บทที่ 6: หม่อมฉันมีดีให้อวดมากกว่านี้อีก!
“เรายังไม่ได้เอ่ยปากอนุญาตเลย เหตุใดพระชายาถึงลุกขึ้นแล้วล่ะ นี่พระชายากำลังลบหลู่เราอย่างนั้นหรือ!?” ฮองเฮาตวาดเสียงดัง
“ที่แท้หม่อมฉันก็อยู่ในสายตาขององค์ฮองเฮาตลอดเวลา” เฟิ่งมู่ชิงกล่าวพลางหัวเราะน้อย ๆ
ฝ่ายที่ได้ยินคำยอกย้อนถึงกับสำลัก
พระนางรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหน้าตำหนักเมื่อครู่ทั้งหมด เฟิ่งมู่ชิงกล้ากำเริบในอาณาบริเวณของพระนางเช่นนี้คงเป็นเพราะมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินคอยถือหางนางเอาไว้ นางถึงได้ใจกล้าไม่หวั่นเกรงผู้ที่อยู่ในตำแหน่งฮองเฮา
ทางด้านเหล่านางสนมต่างพากันตกตะลึงนิ่งงันไปหลายอึดใจ ยามที่เรียกสติตัวเองกลับมาได้ก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศอันหนักอึ้งกดลงมาบนบ่าของพวกตน เพื่อความอยู่รอดของตัวเองพวกนางจึงทำได้เพียงเก็บงำความรู้สึกภายในใจแล้วคอยสังเกตสถานการณ์ตรงหน้าเงียบ ๆ
ในขณะเดียวกัน นางสนมทั้งหลายไม่มีใครเข้าใจเลยว่าเหตุใดองค์ฮองเฮาจึงไม่ไว้หน้าพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ
“ดูสิเพคะ พอพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ เปิดปากก็พูดจาอวดดีต่อหน้าฮองเฮาเลย”
ทันใดนั้นเสียงหวานที่ฟังดูมีเสน่ห์ก็ดังขึ้นมา แต่น้ำเสียงไพเราะของเจ้าตัวไม่ได้ช่วยทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดดีขึ้นเลย มันกลับยิ่งเป็นการสุมไฟให้บรรยากาศแย่ลงไปอีก
เมื่อเฟิ่งมู่ชิงไล่สายตาไปตามต้นเสียง นางก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดสีชมพูนั่งอยู่ทางซ้ายของฮองเฮา รูปร่างภายนอกของนางดูโดดเด่นมากโดยเฉพาะดวงตาคู่สวยที่แค่สบตาเพียงชั่วครู่ก็สามารถกระชากวิญญาณของคนผู้นั้นไปได้ในพริบตาเดียว
“หม่อมฉันเคยได้ยินคนเล่าลือกันว่าลูกสาวคนโตของมหาเสนาบดีเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ที่หน้าตาอัปลักษณ์ หม่อมฉันไม่คิดเลยว่า...” สาวงามในชุดสีชมพูเหลือบมองรอยดำอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่บนใบหน้าซีกขวาของเฟิ่งมู่ชิงแล้วลากเสียงยาวทิ้งท้ายประโยค
“มันจะทำให้หม่อมฉันรู้สึกกลัวแทบตาย”
คำพูดของหญิงสาวในชุดสีชมพูทำให้ทุกคนในตำหนักเฟิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเห็นด้วย
ทันทีที่พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ เดินเข้ามาในตำหนัก ใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัวของนางก็เกือบจะทำให้เหล่าคนขวัญอ่อนวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงเพราะคิดว่ากำลังเจอผี
หากคิดในมุมมองที่กลับกัน ถ้าพวกนางมีใบหน้าที่อัปลักษณ์เช่นนี้คงไม่มีใครกล้าเข้าวังมาอวดโฉม นี่นางไม่กลัวที่จะทำให้พวกขุนนางขุ่นเคืองบ้างเลยหรือ?
ที่จริงแล้วพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ก็เป็นเพียงสตรีโง่ ๆ คนหนึ่ง
ช่างน่าเสียดาย…
พอคิดเช่นนี้ฮองเฮาก็รู้สึกโล่งใจ ก่อนที่นางจะหันไปพูดชื่นชมหญิงสาวที่สวมชุดสีชมพูด้วยท่าทางผ่อนคลาย
“จริงดังที่ลี่เฟยพูด เมื่อครู่ตอนที่เราเห็นหน้านางแวบแรกเราก็คิดว่านางเป็นผี”
ในเวลาเดียวกัน เฟิ่งมู่ชิงมองสลับไปมาระหว่างผู้หญิงทั้งสองคนที่คนหนึ่งร้องอีกคนรับเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ทำไมข้าต้องหอบสังขารตัวเองมาให้คนพวกนี้ดูถูกด้วยนะ นี่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกแท้ ๆ ก็หาเรื่องกันได้ขนาดนี้เลยหรือ?
“จะว่าไปแล้วคงไม่มีใครที่มีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ได้เหมือนพระชายาอีกแล้ว”
“ฮึ-คิกคิก”
กลุ่มคนที่คอยชมการแสดงกลั้นหัวเราะกันแทบไม่ไหว
ขณะนั้นเฟิ่งมู่ชิงเม้มริมฝีปากตัวเองพลางหมายมาดในใจว่า
หลังจากที่ข้ากลับไปถึงจวน ข้าจะกำจัดพิษบ้านี่ออกจากร่างกายให้ได้โดยเร็วที่สุด
พอหญิงสาวคิดว่าตั้งแต่ก้าวมาถึงตำหนักแห่งนี้ นางก็ถูกหยามเกียรติไม่หยุดหย่อน ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างหนึ่งนางก็คงเป็นคนที่ใจกว้างยิ่งกว่ามหาสมุทร
ข้าจะไม่มีวันยอมใครหน้าไหนทั้งนั้น อย่างน้อยต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีคนคอยพยุงเอาไว้ให้
“แบบนี้พระชายาควรต้องไปให้หมอหลวงตรวจดูสักหน่อยแล้ว” ลี่เฟยยังคงกล่าวคำดูถูกต่อ
“พระสนมไม่จำเป็นจะต้องมากังวลเกี่ยวกับเรื่องของข้าหรอก เพราะว่าในจวนมีข้าเป็นพระชายาเพียงผู้เดียว ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องแข่งขันกับใครเพื่อรับความโปรดปรานจากสามี”
“นี่ท่าน!” ลี่เฟยโกรธจนหน้าชา อีกฝ่ายกำลังล้อเลียนตนเองที่ต้องใช้ความงามแย่งชิงความโปรดปรานจากผู้ชายเพียงคนเดียวหรือไม่?!
นางคงกำลังริษยาข้าสินะ!
“บังอาจ! เจ้านี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลยสักนิด วันนี้เราจะสั่งสอนเจ้าแทนผู้สำเร็จราชการฯ เอง” ฮองเฮาพูดขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
นี่ถือได้ว่าเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดในการสั่งสอนให้สตรีนางนี้รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่ใช่หรือ? ในเมื่อโอกาสมาถึงมือแบบนี้แล้ว มีหรือพระนางจะปล่อยให้มันหลุดลอยไป
ทว่าเฟิ่งมู่ชิงกลับหัวเราะเบา ๆ โดยไม่สะทกสะท้านใด ๆ
“หึ ๆๆ ขอประทานอภัย หม่อมฉันแค่กลั้นไม่ไหว เชิญพระองค์กล่าวต่อเถิดเพคะ”
ท่าทางไม่ยี่หระของพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ทำให้ฮองเฮาโกรธมาก “ที่นี่ไม่ใช่จวนผู้สำเร็จราชการฯ ของเจ้า ที่เจ้าจะมาทำตัวสามหาวแบบนี้ ใครก็ได้! มาพาตัวพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ไปโบย 20 ไม้!”
“ช้าก่อน!”
จู่ ๆ นางสนมชุดสีน้ำเงินที่นั่งอยู่ทางด้านขวามือของฮองเฮาก็พูดขัดจังหวะขึ้นมา
ฮองเฮาตวัดตาคมดุมองนางสนมผู้นั้นพร้อมกับพ่นลมอย่างเย็นชา
“เต๋อเฟย เจ้าหมายความว่าอย่างไร!?”
“วันนี้เป็นครั้งแรกที่พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ได้เข้ามาในวัง แน่นอนว่านางย่อมไม่รู้จักกฎเกณฑ์ของที่นี่ ฮองเฮาทรงเมตตายกโทษให้พระชายาด้วยเถิด”
เต๋อเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานหยดย้อย ท่าทางนั้นมันเหมือนกับว่าการไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้ที่อยู่เหนือตนถือเป็นเรื่องเล็กน้อย
ยามนี้เฟิ่งมู่ชิงมองไปยังฮองเฮาที่นั่งอยู่บนตั่งสูง ก่อนจะหันไปมองเต๋อเฟยซึ่งมีท่าทีสงบด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความสนใจ
ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้กับตาตัวเอง ดูไปแล้วเต๋อเฟยผู้นี้คงจะเป็นคนที่ต่อกรด้วยยาก แม้กับฮองเฮานางก็ยังกล้าขัดคอ
ส่วนลี่เฟยคนนั้นน่าจะเป็นคนของฮองเฮา
แต่การที่เต๋อเฟยคนนี้ออกหน้ามาช่วยเหลือหญิงสาวนั้นย่อมต้องมีเหตุผล เป็นไปได้ไหมว่านางอยู่ฝ่ายเดียวกับจวินหรูเย่?
ทว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังทรงพระเยาว์ ความวุ่นวายในวังหลวงแห่งนี้คงจะมีไม่น้อย
แล้วการที่นางทำแบบนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
“บนโลกใบนี้หากไม่มีกฎเกณฑ์ก็คงสับสนวุ่นวาย พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ จะต้องเข้าใจความหวังดีของพวกเราอย่างแน่นอน” ฮองเฮาพูดเสียงต่ำในขณะที่จ้องมองเฟิ่งมู่ชิงด้วยสายตาเย็นชา
“ฮองเฮา…”
“เต๋อเฟยกำลังจะสั่งสอนเราว่าต้องทำอย่างไรเช่นนั้นหรือ?”
ขณะที่นางสนมในชุดสีน้ำเงินกำลังจะเอ่ยปากโน้มน้าวอีกครั้ง ฮองเฮาก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน นั่นทำให้คำพูดที่นางเตรียมเอาไว้ชะงักไปทันที ก่อนที่นางจะยืดตัวนั่งนิ่งดังเดิม
เนื่องจากนางเป็นไม้เบื่อไม้เมากับฮองเฮามาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงต้องการอำนาจของผู้สำเร็จราชการฯ มาคอยช่วยหนุนหลังอีกแรง แต่ท้ายที่สุดแล้วฮองเฮาก็คือฮองเฮา
อำนาจของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาของแผ่นดินนั้นมีล้นฟ้า และตัวผู้สำเร็จราชการฯ เองก็คาดเดาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เต๋อเฟยจึงทำได้เพียงเอ่ยปากช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น นางคงไม่กล้าออกหน้ามีปัญหากับฮองเฮาองค์ปัจจุบันมากนัก
แล้วท้ายที่สุดใครจะรู้ว่าพระชายาผู้นี้จะรู้สึกซาบซึ้งกับการกระทำของนางหรือไม่
"เราขอเตือนเจ้าเอาไว้หน่อยนะว่าเราคือฮองเฮา ส่วนนางผู้นั้นเป็นเพียงพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ" เต๋อเฟยที่ได้ยินคำพูดเชิงข่มขู่ก็พ่นลมอย่างเย็นชาพร้อมกับหันศีรษะไปอีกด้านหนึ่ง
ปัจจุบันทุกคนรู้จักผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นอย่างดี แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังต้องหวั่นเกรงเขา นางอยากจะรู้จริง ๆ ว่าฮองเฮาจะผลักดันเรื่องนี้จนไปจบลงที่ไหน
“ใครก็ได้มานี่ที มาเอาตัวนางไป!” ฮองเฮาออกคำสั่งเสียงเฉียบขาด
เป็นพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ แล้วอย่างไร? ตัวนางนั้นเป็นถึงมารดาของแผ่นดินนี้และสามีของนางเป็นโอรสสวรรค์ ใครกันแน่ที่ต้องเจียมตัว!
เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้วอย่างไร? หากเขาทำผิดกฎหมาย เขาก็คงไม่อาจก้าวข้ามอำนาจของฮ่องเต้ไปได้อยู่ดี
หลังจากทหารรักษาพระองค์สองคนได้ยินคำสั่งของฮองเฮา พวกเขาก็เข้ามาภายในตำหนักเฟิ่งอี๋แล้วตรงเข้าไปหาเฟิ่งมู่ชิงทันที
ทางด้านหญิงสาวหรี่ตาลงพร้อมกับขยับตัวอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาทหารรักษาพระองค์ทั้งสองคนก็ล้มลงไปกองกับพื้นแบบไม่ทันตั้งตัว
จู่ ๆ เฟิ่งมู่ชิงก็ลงมืออย่างอุกอาจ เหล่านางสนมในตำหนักจึงพากันตกตะลึง ทุกคนได้แต่เอามือป้องปากอุทานด้วยความหวาดกลัว
พระชายาผู้สำเร็จราชการฯ เป็นดั่งเสือหลับที่ไม่ควรเข้าไปแหย่ แม้กระทั่งในตำหนักเฟิ่งอี๋นางก็ยังกล้าลงมือ!
ดั่งคำคนที่เคยบอกว่าฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน ถ้าคนพวกนี้ไม่ได้มีนิสัยแบบเดียวกันคงจะอยู่รวมตัวกันได้ยาก
“อวดดีนักนะ!” ฮองเฮาตะโกนเสียงก้อง
“อวดดีอย่างนั้นหรือ หม่อมฉันมีดีให้อวดมากกว่านี้อีก!”
ในที่สุดหญิงสาวก็เข้าใจเสียทีว่าทำไมตอนแรกถึงเกิดเหตุการณ์แบบนั้นในตำหนักเฟิ่งอี๋ เป็นเพราะฮองเฮาไม่ชอบนางและอยากจะแสดงอำนาจว่าตนเหนือกว่า แถมตอนนี้ยังพยายามยัดเยียดข้อหาดูหมิ่นต่อฮองเฮาให้นางอีก
ทั้งที่รู้ว่านางมีจวินหรูเย่คอยหนุนหลังอยู่ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจมันเท่าใดนัก
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบฮองเฮา เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้ตั้งตัวเป็นศัตรูจงเกลียดจงชังนางได้ถึงเพียงนี้?
เป็นไปได้ไหมว่าระหว่างฮองเฮากับจวินหรูเย่นั้นมีเรื่องราวอะไรบางอย่างเกิดขึ้น?
อย่างไรเสีย ใบหน้าของเขาก็ค่อนข้างน่าดึงดูดมากเลยทีเดียว
“จับนางมาให้เราเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าลงมือได้เต็มที่ไม่จำเป็นจะต้องสนใจว่านางจะเจ็บหรือตาย!!”
ขณะเดียวกัน ทุกคนหันไปมองฮองเฮาผู้เกรี้ยวกราดด้วยสายตาเหลือเชื่อ พลางนึกสงสัยในใจว่าพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ไปทำอะไรให้พระนางต้องขุ่นเคืองใจจนต้องลงมือหนักถึงขั้นหมายเอาชีวิต
สตรีผู้นี้ไม่ใช่พระสนมที่คอยชิงดีชิงเด่นกันในวังหลังด้วยซ้ำ
อีกทั้งไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องบาดหมางระหว่างพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ กับฮองเฮามาก่อน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
วันนี้เทพบนสวรรค์ทรงกริ้วหรืออย่างไร เหตุใดถึงได้ปั่นป่วนเช่นนี้?
หลังจากทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้ยินคำสั่ง ทุกคนก็พากันกรูเข้ามาในตำหนักไปล้อมเฟิ่งมู่ชิงเอาไว้
ขณะนั้นหญิงสาวรวบรวมพลังภายในร่างกายตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ ก่อนที่นางจะพุ่งเข้าไปต่อสู้ระยะประชิดกับศัตรู
เนื่องจากพื้นที่ในตำหนักเฟิ่งอี๋มีขนาดเล็ก เฟิ่งมู่ชิงจึงฝ่าวงล้อมทหารรักษาพระองค์ออกไปตั้งหลักที่นอกตำหนัก
พอได้อยู่ในที่โล่งนางก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง อีกทั้งนางจะได้ยืดมือยืดเท้าได้สะดวก แล้วนางก็คิดว่าจะใช้โอกาสนี้ทดสอบฝีมือตัวเองว่าแย่ลงไปมากแค่ไหน
เมื่อฮองเฮาเห็นว่าพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ กำลังจะหลบหนี นางก็รีบตามอีกฝ่ายออกไปเพื่อไม่ให้คลาดสายตา
ปัจจุบันทหารที่ต่อสู้กับเฟิ่งมู่ชิงก็ลงมือเต็มกำลัง ส่งผลให้ในบริเวณนั้นมีทั้งแสงสีแดง สีเหลือง สีน้ำเงินและสีเขียววูบวาบในอากาศ ซึ่งความงดงามดังกล่าวช่างน่าตื่นตาตื่นใจยามได้พบเห็น
ทว่าคนที่ไม่ได้รู้สึกยินดีกับความงดงามนั้นก็คือเฟิ่งมู่ชิงที่ตอนนี้กำลังรับภาระอันหนักอึ้ง
นี่คือพลังวิญญาณงั้นหรือ?!
หญิงสาวรู้สึกถึงพลังวิญญาณที่ไหลเวียนอยู่ในอากาศ นั่นทำให้นางยิ่งต้องเพ่งสมาธิตัวเองให้จดจ่ออยู่กับการต่อสู้พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงการโจมตีที่พุ่งเข้าใส่จากรอบด้าน
เมื่อวานนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายหลายอย่างจนทำให้นางไม่มีเวลาศึกษาพลังวิญญาณของดินแดนนี้
ด้วยสถานการณ์คับขัน เฟิ่งมู่ชิงทำได้เพียงเค้นพลังภายในกายทั้งหมดออกมาต่อสู้อย่างสุดกำลัง
โชคดีที่อย่างน้อยนางยังคงสามารถรับมือกับพลังวิญญาณด้วยการใช้ศิลปะการต่อสู้โบราณ แต่พิษที่ไหลเวียนภายในร่างกายของนางยังไม่ได้รับการขจัดไป ร่างกายนี้จึงอ่อนแอมาก ดังนั้นยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ หญิงสาวก็ยิ่งต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อฮองเฮาได้เห็นว่าเฟิ่งมู่ชิงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคร่งขรึมของนาง
มาดูกันว่านางจะรั้งไว้ได้นานแค่ไหน
ปัง!
เฟิ่งมู่ชิงเพิ่มความเร็วของตัวเองจนถึงขีดจำกัดขณะจดจ่อกับการค้นหาช่องโหว่ของศัตรู พอสบโอกาสนางก็ทำการสังหารเป้าหมายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
นางควรทำอย่างไรดีจึงจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้?
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เอาซี่ แม้แต่ฮองเฮาก็ไม่กลัว แม่ฟาดทุกคน เพราะผัวใหญ่มาก!!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 201
แสดงความคิดเห็น