STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 4 กึ่งกลาง
“ตอนแรกผมก็อยากจะเจรจาก่อนแต่เห็นพวกคุณวิกตอเรียอยู่ใกล้ ๆ ก็เลยใช้ทางลัดสักหน่อย หวังว่าจะไม่โกรธกันนะครับ” ซึฮากิรินกาแฟที่ยูกิเป็นคนชงให้ซึ่งมีการเพิ่มคุณสมบัติช่วยให้สดชื่นตื่นตัวยิ่งกว่ากาแฟปกติ
“เรื่องเล็กน้อยน่า อย่างน้อยก็ได้เห็นหน้าทอดสีของนางแคทเทอรีน คนเขาอุตส่าห์ชวนไปเดินทางด้วยกันแต่กลับปฏิเสธซะได้ แล้วก็ยังไม่ลืมเรื่องข้อแลกเปลี่ยนของเราใช่ไหม?” วิกตอเรียยิ้มเยาะจ้องมองหน้าซึฮากิเหมือนกำลังรอคำตอบอยู่
“ครับ...คุณแม่”
วิกตอเรียถึงกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อได้ยินเช่นนั้น “ดีมากเจ้าลูกชาย เรารู้สึกว่ากิจังเหมือนลูกของเรามากกว่าเจ้าตัวปัญหาสองคนนั้นซะอีก”
“หมายถึงคุณไวโอเล็ทกับโยหรือเพคะ?” ฟรานถามด้วยท่าทางเกร็ง ๆ
“ใช่ ๆ สำหรับไวโอเล็ทถึงตอนนี้จะเป็นถึงอาจารย์ในโรงเรียนหลวงแต่กลับไร้ความทะเยอทะยานที่จะไปให้ไกลกว่านั้น ส่วนโยก็มักจะมุทะลุทำอะไรตามใจและชอบตีกับเจ้าโอบาบ่อย ๆ”
“ตอนนี้เขาปรับพฤติกรรมได้ดีขึ้นแล้วนะครับ อย่างน้อยก็เท่าที่ผมได้เห็น” ซึฮากิพูดต่อทันทีเหมือนอยากแก้ความเข้าใจผิดให้แม่ลูก
“อือ ได้ยินแล้วก็ชื่นใจขึ้นมาเหมือนกัน หวังว่าตอนที่เรากลับไปจะได้เห็นแผ่นหลังของผู้แข็งแกร่งไม่ใช่น้ำตาของเด็กผู้ชายที่ร้องหาแม่ จะว่าไปเรียกแม่อีกรอบสิกิจัง”
“ครับคุณแม่...” วิกตอเรียนั่งโอบไหล่เหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันและไม่นานนักฟรานก็เขยิบที่นั่งมาอยู่ข้าง ๆ เพื่อกอดแขนของซึฮากิไว้
“กิจังลองเรียกฉันว่าคุณแม่บ้างสิ”
“หา?” ซึฮากิสะดุ้งตกใจกับคำขอแปลก ๆ แบบนั้น
“เหอะ ก็ดีเหมือนกันนี่ เราเองก็ยืมวิธีเรียกกิจังมาจากเธอดังนั้นแบบนี้ก็ถือว่าเสมอกันสินะ”
“ใช่ ๆ เพราะฉะนั้นกิจังลองเรียกฉันว่าคุณแม่ได้เลย” ฟรานจ้องมองเข้าไปในดวงตาสับสนของพ่อหนุ่มหน้าตาย แววตาเลิ่กลั่กที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนกำลังเผยให้เห็นทำให้พวกเซนยิ้มเขินไปด้วย
“อา...ก็ได้ ๆ” ซึฮากิมองหน้าฟรานอีกครั้งเพื่อเป็นการเตรียมใจก่อนจะพูดต่อ
“ได้เลยครับคุณแม่”
วิกตอเรียหัวเราะลั่นควบคุมมือไม่ได้จนผลักคนโน้นคนนี้กระเด็นไปทั่ว กลับกันฟรานถึงกับนั่งนิ่งเขินแทนซึฮากิที่ต้องอะไรอย่างนั้น
“พอใจแล้วใช่ไหมครับ ทีนี้ก็มาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่า” ซึฮากิรีบเปลี่ยนเรื่องคุยก่อนที่จะต้องได้พูดอีกครั้ง
พวกเขาปรึกษาหารือเรื่องดันเจี้ยนและสำนักมนตร์ดำอยู่พักหนึ่งจนได้ข้อสรุปสั้น ๆ ออกมา
“ความน่ากลัวของพวกมันไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งแต่เป็นการที่มันแทรกซึมอยู่ทุกที่ ดังนั้นเราควรจะอยู่อย่างสงบเพื่อตบตาพวกมันแล้วก็ค่อย ๆ เตรียมกำลังพลไว้ต่อกร”
“แม้แต่พวกคุณก็ยังไม่กล้าลงมือใช่ไหมครับ?” ซึฮากิถาม
“เรื่องที่พูดมาก็ส่วนหนึ่ง แล้วก็พวกเราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับพวกมันอยู่แล้วก็เลยต่างคนต่างอยู่ไป”
“ก็จริง...แต่การบุกเข้าดันเจี้ยนในอาณาจักรคาค่อนข้างลำบากเพราะมีพวกสำนักยึดไปหมดแล้ว และสำนักมนตร์ดำก็มีพื้นที่มากถึงครึ่งหนึ่งของอาณาจักรคา ถ้ากำจัดสำนักมนตร์ดำได้พวกคุณก็จะได้ประโยชน์จากจุดนี้ด้วย”
วิกตอเรียยิ้มบางถอนหายใจสั้น ๆ “เราชอบวิธีการหว่านล้อมของกิจังจริง ๆ บอกคุณประโยชน์ที่ได้ก่อนแต่ก็เลี่ยงที่จะบอกความเสี่ยงมากมายไปด้วย แต่ก็นั่นแหละไว้สำรวจอาณาจักรนอดเสร็จเราจะไปสมทบด้วยอีกแรง” วิกตอเรียยื่นมือให้จับเป็นเสมือนสัญญาที่ไม่ต้องเขียนลงกระดาษ
“เป็นอันตกลงครับ” ซึฮากิจับมือตอบรับ
“แล้วเรื่องของลิงเมฆานั่นล่ะ? นายก็พอจะสังเกตเห็นใช่ไหมว่าพวกนั้นมีชื่อที่เหมือนกันและมาจากดันเจี้ยนเหมือนกัน”
ซึฮากิกวาดสายตามองซ้ายขวาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนนอกอยู่ใกล้ ๆ “ครับ ลิงเมฆา เคานต์แล้วก็เฮราต่างก็เป็นคนที่ออกมาจากดันเจี้ยนและมีชื่อสตาร์นำหน้าเหมือนกัน จริง ๆ ก็มีคนอื่นที่มาจากดันเจี้ยนอีกแต่ไม่มีชื่อแบบนั้น ก่อนหน้านี้ผมเคยลองถามเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาไปแล้วแต่ก็ดูเหมือนจะบ่ายเบี่ยงตอบแบบข้าง ๆ คู ๆ”
“ให้ตายสิ พวกนั้นคงจะมีความลับอะไรอยู่แน่ ๆ ถ้านับพลาววิ่งไลออนด้วยก็จะมีสี่คน ซึ่งถ้าอิงตามข้อมูลในหนังสือโบราณก็จะเหลืออีกสองคนเท่านั้นและเราจะยังตามหาต่อไป”
“ถ้าพวกเขากลับมารวมกันก็อาจจะยอมบอกความลับก็ได้...” ขณะที่กำลังพูดคุยกันก็มีออร่ามานาปรากฏด้านหลังรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
“กราบสวัสดีทุกท่าน” น้ำเสียงหยอกล้อที่ดูไม่เกรงกลัวใด ๆ ของชายหนุ่มคนหนึ่ง
“คะใคร?” ฟรานเอ่ยถาม
ขณะเดียวกันเซนที่รู้สึกไม่ปลอดภัยจึงพยายามจับตัวชายผู้นั้นไว้แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่มือกำลังจะได้สัมผัสเขาก็หายวับไปเสียแล้ว
“ใจร้อนกันจริง ๆ วันนี้ฉันมาทักทายเฉย ๆ แล้วพาศิษย์ตัวน้อย ๆ มาขอโทษให้เป็นเรื่องเป็นราวสักหน่อย” ชายผู้นั้นเปิดประตูมิติดึงตัวแคทเทอรีนออกมานั่งคุกเข่าต่อหน้าทุกคน
“ต้องทำจริง ๆ เหรอคะท่านยอซ”
“ยอซจอมมารแห่งการเดินทาง” วิกตอเรียกล่าวด้วยรอยยิ้มฉีกกว้างพร้อมกับเตรียมเวทมนตร์เข้าปะทะ
“ว้าว ! มีคนรู้จักชื่อฉันด้วยแฮะ รู้สึกเป็นเกียรติจริง ๆ เหมือนได้เป็นดาราอีกครั้งเลย”
“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง แล้วทำไมจอมมารถึงโผล่หัวมาที่นี่ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เอาแต่หลบซ่อนมาตลอด” วิกตอเรียต่อปากต่อคำกับจอมมารยอซไม่หยุดแต่มันก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้เหมือนไม่ได้สนุกแบบนี้มานานแล้ว
“ถามได้ดีแต่ไม่ตอบดีกว่า...” พูดไม่ทันขาดคำวิกตอเรียก็ขว้างบอลเพลิงใส่ไม่ให้ตั้งตัวแต่ชายผู้มีฉายาว่าจอมมารก็ได้เปิดประตูมิติรับบอลเพลิงนั่นแทน
“ใจเย็น ๆ หน่อยสิ วันนี้ฉันมาดูสภาพความพ่ายแพ้ของลูกศิษย์ที่น่ารักเท่านั้นไม่ได้อยากสู้ด้วยหรอก” ยอซกดหัวแคทเทอรีนลงต่ำเพื่อให้เธอหมอบราบกับพื้นเป็นการขอโทษ
“ฉันขอโทษที่ทำให้พวกนายต้องมาช่วย” แคทเทอรีนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนขณะที่ยังโดนกดหัวแนบกับพื้นอยู่
“อะอา...จะขอโทษทั้งทีก็ต้องขอโทษให้ครบสิ” รอยยิ้มไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขาทำให้แคทเทอรีนเหงื่อตกเหมือนจะร้องไห้เลยด้วยซ้ำ
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่จักรพรรดินีผู้ที่เป็นเจ้าของอาณาจักรนอดแต่กลับโดนกระทำเยี่ยงทาสที่ไม่มีค่า
“ขอโทษที่ฉันยังแข็งแกร่งไม่พอจนต้องให้คนนอกมาช่วย”
“ดีมากทีนี้ก็ฝากด้วยล่ะ ต่อจากนี้ซึฮากิจะเป็นอาจารย์คนที่สองของเธอ...และเธอต้องคอยติดตามแล้วสังเกตสิ่งที่ควรรู้ซะ”
“หมายความว่ายังไง?” ซึฮากิเดินเข้ามาประชิดเพื่อเอ่ยถาม
“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ ดูเหมือนฉันจะเป็นอาจารย์ที่ไม่ดีเท่าไรเธอก็เลยไม่แข็งแกร่งขึ้นสักที เพราะฉะนั้นฝากด้วยล่ะ” ยอซส่งรอยยิ้มอันเบิกบานให้ราวกับเชื่อสุดใจว่าซึฮากิจะทำในสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้
ขณะที่กำลังจะเข้าประตูมิติเขาก็หันหลังกลับมาพูดต่อ “ถ้าเธอดื้อฉันจะมาสั่งสอนเอง” รอยยิ้มอันสดใสเหมือนไม่มีพิษภัยแต่กลับทำให้แคทเทอรีนขนลุกไปทั้งตัว จากนั้นเขาก็เดินเข้าประตูมิติหายไป
“คราวนี้อะไรอีกล่ะเนี่ย” ซึฮากิเหลือบมองแคทเทอรีนที่นั่งคุกเข่าอยู่เงียบ ๆ และไม่นานนักพวกพลเอกก็มุ่งตรงมาด้วยความร้อนรน
“ท่านจอมพล !” เสียงร้องเรียกของเอธอสทำให้พวกเซนต้องออกไปต้อนรับ
“รุกล้ำอาณาเขตกันแบบนี้คงอยากมีเรื่องสินะ...” คานะเขกหัวเซนไปหนึ่งครั้งแล้วลากกลับไปด้านหลังให้ลุงโทลเป็นคนรับมือแทน
“มาตามหาจักรพรรดินีสินะ เธอปลอดภัยดีเพราะฉะนั้นลดอาวุธลงเสีย” ลุงโทลชักดาบออกมาเตรียมพร้อมปะทะ
“เหอะ เป็นแค่ลูกน้องเจ้านั่นยังมาทำตัววางก้ามอีก”
“พอได้แล้ว” แคทเทอรีนเดินออกมาหลังจากที่พวกเขาเกือบได้ปะทะกัน
เธออธิบายเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับสามพลเอกฟัง สีหน้างุนงงของพวกเขาแสดงให้เห็นว่ายังสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“หลังจากนี้พวกนายสามคนจะเป็นคนดูแลอาณาจักรนอด เพราะฉะนั้นตั้งใจทำให้ดีล่ะ”
“ท่านจอมพล ! เรา...” ปอร์ธอสส่งเสียงเรียกเหมือนกำลังจะถามอะไรสักอย่างแต่พอได้เห็นใบหน้าที่เรียบนิ่งของแคทเทอรีนเขาจึงหยุดชะงักเสียก่อน
“เชื่อใจพวกเราได้เลย”
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเยาะมาแต่ไกล “แววตาช่างน่าดูเสียเหลือเกินนะ”
“นี่ไม่ใช่ธุระของนาย...ยาซากะ” แคทเทอรีนกล่าวส่งท้ายก่อนจะเดินกลับเข้าเต็นท์ปล่อยให้ยาซากะที่กำลังจะมาหยอกล้อต้องมาเสียเที่ยว
เอธอสหัวเราะเยาะสวนกลับหลังจากที่แคทเทอรีนเดินหนีไม่คุยด้วย “ดูนั่นสิ ท่านจอมพลไม่อยากเกลือกกลั้วกับเจ้ายักษ์ซื่อบื้อหรอก”
“เหอะ ๆ ก็แค่ลูกไล่ของจักรพรรดินีทำมาเป็นพูด แต่ก็โชคดีเสียจริงที่ได้รับช่วงต่ออาณาจักรนอด”
“ลูกไล่บ้าบออะไร !” เอธอสและยาซากะถลึงตามองกันไม่ละสายตา
“พวกนายกลับไปเถอะ” น้ำเสียงอันเรียบนิ่งเอ่ยออกมาท่ามกลางความเดือดดาล หญิงสาวผู้เป็นคนสนิทของแคทเทอรีนเดินแหวกกลางพ่อหนุ่มทั้งสองเข้าไปในเต็นท์
“แหม ๆ ดูเหมือนเราจะเครียดกันเกินไปแล้ว ไหน ๆ ท่านจอมพลก็ยืนยันเองแล้วพวกเราก็คงต้องทำตามสิ่งที่เธอต้องการ หลังจากนี้เราคงไม่ว่างกันยาว ๆ แน่” อารามิสดึงตัวเอธอสออกห่างจากยาซากะ จากนั้นจึงพากันเดินกลับไปที่พักของตนเอง
ยาซากะถอนหายใจไม่สบอารมณ์ “วุ่นวายกันจริง ๆ” ในที่สุดเขาก็เดินกลับไปที่เต็นท์ของตนเองเหมือนเดิมเหลือเพียงพวกเซนที่ยืนรอดูสถานการณ์
“กลับไปกันสักที” ลุงโทลเองก็ถอนหายใจไม่ต่างกัน
“โธ่ ! อยากลองกับพลเอกอยู่เหมือนว่ามันจะสักเท่าไร” เซนมองออกไปเห็นแผ่นหลังของสามพลเอกอยู่ไกล ๆ ได้แต่คิดจินตนาการถึงการต่อสู้ของพวกเขา
“พอได้แล้วน่า พวกเราต้องเก็บแรงไว้รอให้ส่งเด็ก ๆ กลับบ้านก่อน หลังจากนั้นจะไปตะลอนที่ไหนก็เชิญ”
“จริงด้วยสิ แล้วกิมีแผนอะไรอยู่หรือเปล่าหรือจะรอเครื่องบินมารับเหมือนขามา?”
“ฉันก็ไม่รู้...เข้าไปถามเลยไหมล่ะ”
พวกเขากลับเข้าไปในเต็นท์เพื่อนั่งคุยกันต่อ
“แล้วเธอเป็นใครเนี่ย?” เซนถามขณะที่จ้องมองทีโอน่าไม่พัก
“ดิฉันเป็นคนรับใช้ของท่านแคทเทอรีน ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนดิฉันก็จะไปด้วย” เธอยืนนิ่งอยู่ข้างกายแคทเทอรีนแม้จะไร้แขนทั้งสองข้างแต่ก็ยังจงรักภักดีสุดหัวใจ
“อืม ดู ๆ แล้วไม่เหมือนคนรับใช้เลยนะ” เซนยังคงจ้องมองด้วยความสงสัย
“เลิกไปยุ่งกับเขาเถอะน่า” คานะยังต้องคอยลากเซนกลับไม่งั้นก็คงกวนประสาทพวกเธอเรื่อย ๆ
“ไม่ต้องทำหน้าหงอยนักหรอก ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเธอไม่ยอมรับคำเชิญของเรานั่นแหละ” วิกตอเรียหัวเราะในลำคอดูสะใจที่ได้เห็นสภาพของแคทเทอรีน
“ให้ตายสิ” แคทเทอรีนบ่นกับตนเองแถมยังไม่กล้าสบตากับใครเลย
“ทำไมถึงโยนภาระมาให้กันนะ? แต่ก็เอาเถอะดูแล้วเหมือนจะไม่มีท่าทีขัดขืนเลยสักนิด ดังนั้นต่อจากนี้ก็ฝากตัวด้วยล่ะ”
ขณะที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานยูกิก็เดินกลับมาพร้อมกับอาหารหลายอย่าง
“คุยเรื่องเครียด ๆ กันเยอะแล้วมาพักผ่อนกันดีกว่า” เขาไม่สนใจว่าใครจะอยู่ฝ่ายไหนเพราะเขาก็เป็นแค่พ่อครัวที่เสิร์ฟอาหารให้คนได้กินอย่างมีความสุขเท่านั้น
“โอ้ ! กลิ่นนี่มันอะไรเนี่ย?” นีน่าสูดดมสุดปอดแล้วเดินเข้ามาหายูกิด้วยความสงสัย
“กลิ่นใบโหนเป็นกลิ่นเฉพาะตัวเลยนะ” ยูกิตอบกลับ
“ใบโหนแล้วก็...เนื้อหมีป่าดันคาดสินะ ว่าแต่เจ้านี้คือเส้นอะไร?” นีน่าถามต่อทันที
“มันคือเส้นที่ทำจากแป้งอาวาไล”
ทั้งสองคุยกันเพลินขณะที่ช่วยกันเสิร์ฟอาหารไปด้วย ไม่ว่าจะระหว่างกินอาหารหรือกินอาหารเสร็จแล้วพวกเธอก็ยังคุยกันไม่หยุด
“อยากได้พลังเดอะของเธอบ้างจริง ๆ ถ้ามีมันฉันก็จะได้ทำอาหารอร่อย ๆ ได้ตามใจนึกเลย”
“พลังของคุณก็ดีนะที่ใช้พลังต่อสู้ได้ด้วย อย่างของข้าทำอะไรไม่ค่อยได้ก็เลยเป็นภาระคนอื่นอยู่บ่อย ๆ”
“โห่...ยอมรับด้วยเหรอ?” เซนยิ้มเยาะกวนประสาทแถมยังหัวเราะให้ได้ยิน
“ไปไกล ๆ ไป” ยูกิถีบจากด้านข้างเล่นเอาเซนหัวทิ่มลงพื้น
“อืม ๆ เป็นประเภทปากไม่ตรงกับใจนี่เอง” แม้เขาจะหัวทิ่มพื้นอยู่แต่ก็ไม่หยุดปากเสียที
“เจ้าเซนหน้าโง่เอ๊ย !” ยูกิไล่เตะก้นเซนขณะที่เขาพยายามวิ่งไปรอบ ๆ อย่างกับเด็ก ๆ เล่นวิ่งไล่จับกัน
พวกเขาส่งเสียงหัวเราะเพลิดเพลินไปกับความสงบสุขเพียงชั่วครู่ และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันไปทำตามเป้าหมายของตนเอง
“ไว้เจอกันนะครับ” ซึฮากิยกมือขึ้นมาถึงหัวไหล่เหมือนจะโบกมือแต่สุดท้ายก็ลดมือลงไปเสียก่อน พอฟรานเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปดึงมือซึฮากิช่วยโบกมือให้
“เดินทางดี ๆ นะคะ !” คำกล่าวลาของเธอทำให้อีกฝั่งส่งยิ้มและเสียงตอบรับกลับมา
หลังจากที่พวกวิกตอเรียออกเดินทางต่อพวกเขาก็ไม่นิ่งเฉยจึงเริ่มเดินทางเช่นกัน
“เราจะไปที่สนามบินรอโฟลมารับ” ซึฮากิยังคงเดินนำหน้าโดยให้เซนและคานะตามหลังสุดเพื่อระวังหลังให้
กว่าโฟลจะมาถึงตะวันก็ตกดินเสียแล้ว การเดินทางในยามค่ำคืนไร้ซึ่งระบบนำทางที่ทันสมัยทำให้หาจุดลงได้ยากลำบาก สุดท้ายซึฮากิก็เป็นคนเข้ามาขับเองในตอนขากลับเพื่อความปลอดภัย
“คุณยูกิเป็นยังไงบ้างครับ ผมเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ เหล่านั้นคุณคงได้เจอเรื่องอะไรดี ๆ มาใช่ไหมครับ?” โฟลถาม
“อืม...ก็นะ ข้าอยากให้เธอคนนั้นมาอยู่ในครัวเดียวกันจริง ๆ แต่ช่างเถอะเพราะเรื่องสำคัญต้องมาก่อน” ยูกิมองไปที่ซึฮากิเป็นการบ่งบอกว่าถ้าอยากรู้อะไรให้ไปถามเขา
“หลังจากนี้ฉันว่าจะลงไปที่ทะเลสักหน่อย”
“ทะเลเหรอครับ?” โฟลถามซ้ำเหมือนไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้าทำอะไรเช่นนั้น
“ใช่ ฉันจะลองไปเจรจากับพวกมนุษย์เงือกดู”
ภายในคืนนั้นพวกเขาก็ได้กลับมาถึงเมืองเอลโฟเรียเสมือนได้กลับบ้านในฝัน เพียงแต่ครั้งนี้มีคนที่ไม่ได้กลับมาด้วยแต่เพราะเธอไม่ค่อยได้พูดคุยกับคนอื่นจึงไม่มีใครรู้สึกเศร้าหรือหดหู่เท่าไร
31 พฤษภาคม พ.ศ.2576
ขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนเติมแรงแต่ซึฮากิกลับออกไปตรวจสอบสภาพโดยรอบของเมืองรวมทั้งระบบต่าง ๆ ที่วางไว้ให้คนงานทำ
เชื้อเพลิงสำรองสำหรับเครื่องบินมีพอใช้ได้อีกสี่เที่ยว ยังไงก็ไม่ค่อยได้ใช้อยู่แล้วเราคงต้องเน้นไปที่คมนาคมเพื่อให้ระบบเมืองเดินต่อไปได้สะดวก
“ของพวกนี้มันจะขยับได้แน่เหรอครับ?” คนงานในโรงงานชิ้นส่วนเครื่องยนต์ถาม
“ยังเป็นแค่รุ่นแรกซึ่งมีระบบที่ไม่ซับซ้อนพอให้ใช้ในการขนส่งคนในเมือง ขอแค่การทดสอบและประกอบเป็นไปได้ตามแบบที่วางไว้ก็ถือว่าดีแล้ว”
“คะครับ”
พอตรวจสอบเสร็จซึฮากิจึงมุ่งหน้าไปยังสนามทดสอบอาวุธต่อทันที
“งานเสร็จแล้วเราคงได้พักยาว ๆ แล้วสินะ” เดมิเดินเอ้อระเหยไปเรื่อย
“คงไม่แล้วล่ะ” เอแลนชำเลืองมองไปเห็นซึฮากิที่เปิดประตูเข้ามาพอดีจึงนั่งตัวตรงรอทักทาย
“หมายความว่ายังไง?” เดมิยังคงไม่รู้ตัวจนกระทั่งซึฮากิเดินมาประชิดและเธอก็ชนกับเขาจนได้
“คะ...คุณซึฮากิ” เธอก้มโค้งขอโทษทันทีและยืนนิ่งรอฟังคำสั่ง
“ปืนรุ่นแรกทดสอบครบแล้วสินะ”
“ค่ะ” นักทดสอบอาวุธทั้งสามได้แต่สวดภาวนาไม่ให้มีงานใหม่มาเพิ่ม
“ดีมาก ฉันให้พวกเธอพักหนึ่งอาทิตย์แล้วจะมีงานให้ทำต่อ”
เพราะยังไงตอนนี้ก็ต้องทำพิมพ์เขียวปืนสำหรับพวกหน่วยป้องกัน ปืนสไนเปอร์มีส่วนช่วยในการเจาะทะลวงเวทมนตร์ป้องกันและลอบสังหารแต่จะใช้เล็งยิงระหว่างเข้าปะทะคงยากเกินไป เป้าหมายต่อไปก็คือปืนกึ่งอัตโนมัติที่มีความคล่องตัวในการใช้งานและสามารถต่อต้านกลุ่มผู้ใช้เวทมนตร์ได้
“คุณซึฮากิเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่?” เดมิกระซิบคุยกับปีแอร์
“ไม่รู้สิแต่ขอแค่ผมไม่ต้องออกไปอยู่แนวหน้าก็พอแล้ว”
“ปอดแหกจริง ๆ” เอแลนกล่าว
ระหว่างที่กำลังกระซิบคุยกันซึฮากิก็เดินออกไปเสียแล้ว
อย่างน้อยตู้เย็นก็ยังขายได้ดีอยู่แต่เงินหมุนในคลังชักจะไม่พอแล้วสิ ทั้งต้องสร้างถนน โรงเรียนแล้วก็โรงไฟฟ้าอีก
ระหว่างที่เดินกลับที่พักเขาก็ยังคิดวิเคราะห์หาทางแก้ปัญหาต่อไป
“แคทเทอรีน” ซึฮากิส่งเสียงเรียก
“ค่ะ...อาจารย์” เธอตอบรับอย่างนอบน้อมแม้จะไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม
“เธอมีเงินส่วนตัวเยอะไหม?” พอแคทเทอรีนได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับขมวดคิ้ว
“อา...ส่วนใหญ่เป็นเพชรพลอยค่ะ”
เธอเหลือบมองใบหน้าเรียบนิ่งของซึฮากิแต่กลับสัมผัสได้ถึงความน่าขนลุกเหมือนกำลังมีมีดมาจ่อด้านหลัง
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็เอาทรัพย์สินทั้งหมดมาที่นี่เลย เพราะยังไงเธอก็ต้องอยู่กับฉันอยู่แล้วนี่”
เหอะ พอได้ทีก็เอาใหญ่เลยนะ “ได้ค่ะอาจารย์”
“แล้วก็การสอนเรื่องแรกเลยก็คือออกไปตัดหญ้ารอบ ๆ บ้านซะ” แคทเทอรีนได้แต่สงสัยเช่นเดียวกับทีโอน่าที่ยืนฟังอยู่ สุดท้ายเธอก็ต้องทำตามคำสั่งออกไปตัดหญ้าท่ามกลางแสงแดดสาดส่องจนเหงื่อไหลไม่หยุด
“ถ้าฉันมีแขนก็คงช่วยไปแล้ว” ทีโอน่านั่งสบาย ๆ อยู่ในร่มคอยมองดูแคทเทอรีนก้มตัดหญ้าเหมือนคนชราที่เกษียณอายุแล้วมาอยู่บ้าน
“เจ้าซึฮากิเอ๊ย ถ้าไม่ใช่เพราะท่านยอซพูดฉันคงเล่นมันไปแล้ว”
“เล่นอะไรนะ?” ซึฮากิเดินมาตรวจงานพอดีเล่นเอาเธอสะดุ้งทำกรรไกรหลุดมือ
“ปะเปล่า ฉันกำลังตั้งใจตัดหญ้าจริง ๆ” พอตอนนี้พูดเป็นกันเองเชียวนะ ถ้าท่านยอซยกเลิกคำสั่งเมื่อไรแกโดนดีแน่
“ตัดให้เสมอกันสิ เป็นถึงผู้มีเลเวลเก้าแต่กลับทำงานแค่นี้พลาดเหรอ?” ซึฮากิก้มมองดูความสูงของหญ้าแล้วกล่าวดูถูกไม่สนว่าเธอจะเคยมีตำแหน่งอะไรมาก่อน
“รับ…ทราบ…ค่ะ” เธอกัดฟันตอบรับและนั่งเล็มหญ้าต่อไป
“อืม พยายามเข้าล่ะ” พูดจบซึฮากิก็เดินจากไปโดยมีคำนินทากับท่าทางจะกระโจนใส่ตามหลัง
“พยายามเข้านะคะ” ทีโอน่าพูดตามที่ซึฮากิทิ้งท้ายไว้พยายามเยาะเย้ยหยอกล้อแคทเทอรีน
“หน็อย เดี๋ยวฉันหาทางสร้างแขนให้เธอก่อนจะได้ใช้งานให้หนัก ๆ”
ทีโอน่าหัวเราะขบขันกับแคทเทอรีนสองคนแม้มุกตลกจะเป็นเรื่องแขนขาดก็ตาม การอยู่ที่นี่สำหรับพวกเธอก็เหมือนได้ผ่อนคลายหลังจากที่ต้องอยู่ในภาวะสงครามมานาน
“อย่างน้อยก็ยังหวังแขนเทียมได้อยู่ ถึงจะไม่เหมือนแขนปกติแต่ก็พอทำอะไรได้บ้างไม่ต้องเป็นภาระเช่นนี้”
“อย่าคิดอย่างนั้นสิ” แคทเทอรีนเอาตัวเข้าประชิดดันทีโอน่าติดผนัง แม้เหงื่อจากใบหน้าจะไหลหยดผ่านดวงตาไม่หยุดแต่แววตาของเธอกลับจ้องมองไม่กะพริบ
“กลับไปทำงานของตัวเองเถอะน่า” ทีโอน่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใช้หัวผลักตัวแคทเทอรีนออกไป
ขณะเดียวกันที่สนามประลองก็มีมิโนทอร์ตัวโตกำลังเผชิญหน้ากับพ่อหนุ่มคนไฟลุกที่มาพร้อมกับดาบยักษ์
“ข้าไปฝึกมาแล้วเว้ยเจ้ามนุษย์ไฟ” บองหมุนแขนยืดเส้นยืดสายแล้วก็สร้างค้อนหินขึ้นมา
“ยังอ่อนหัดน่า !” เซนหมุนควงดาบโชว์ลีลาให้ดูเหมือนกัน
ทั้งสองเข้าปะทะกันจนสนามประลองเละเทะและถ้าไม่ได้คานะกับเฮราก็คงมีลูกหลงแน่ ๆ สุดท้ายเซนก็ยังชนะเพราะต่อให้บองฝึกฝนมามากแค่ไหนแต่เซนก็ไม่ได้อยู่เฉยและยังพัฒนาได้รวดเร็วอีกต่างหาก พอจบรอบแรกบองก็ยังท้าสู้ต่อ
“พวกเขาดวลกันอีกแล้วเหรอ?” เคานต์ยืนมองการดวลเดือดของพวกเขาก่อนจะถามคานะ
“แน่นอนอยู่แล้ว” ลิงเมฆาที่อยู่ข้าง ๆ ตอบแทน
“ไม่ได้ถามสักหน่อย” ขณะที่คุยด้วยเคานต์ก็ยังมองไปที่สนามประลองทำเหมือนเธอไม่มีค่าให้สนใจ
“สักทีไหมเนี่ยเจ้าค้างคาว !”
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากยุ่งกับพวกขนดก” เคานต์ยิ้มเยาะเย้ยกวนประสาทขณะที่ลิงเมฆาแยกเขี้ยวขู่
“พอได้แล้ว” เฮราเดินเข้ามาแทรกกลางและใช้น้ำเสียงอ่อนหวานห้ามปราม
หลังจากนั้นพวกเขาก็ผลัดกันเปลี่ยนคู่ประลองไปเรื่อยเสมือนการละเล่นฆ่าเวลาที่ช่วยฝึกการต่อสู้ไปในตัว
“แล้วกิไปไหน?” คานะถาม
“เห็นบอกว่าจะไปดูที่ทางทางใต้แล้วก็มีแค่ฟรานที่ไปด้วย นอกนั้นก็ไม่รู้อะไรแล้วล่ะ” เซนตอบ
“ทางใต้...หรือจะเป็นจุดที่เรานั่งเรือมา”
“อือ ๆ เป็นไปได้”
อีกด้านหนึ่งซึฮากิและฟรานได้เดินทางไปที่ทะเลทางใต้ของอาณาจักรอาฟ พวกเขาใช้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็มาถึงที่หมายซึ่งที่นั่นจะมีท่าเรือที่เหลือเป็นเศษซากให้ได้ดูต่างหน้า
“ใช้ได้เลยนี่นา ที่เหลือก็คือการสร้างถนนมาที่นี่แล้วก็เจรจากับพวกมนุษย์เงือก”
“เดี๋ยวฉันไปด้วยนะกิจัง” ฟรานจ้องมองด้วยแววตาออดอ้อน
“อืม แต่มันคงเสี่ยงไม่น้อยเลยนะ”
“ฉันจะไป” ฟรานตอบกลับทันทีเหมือนไม่คิดเลย
“ถ้าอย่างนั้นกลับไปเตรียมตัวกันเถอะ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 150
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น