บทที่ 7: กำลังสนับสนุนกำลังมา
เมื่อฮองเฮาเห็นว่าจำนวนทหารรักษาพระองค์ลดน้อยลงเรื่อย ๆ นางก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก
นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องจะยุ่งยากมากขนาดนี้ หากเสียงการต่อสู้อึกทึกครึกโครมดังไปถึงหูของผู้สำเร็จราชการฯ แล้วละก็… นางนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ตูม!
ในขณะนี้ เฟิ่งมู่ชิงกำลังเผชิญหน้ากับหนึ่งในทหารรักษาพระองค์โดยใช้พลังภายในกับท่วงท่าการต่อสู้ที่สง่างาม และเพราะความรุนแรงจากการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจึงทำให้ต้นไม้โดยรอบถูกทำลายจนฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
จากการประมือกันไม่กี่ครั้ง เมื่อรู้ว่าต่างฝ่ายต่างมีฝีมือที่สูสีกัน ทั้งคู่จึงถอยหลังออกห่างจากกันสองสามก้าว
เฟิ่งมู่ชิงที่ถอยกลับไปตั้งหลักหรี่ตามองอีกฝ่ายพลางครุ่นคิดในใจ
คนผู้นี้แตกต่างจากทหารคนอื่น
อีกด้านหนึ่ง ในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้
เมื่อจวินหรูเย่โบกมือของเขา ทันใดนั้นโม่อิ๋งก็ปรากฏตัวขึ้นโดยแบกเฟิ่งหวานหว่านที่มีสภาพยับเยินเข้ามาด้วย ก่อนจะโยนนางลงบนพื้นแบบไม่ไยดี
“ท่านผู้สำเร็จราชการฯ ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” ‘ซือคงหรูซวน’ ที่เห็นสภาพของคนบนพื้นก็พยายามทำใจให้สงบแล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความสับสน
“ฝ่าบาทคงทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นในงานแต่งงานของกระหม่อม กระหม่อมแค่อยากรู้ว่าฝ่าบาทจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร?” จวินหรูเย่ชำเลืองมองชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมถามกลับอย่างเย็นชา
การรักษาความปลอดภัยในจวนผู้สำเร็จราชการฯ นั้นมีความเข้มงวดมาก ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะไม่สามารถคอยสอดส่องสายตาเข้าไปในจวนได้ตลอดเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าคนผู้นี้จะไม่ได้วางกำลังคนของตัวเองไว้บริเวณรอบนอก เพราะฉะนั้นคนตรงหน้าจะต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอน
ชายหนุ่มรู้มานานแล้วว่าซือคงหรูซวนหวาดกลัวต่ออำนาจของเขามากเพียงไร ด้วยเหตุนี้อีกฝ่ายจึงพยายามหาโอกาสที่จะกำจัดตนเสมอมา
แต่น่าเสียดายที่ฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้เพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ได้เพียงไม่นาน ดังนั้นเขาเลยไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะโค่นล้มจวินหรูเย่ได้
“นี่…”
ซือคงหรูซวนที่ถูกโต้กลับมีท่าทางลังเลที่จะกล่าวต่อ
“การแต่งงานระหว่างกระหม่อมกับคุณหนูใหญ่เฟิ่งนั้นเป็นพระราชโองการของฝ่าบาทโดยตรง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มหาเสนาบดีเฟิ่งทำคือการหลอกลวงเบื้องสูง นอกจากนี้การกระทำของคนเหล่านั้นยังเป็นการไม่เคารพต่อพระราชฎีกา ซึ่งตามกฎแล้วจะต้องถูกลงโทษประหาร 9 ชั่วโคตร”
จวินหรูเย่เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น แต่สิ่งที่เขาพูดออกมาฟังดูอำมหิตไร้ซึ่งความปรานีใด ๆ
เมื่อฮ่องเต้หนุ่มได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ในขณะที่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคลุมเครือ
เนื่องจากมหาเสนาบดีเฟิ่งเป็นหนึ่งในคนของเขา การที่จวินหรูเย่เอ่ยปากออกมาเช่นนี้ไม่เท่ากับว่ากำลังบังคับให้เขาตัดแขนขาของตัวเองออกหรอกหรือ?
“เช่นนั้นท่านผู้สำเร็จราชการฯ คิดว่าเราควรทำอย่างไรดี?”
ซือคงหรูซวนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่โยนปัญหากลับไปให้อีกฝ่าย
“หากถามความคิดเห็นของตัวกระหม่อม มหาเสนาบดีเฟิ่งและครอบครัวควรจะถูกลงโทษตามกฎหมาย” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ในเมื่อคนตรงหน้าถามความคิดเห็นของเขา แน่นอนว่าเขาย่อมต้องพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างสบายใจ
“เราว่า… เราไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ มหาเสนาบดีเฟิ่งทำงานหนักมาครึ่งชีวิตแล้ว หากลงโทษเขารุนแรงเกินไป เราเกรงว่าอาจจะทำให้ขุนนางคนอื่น ๆ รู้สึกไม่ดี”
ซือคงหรูซวนยังคงพูดต่อรองอีกฝ่ายด้วยท่าทางใจเย็นแม้ว่าภายในอกของเขาจะมีความโกรธสุมอยู่จนแทบระเบิดออกมา แต่ในตอนนี้เขายังไม่สามารถแสดงออกได้ตามใจ
“มหาเสนาบดีเฟิ่งขัดขืนพระราชโองการของพระองค์ อีกทั้งยังยั่วยุและท้าทายอำนาจของฝ่าบาท ดังนั้นเป็นเรื่องสมควรที่ฝ่าบาทจะต้องเป็นผู้ตัดสินพระทัย” จวินหรูเย่เอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้หนุ่มดูเหมือนลังเลใจที่จะลงโทษคนของตัวเอง
เมื่อซือคงหรูซวนเหลือบมองไปยังเฟิ่งหวานหว่านที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เขาก็ถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวออกมาว่า
“มหาเสนาบดีเฟิ่งทำงานหนักมาหลายปีและทำความดีความชอบให้แก่ราชสำนักไว้มากมาย ดังนั้นโทษของเขาคือถูกลดเบี้ยหวัดเป็นระยะเวลา 1 ปี และห้ามมิให้เข้ามาในท้องพระโรงเป็นเวลาครึ่งปี ส่วนเฟิ่งหวานหว่าน เนื่องจากท่านผู้สำเร็จราชการฯ ได้ระบายความโกรธต่อนางแล้ว เพราะฉะนั้นแค่กักบริเวณนางมิให้ออกนอกจวนสกุลเฟิ่งก็น่าจะเพียงพอ”
ขณะที่ฮ่องเต้หนุ่มพูด เขาแอบชำเลืองมองจวินหรูเย่พร้อมกับสังเกตสีหน้าท่าทางของคนตรงหน้า
ทางด้านจวินหรูเย่ก็มองไปยังอีกฝ่ายด้วยท่าทีสงบราวกับว่าเขาไม่ได้สนใจผลลัพธ์ของเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นกระหม่อมจะฝากเรื่องนี้ไว้กับฝ่าบาท ตอนนี้ถึงเวลาที่กระหม่อมจะต้องไปรับพระชายาแล้ว”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ เขาก็บังคับรถเข็นให้หันหลังกลับ ส่วนโม่อิ๋งที่เตรียมพร้อมรออยู่แล้วก็ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยผลักรถเข็นของผู้เป็นนายไปทางตำหนักเฟิ่งอี๋
“เราจะไปกับท่านด้วย!”
ครั้นซือคงหรูซวนเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะจากไป เขาก็ตัดสินใจรีบตามอีกฝ่ายไปด้วย เพราะตัวเขาอยากเห็นพระชายาผู้สำเร็จราชการ ฯ ที่ทุกคนต่างเล่าลือกันด้วยตาของตัวเอง เพื่อดูว่าสตรีนางนั้นจะแย่อย่างที่ข่าวลือบอกไว้หรือไม่
…
ณ ตำหนักเฟิ่งอี๋
เมื่อนางสนมที่ตามกันออกมาเห็นสถานการณ์ภายนอกแล้ว พวกนางต่างก็ตกใจส่งเสียงกรีดร้องกันเป็นทิวแถว สายตาของพวกนางที่มองเฟิ่งมู่ชิงในเวลานี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกปนหวาดกลัว
ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่เหมือนอสูรร้ายนั้นดูมืดมน ประกอบกับความแข็งแกร่งของหญิงสาวที่สามารถรับมือกับทหารรักษาพระองค์ได้เป็นเวลานาน ทำให้เหล่าสนมทั้งหลายตัวสั่นด้วยความหวั่นเกรง
แม้แต่แผ่นหลังของฮองเฮาก็มีเหงื่อเย็นผุดออกมา
ไม่สิ… ในเมื่อตัดสินใจลงมือไปแล้ว ข้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจได้อีก ถ้าวันนี้เฟิ่งมู่ชิงไม่ถูกจัดการ หาไม่แล้ว… สิ่งที่รอข้าอยู่ข้างหน้านั้น…
นางไม่กล้าจินตนาการถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้เลย
ที่ผ่านมานางได้ยินเสียงร่ำลือถึงวิธีจัดการศัตรูของผู้สำเร็จราชการฯ มานาน แต่ชายที่มีจิตใจด้านชาและไร้ความปรานีเช่นเขาจะเอาใจใส่เฟิ่งมู่ชิงที่เป็นคนไร้ประโยชน์ได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีผู้นี้ยังมีใบหน้าครึ่งหนึ่งที่เหมือนปีศาจร้ายอีกด้วย!
“ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนพวกเจ้าจะต้องจับตัวนางมาให้ได้!”
เมื่อทหารรักษาพระองค์ที่เหลือได้ยินคำสั่งของฮองเฮา พวกเขาก็ตอบรับเสียงดัง ก่อนจะรีบพุ่งเข้าหาเป้าหมายอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน เฟิ่งมู่ชิงที่ได้ยินคำสั่งอันไร้ความเมตตาก็เหลือบมองไปยังผู้เป็นมารดาของแผ่นดินด้วยสายตาเย็นชา
จากนั้นนางก็คว้าดาบของทหารรักษาพระองค์ผู้หนึ่งพร้อมทั้งครุ่นคิดถึงวิชากระบี่ที่นางจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้า
เข้าใจแล้ว!
ในโลกแห่งการต่อสู้ ความเร็วเป็นสิ่งเดียวที่ไม่มีใครสามารถต่อกรได้ และจุดเด่นของวิชากระบี่หลานเยว่ที่นางรู้จักก็คือความเร็ว!
ทันทีที่เฟิ่งมู่ชิงคิดได้ดังนั้น นางก็กระชับดาบในมือแน่น ก่อนจะโคจรกำลังภายใน แล้วพุ่งเข้าไปฟาดฟันกับเหล่าทหารรักษาพระองค์อีกครั้ง
ชิ้ง! เคร้ง!
เสียงปะทะกันของคมดาบดังขึ้นชัดเจน ในขณะที่ใบมีดแวววาวสะท้อนใบหน้าครึ่งอัปลักษณ์ของหญิงสาว ซึ่งขับให้สีหน้าของนางในตอนนี้ดูเย็นชาราวกับปีศาจร้ายที่หมายเอาชีวิตศัตรู
บัดนี้กลุ่มทหารรักษาพระองค์และเฟิ่งมู่ชิงต่างต่อสู้กันจนสุดกำลัง และภายในเวลาไม่นาน อุทยานในตำหนักเฟิ่งอี๋ก็ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง พร้อมกับกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เมื่อเหล่าสนมเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า พวกนางหลายคนก็ทนไม่ไหวจนต้องหลบมุมแอบไปอาเจียน
ครั้นพอฮองเฮาเห็นว่าสตรีตรงหน้าเข่นฆ่าคนของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย หัวใจของนางก็เต้นแรงจนแทบกระโจนออกจากอก ฝ่ามือขาวใต้เสื้อคลุมลายหงส์นั้นกำแน่นจนเล็บของนางจิกเข้าเนื้อซึ่งทำให้เลือดไหลซึมออกมาโดยไม่รู้ตัว
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างมีฝีมือทัดเทียมกัน อีกทั้งทหารรักษาพระองค์ก็รู้ว่าเฟิ่งมู่ชิงไม่มีพลังวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามใช้พลังวิญญาณเพื่อควบคุมนาง
ในตอนนี้ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถเอาชนะกันได้ พวกเขาเลยหยุดมองหน้ากันอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพุ่งเข้าประดาบกันแบบดุเดือดอีกครั้ง
ทันใดนั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ผู้คนที่ได้ยินล้วนสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“โม่อิ๋ง ฆ่าพวกมันให้หมด ไม่ต้องปรานี!”
ในขณะที่เฟิ่งมู่ชิงกำลังดิ้นรนต่อสู้อยู่นั้น โม่อิ๋งก็กระโจนเข้ามาร่วมการต่อสู้ทันที แล้วสังหารทหารรักษาพระองค์ที่เหลืออยู่ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว
หญิงสาวที่เห็นภาพดังกล่าวก็เหลือบมองไปยังผู้มาใหม่ จากนั้นจึงเลื่อนสายตามองไปยังดาบที่อยู่ในมือของเขา ก่อนจะเม้มริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ
หลังจากที่ข้ากลับไป ข้าจะต้องล้างพิษบ้านี่ให้หมด
กี่ครั้งแล้วที่ข้าถูกมดปลวกตัวกระจ้อยคอยไล่ล่าหมายเอาชีวิต
ต่อมา เฟิ่งมู่ชิงโยนดาบในมือทิ้งด้วยความรังเกียจ แล้วค่อย ๆ เดินไปหาจวินหรูเย่
ทางด้านชายหนุ่มเห็นหญิงสาวเดินเข้ามาหาตนจึงมองสำรวจทั่วร่างของนางอย่างระมัดระวัง พอเห็นว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้กลิ่นฉุนของเลือดที่ลอยมาแตะจมูก
“เกิดอะไรขึ้น?” จวินหรูเย่มองไปที่เฟิ่งมู่ชิงก่อนจะเอ่ยถามเสียงเข้มจนทำให้ฝ่ายที่ได้ยินรู้สึกตกใจ
ดูเหมือนว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือข้า
ครั้นหญิงสาวนึกได้เช่นนั้น นางก็แอบมีความสุขอยู่ในใจ แต่ใบหน้าของนางที่แสดงออกมากลับเต็มไปด้วยความโกรธ
“เรื่องนี้หม่อมฉันต้องถามพระองค์มากกว่า”
“???”
จวินหรูเย่ที่ได้ยินหญิงสาวตอบกลับมาแบบนั้นก็รู้สึกสับสนอย่างเห็นได้ชัด นางจึงขยายความให้ชายหนุ่มฟังว่า
“พระองค์มีความแค้นกับฮองเฮาหรือไม่? ทำไมพระนางถึงโจมตีหม่อมฉันทันทีที่มาถึงตำหนักเฟิ่งอี๋ แถมยังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหาข้ออ้างที่จะสังหารหม่อมฉัน”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังกล่าว เขาก็ตวัดตามองไปยังฮองเฮาทันที โดยที่ดวงตาสีนิลอันเฉียบคมจับจ้องประหนึ่งว่ามันเป็นหนามน้ำแข็งที่ตรึงร่างของอีกฝ่ายไว้
ทางด้านฮองเฮาที่เห็นผู้สำเร็จราชการฯ มาอยู่ตรงหน้า หัวใจของนางดูเหมือนจะเต้นผิดจังหวะ นางรีบก้มหน้าลงเพื่อหลบเลี่ยงสายตาของชายผู้นั้นด้วยความหวาดหวั่น
“ฝ่าบาท พระองค์ควรให้คำอธิบายเรื่องนี้แก่กระหม่อม”
จวินหรูเย่พูดกับผู้ที่ติดตามตนมา ทำให้เฟิ่งมู่ชิงสังเกตเห็นซือคงหรูซวนซึ่งอยู่ในชุดคลุมลายมังกรสีเหลืองสดใสที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยอี้ผู้นี้ดูยังหนุ่มแน่น แถมรูปโฉมก็ค่อนข้างหล่อเหลา ทว่าเขากลับถูกบดบังอยู่ภายใต้รัศมีของจวินหรูเย่เสียหมด
พอทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินคำพูดของผู้สำเร็จราชการฯ พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าผู้ปกครองของแคว้นก็มาเยือนที่นี่ด้วยเช่นกัน
ทุกคนจึงรีบโค้งคำนับและกล่าวทำความเคารพแก่ผู้อยู่เหนือหัวตน
ปัจจุบันซือคงหรูซวนมีสีหน้าที่ไม่มีความสุขนัก เขาเหลือบมองไปยังจวินหรูเย่ด้วยสายตาเย็นชา
มันเป็นเช่นนี้เสมอมา ตราบใดที่จวินหรูเย่ยังอยู่ เขาซึ่งเป็นราชาของแผ่นดินก็มักจะถูกเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง และด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้เขารู้สึกเกลียดอีกฝ่ายเข้ากระดูกดำ
สักวันหนึ่งข้าจะต้องกำจัดอุปสรรคขวากหนามที่อยู่ตรงหน้าออกไปให้ได้
เพราะข้าคือซือคงหรูซวน จักรพรรดิแห่งแคว้นเป่ยอี้!
“ฝ่าบาท พระองค์ต้องตัดสินแทนหม่อมฉันนะเพคะ”
เมื่อฮองเฮาเห็นซือคงหรูซวน นางก็รีบพุ่งเข้าไปหาเขาทันที ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าพลางร้องไห้ออกมาเป็นเผาเต่าจนดูน่าสงสาร
“ฮองเฮา เกิดอะไรขึ้น?”
ขณะนั้นฮองเฮายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท เป็นเพราะพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ ไม่รู้มารยาทและละเลยกฎเกณฑ์ของวังหลวง หม่อมฉันเพียงแค่ต้องการสั่งสอนบทเรียนให้แก่นาง แต่หม่อมฉันไม่คิดว่าพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ จะไม่พอใจจนลงมือเช่นนี้ นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพคะ”
ก่อนที่ฮองเฮาจะพูดจบ นางก็หยุดเพื่อสะอื้นไห้เบา ๆ และกล่าวต่อว่า “หากมิเชื่อ ฝ่าบาทสามารถถามเหล่าสนมได้นะเพคะว่าหม่อมฉันใส่ร้ายพระชายาผู้สำเร็จราชการฯ หรือไม่”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 278
แสดงความคิดเห็น