงกับแม่มึง แล้วกูจะรู้สึกซาบซึ้งใจจนเลิกยุ่งกับมึง แล้วให้มึงไปเสวยสุขกับเพทายอย่างนั้นหรอ กูจะบอกมึงให้นะ แม่กูเนี่ยแหละที่เกลียดลูกอย่างกูยิ่งกว่ากิ่งกือไส้เดือน กูเองก็เกลียดแม่กูยิ่งกว่าซากศพที่เหม็นเน่าที่ลอยอยู่กลางทะเล” พูดจบเขาผลักเธอออกไปอย่างแรงจนล้มลงกระแทกพื้นอย่างจัง มือก็ไปโดนถังขยะล้มกระจัดกระจาย
ทิวาเองก็รู้สึกตกใจไม่ใช่น้อย เธอไม่ได้คาดหวังว่าผลลัพธ์มันจะเป็นแบบนี้เลย เธอจึงพูดแบบนั้นออกไป เผื่อว่าเขาจะเข้าใจและสงสารเธอบ้าง แต่ทิวาไม่รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของครอบครัวของเขมันต์ว่าเป็นยังไง ทิวารู้สึกแสบ ๆ บริเวณข้อมือที่กระแทกเข้ากับถังขยะสเตนเลส จึงยกมือขึ้นดูก็พบว่ามีเลือดไหลซึมออกมา จึงค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ก้นกบ คงเป็นเพราะว่าเมื่อกี้กระแทกแรงมาก เพราะเขาแรงเยอะจริง ๆ
“โอ้ย ดูสิจะผลักลงไปฝั่งขวาอีกนิดก็ไม่ได้ จะได้ไม่ต้องมาโดนถังขยะแบบนี้ โทรศัพท์ก็ไม่ได้คืนแล้วต้องมาเจ็บตัวอีก ...หึ แต่ก็ดี ตอนแรกคิดว่าจะซื้อเครื่องใหม่อยู่พอดี ขอบคุณนะเขมันต์ที่ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น! จะซื้อเครื่องใหม่เอาที่ให้ดี ๆ แพง ๆ กว่าเครื่องเดิมไปเลย ” ปากก็บ่นแต่มือก็ยังเก็บขยะลงถังที่เธอจับมันขึ้นตั้งแล้ว
…………………
‘กูจะบอกมึงให้นะ แม่กูเนี่ยแหละที่เกลียดลูกอย่างกูยิ่งกว่ากิ่งกือไส้เดือน กูเองก็เกลียดแม่กูยิ่งกว่าซากศพที่เหม็นเน่าอยู่กลางทะเล’
ทิวากลับมาถึงห้องแล้วก็นั่งคิดถึงคำพูดของเขมันต์ แม่กับลูกที่เกลียดกันขนาดนั้นมันจะมีสาเหตุมาจากอะไรได้นะ ทิวาคิดยังไงก็คิดไม่ออก เธอจะเข้าใจมันได้ยังไง ก็ในเมื่อเธอคิดมาตลอดว่าพ่อแม่คนไหนก็รักลูกของตัวเองทั้งนั้น แล้วแม่ก็รักเธอมากด้วย ในชีวิตของเธอถึงจะไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกโกรธพ่อของเธอที่ทิ้งเธอไป กลับคิดว่าเขาคงมีเหตุผลของเขาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางครั้งที่ทิวาคิดว่าอยากจะเห็นหน้าพ่อของตัวเอง หวังว่าเขาจะมาหาเธอบ้างสักครั้งหนึ่งในชีวิตก็ยังดีเธอจะจดจำใบหน้าของเขาไว้ให้ดีที่สุด แต่ก็ต้องตัดความคิดนั้นทิ้งไป เพราะไม่อยากทำให้แม่ไม่สบายใจ
*****************
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 625
แสดงความคิดเห็น