ตอนที่ 757 จู่ ๆ ทุกคนก็ดูยุ่งหมดเลย
ตอนที่ 757 จู่ ๆ ทุกคนก็ดูยุ่งหมดเลย
เมื่อเฝิงซินเหนียนกับหลางซุนเย่มาชวนไปเที่ยวถึงที่บ้าน เซี่ยเฟยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากจะต้องออกเดินทางไปพร้อมกับสหายทั้งสอง
ในเวลาเพียงแค่ไม่นานเซี่ยอู๋เย่ก็นำสมุนไพรมาให้กับเซี่ยเฟย ทั้งเฝิงซินเหนียนและหลางซุนเย่ต่างก็รีบทำความเคารพชายชราคนนี้อย่างรวดเร็ว เพราะถึงแม้คนทั่วไปอาจจะยังไม่รู้แต่พวกเขารู้ดีว่าพ่อบ้านชราคนนี้คือจักรพรรดิกฎผู้แข็งแกร่ง และเขาก็คือคนที่คอยอยู่พิทักษ์สวนสายลมในระหว่างที่สมาชิกสกายวิงออกเดินทางไปเที่ยวนอกบ้าน
“นายน้อยเฟยเพิ่งจะกลับมาที่ตระกูลสกายวิงได้ไม่นาน และยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องอะไรหลาย ๆ อย่าง รบกวนนายน้อยทั้งสองให้คำแนะนำนายน้อยเฟยด้วย” เซี่ยอู๋เย่กล่าวด้วยความเคารพ
“ผู้อาวุโสไม่จำเป็นจะต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ ถึงยังไงพวกเราก็เป็นสหายกันอยู่แล้ว พวกเราสัญญาว่าพวกเราจะช่วยดูแลเขาเป็นอย่างดี” เฝิงซินเหนียนกล่าวขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
“หากมีอะไรนายน้อยทำลายตราอสูรคลั่งได้เลยนะครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่ตราถูกทำลายนักรบตระกูลเราจากทั่วทุกมุมโลกของจักรวาลก็จะมารวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือนายน้อยในทันที” เซี่ยอู๋เย่กล่าวราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ
“อย่า!! ถ้ามันไม่มีอะไรร้ายแรงจริง ๆ ฉันว่านายอย่าทำลายตราอสูรคลั่งเลยดีกว่า…” หลางซุนเย่กล่าวด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว
เซี่ยเฟยมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างตลกขบขันอยู่ในใจ เพราะเมื่อพ่อบ้านชราพูดถึงตราอสูรคลั่งใบหน้าของเฝิงซินเหนียนกับหลางซุนเย่ก็ซีดลงอย่างฉับพลัน ซึ่งมันแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าตอนนี้ชื่อเสียงของตราอสูรคลั่งแพร่สะพัดออกไปอย่างน่าหวาดกลัวขนาดไหน เพราะแม้แต่นายน้อยตระกูลเฝิงอย่างเฝิงซินเหนียนก็ยังหน้าซีดอย่างฉับพลันเมื่อได้ยินคำ ๆ นี้ขึ้นมา
ในความเป็นจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ทุกคนจะรู้สึกหวาดกลัวตราอสูรคลั่งจนถึงขนาดนี้ เพราะครั้งสุดท้ายที่มันถูกทำลาย 1 ใน 9 ตระกูลชั้นยอดก็ถูกเนรเทศออกไปจากกลุ่มดาวม้าขาว
—
หลังจากร่ำลาพ่อบ้านชราเรียบร้อยแล้ว นายน้อยคนใหม่ของตระกูลสกายวิงและสหายอีกสองคนก็มุ่งตรงไปทางตอนใต้ของเมือง
เซี่ยเฟยไม่รู้เลยว่าการเบิกสมุนไพรออกมาจากคลังของตระกูลจะต้องเสียเงินด้วย เพียงแต่เหล่าบรรดานักรบชั้นนำทุกคนของตระกูลต่างก็ล้วนแล้วแต่มีรายได้จากตระกูลส่งตรงเข้าบัญชีในทุก ๆ เดือน การเบิกใช้สิ่งของจากโกดังของตระกูลจึงถูกลงบัญชีเอาไว้ในชื่อของเขาด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มทำได้เพียงแต่ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบ ๆ เพราะทันทีที่เขาได้กลายเป็นสมาชิกของตระกูลใหญ่ เขาก็มีเงินเข้าบัญชีทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นจะต้องทำอะไรด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องนี้มันก็อาจจะเป็นความแตกต่างระหว่างลูกหลานของตระกูลระดับสูงกับคนทั่ว ๆ ไป
ในระหว่างที่เซี่ยเฟยเฝิงซินเหนียนและหลางซุนเย่เดินพูดคุยกันอยู่บนถนนที่พลุกพล่าน คนที่เดินอยู่ตามทางก็เริ่มที่จะหลีกทางให้กับพวกเขาด้วยความเคารพ
“นายน้อยเฝิง นายน้อยหลาง ไม่ทราบว่าวันนี้พวกคุณต้องการจะไปที่ไหนเหรอครับ?” ชายคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาทักทายเฝิงซินเหนียนกับหลางซุนเย่ด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมนายถึงทักแค่พวกฉันสองคนล่ะ? นายลืมสหายของเราคนนี้ไปได้ยังไง เขาคือเซี่ยเฟยนายน้อยคนใหม่ของตระกูลสกายวิงเชียวนะ” หลางซุนเย่กล่าวด้วยเสียงเข้ม
“อ้าาา ที่แท้คุณก็คือนายน้อยเฟยนี่เอง ผมได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้วแต่ผมเป็นคนงี่เง่าเองที่ไม่รู้ว่าคุณคือนายน้อยผู้มีชื่อเสียงคนนั่น นายน้อยเฟยช่วยยกโทษให้ผมด้วย” ชายคนนั้นกล่าวขอโทษซ้ำ ๆ อย่างหวาดกลัว แต่เซี่ยเฟยกลับกำลังทำตัวไม่ค่อยถูก
จู่ ๆ สถานะของเขาก็เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน จากคนธรรมดาที่ไม่มีใครเคยสนใจกลายเป็นนายน้อยของตระกูลขนาดใหญ่ ที่แม้แต่คนไม่รู้จักก็ต้องรีบเข้ามาแสดงความเคารพ
“พวกเรามากับนายนี่มันดีจริง ๆ ฉันกับพี่เฝิงไม่เคยทำให้ใครรู้สึกหวาดกลัวแบบนี้ได้มาก่อนเลย สมแล้วที่นายเป็นคนของตระกูลสกายวิง แค่ได้ยินชื่อตระกูลของนายคนพวกนั้นก็กลัวหัวหดกันไปจนหมดแล้ว” หลางซุนเย่กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่ชายคนนั้นเดินจากไปด้วยความกลัว
เซี่ยเฟยทำได้เพียงแค่เม้มริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร ซึ่งในความคิดเห็นของเขานั้นเขาก็ไม่ชอบที่จะเอาชื่อเสียงของตระกูลมาอวดอ้างแบบนี้เลย
“ตระกูลของนายมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนกฎจริง ๆ แม้แต่คนในเผ่ามารก็ยังรู้สึกหวาดกลัวตระกูลสกายวิงเป็นเรื่องปกติ ฉันว่านายค่อย ๆ ทำตัวให้ชินกับเรื่องแบบนี้ดีกว่า ไม่ว่ายังไงนายก็คงจะไม่สามารถปฏิเสธตัวตนในปัจจุบันของนายได้” โอโร่กล่าว
—
พื้นที่ทางตอนใต้ของเมืองเป็นโซนให้ความบันเทิงอย่างแท้จริง สาว ๆ ที่ให้บริการอยู่ในบริเวณนี้จึงไม่ใช่สาว ๆ ในสไตล์ที่เซี่ยเฟยชอบเลยแม้แต่คนเดียว ท้ายที่สุดพวกเธอต่างก็แต่งหน้าจัดเพื่อพยายามดึงดูดลูกค้าที่เป็นนายน้อยของตระกูลต่าง ๆ ขณะที่เขาชอบสาว ๆ สไตล์น่ารักสดใสแบบแอวริลมากกว่า
หลังจากนั้นไม่นานนายน้อยทั้งสามก็นั่งรับประทานอาหารริมทะเลสาบขนาดใหญ่ โดยทางเจ้าของร้านเรียกพนักงานสาว ๆ มาคอยให้บริการพวกเขาอย่างมากมาย จนทำให้เซี่ยเฟยแอบรู้สึกตาลายที่มีพนักงานคอยเข้ามาให้บริการเขาเป็นจำนวนมากขนาดนั้น
เซี่ยเฟยไม่ค่อยชอบการให้บริการของสาว ๆ พวกนี้มากนัก เขาจึงพยายามเรียกใช้หญิงสาวขี้อายคนหนึ่งมานั่งเป็นไม้กันหมาอยู่ใกล้ ๆ ตัวของเขา ขณะที่หลางซุนเย่กับเฝิงซินเหนียนมีสาว ๆ ผัดเปลี่ยนกันคอยให้บริการทั้งสองคนอย่างไม่ซ้ำหน้า
หลังจากดื่มกินไปสักพักเฝิงซินเหนียนก็สังเกตเห็นว่าเซี่ยเฟยไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้มากนัก เขาจึงมอบคริสตัลต้นกำเนิดระดับ 5 ให้กับสาว ๆ คนละก้อน ก่อนที่จะบอกให้พวกเธอออกไปก่อนเพราะพวกเขามีธุระที่จะต้องพูดคุยกัน
“ในที่สุดเรื่องวุ่นวายทุกอย่างมันก็จบลงแล้ว นายวางแผนที่จะทำอะไรต่อไปงั้นเหรอ?” เฝิงซินเหนียนเริ่มกล่าวถามหลังจากที่ภายในห้องเหลือเพียงพวกเขา 3 คน
“ฉันอยากจะฝึกฝนให้กลายเป็นจักรพรรดิกฎและเข้าสู่เผ่าเทพโดยเร็วที่สุด เพราะที่แห่งนั้นคือสถานที่ที่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลได้ไปรวมตัวกัน” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
“ฉันไม่เคยมีความทะเยอทะยานอะไรแบบนั้นเลย ฉันว่าเผ่าเทพคงจะไม่เหมาะกับฉัน ฉันขออยู่ที่กลุ่มดาวม้าขาวไปจนตายดีกว่า” หลางซุนเย่กล่าว
“ในฐานะนักรบพวกเราย่อมต้องมีเป้าหมายเป็นเรื่องที่ดีแล้ว แม้ว่าการฝึกตามแนวทางของตระกูลสกายวิงจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ฉันคิดว่ากลุ่มมังกรฟ้าก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนายด้วยเหมือนกัน” เฝิงซินเหนียนกล่าวโดยไม่สนใจคำพูดไร้สาระของหลางซุนเย่
“นี่นายกำลังพยายามชวนฉันเข้ากลุ่มมังกรฟ้างั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
เฝิงซินเหนียนพยักหน้าเป็นคำตอบ
“แต่ฉันพลาดงานชุมนุมมังกรฟ้าไปแล้วนะ แล้วฉันจะเข้าร่วมกับกลุ่มมังกรฟ้าได้ยังไง?” เซี่ยเฟยยังคงถามต่อ
“ด้วยความแข็งแกร่งที่นายแสดงออกมา แค่นั้นมันก็มากพอที่จะทำให้นายมีคุณสมบัติเข้าร่วมกับกลุ่มมังกรฟ้าได้โดยตรงแล้ว” เฝิงซินเหนียนกล่าว
สิ่งที่เฝิงซินเหนียนต้องการจะสื่อเป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก คือตราบใดก็ตามที่ตระกูลของพวกเขาให้การยอมรับใครสักคน พวกเขาก็สามารถที่จะดึงตัวคนคนนั้นเข้าสู่กลุ่มมังกรฟ้าได้ในทันที ดังนั้นตราบใดก็ตามที่เซี่ยเฟยเต็มใจ เขาก็สามารถที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มนักสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกลุ่มดาวม้าขาวได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น
“ในดินแดนกฎไม่ได้มีเพียงแต่เผ่ามนุษย์เท่านั้น แต่มันยังมีเผ่าพันธุ์ทรงปัญญาเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อยู่อีกมาก ในบรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งหมดเผ่าพันธุ์มนุษย์ถือได้ว่ามีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น และในกลุ่มมังกรฟ้าของเราก็มีนักรบจากเผ่าพันธ์ุต่าง ๆ มาฝึกฝนร่วมกัน แน่นอนว่าหากนายตกลงเข้าร่วมกลุ่มมังกรฟ้า มันก็จะช่วยยกระดับเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้มีสถานะสูงส่งมากขึ้นกว่าเดิม”
คำอธิบายของเฝิงซินเหนียนทำให้เซี่ยเฟยพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เพราะเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยกย่องให้เขาสามารถเพิ่มสถานะของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์ได้แบบนี้
“เซี่ยเฟยอีกไม่นานมันกำลังจะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น กลุ่มมังกรฟ้ากำลังต้องการความแข็งแกร่งของนายจริง ๆ” เฝิงซินเหนียนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
“เรื่องอะไรงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“ฉันก็อยากรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน จู่ ๆ พี่น้องทั่วทั้งตระกูลของฉันก็หายไปกันหมดเลย ฉันได้ยินมาว่าในตระกูลอื่น ๆ ก็มีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ ๆ เด็กรุ่นใหม่ของทุกตระกูลถึงหายตัวไปพร้อมกันหมดแบบนี้?” หลางซุนเย่กล่าวอย่างสับสน
“ฉันพูดอะไรมากไม่ได้ ฉันบอกได้แค่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้” เฝิงซินเหนียนกล่าวอย่างจริงจัง
“ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงต้องมาปิดบังกันด้วย! เซี่ยเฟยตระกูลนายก็เป็นตระกูลใหญ่เหมือนกัน มันไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรในตระกูลของนายบ้างเหรอ?” หลางซุนเย่หันไปถามเซี่ยเฟย
“ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้เลย หลังจากสงครามกับตระกูลมูนวอร์ดสิ้นสุดลง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปหมด ผู้นำตระกูลก็บอกฉันว่าถ้าฉันอยากจะทำอะไรก็ให้บอกคุณปู่เซี่ยอู๋เย่ได้เลย ตอนนี้ทั้งสวนสายลมก็เหลือฉันกับคุณปู่กันแค่สองคน” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
เมื่อทั้งหลางซุนเย่และเซี่ยเฟยหาคำตอบไม่ได้ พวกเขาจึงเอียงคอไปมองเฝิงซินเหนียนอย่างกดดัน
“อย่ามากดดันฉันเลย ฉันพูดอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เว้นแต่ว่า…” เฝิงซินเหนียนกางแขนออกอย่างช่วยไม่ได้
“เว้นแต่ว่าอะไร?” หลางซุนเย่กล่าวถามอย่างเร่งรีบ
“เว้นแต่ว่านายสองคนจะตัดสินใจเข้าร่วมกับกลุ่มมังกรฟ้า”
“ฝันไปเถอะ! ผมไม่มีทางเข้าร่วมกลุ่มมังกรฟ้าเด็ดขาด” หลางซุนเย่กล่าวพร้อมกับโบกมือซ้ำ ๆ แต่ในทันใดนั้นเขาก็กระโดดขึ้นมาจากที่นั่งอย่างฉับพลัน
“ไม่นะ! ตาแก่ติดต่อมาให้ฉันรีบกลับบ้านโดยเร็วที่สุด เอาเป็นว่าอาหารมื้อนี้ลงบัญชีของฉันเอาไว้เดี๋ยวฉันกลับมาจัดการให้ทีหลัง ฉันไปก่อนล่ะ”
ทันทีที่พูดจบหลางซุนเย่ก็หายตัวไปในพริบตา จนทำให้เซี่ยเฟยรู้สึกสับสนมากว่าอีกฝ่ายทำไมถึงต้องเร่งรีบมากขนาดนั้น
“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่ามันกำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าหลางซุนเย่จะเป็นพวกเสเพลไปสักหน่อย แต่มันก็ไม่มีทางที่เขาจะรอดพ้นไปจากเรื่องคราวนี้ได้” เฝิงซินเหนียนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ลึกลับ
เซี่ยเฟยไม่ชอบน้ำเสียงลึกลับของเฝิงซินเหนียนเลย และเขาก็อยากรู้เรื่องใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นของอีกฝ่ายจริง ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจากเวลามันก็ดูเหมือนกับว่าเรื่องใหญ่ของเฝิงซินเหนียนจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันกับการเปิดออกของสนามรบโบราณ ชายหนุ่มจึงปฏิเสธคำเชิญของเฝิงซินเหนียนไปเพราะเขาให้ความสนใจสนามรบโบราณมากกว่า
เมื่อเฝิงซินเหนียนไม่สามารถโน้มน้าวเซี่ยเฟยได้ เขาก็รีบกลับไปทำธุระของตัวเองด้วยเหมือนกัน
หลังจากอยู่คนเดียวเซี่ยเฟยก็ตัดสินใจติดต่อไปหาเยว่เกอตามที่ตกลงกันไว้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถติดต่อเธอได้แล้วมันก็ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ว่าเธอหายตัวไปไหนด้วยเหมือนกัน
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ทำการติดต่อไปหาเฉินตงอีกครั้ง เพื่อพยายามถามข่าวคราวว่าการเป็นอยู่ของเขาภายในเผ่าไลอ้อนฮาร์ทเป็นยังไงบ้าง
ตู้ด ๆ ๆ
สัญญาณจากอีกฝ่ายดูคล้ายจะไม่ว่างเหมือนกับว่าเฉินตงกำลังติดธุระอะไรบางอย่าง จนทำให้เขาไม่สามารถจะมารับสายของเซี่ยเฟยได้
“ทำไมทุกคนถึงดูยุ่ง ๆ กันหมดเลย?” เซี่ยเฟยพึมพำพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจกลับไปเตรียมความพร้อมเข้าสู่สนามรบโบราณภายในดินแดนลับ
“งงไปเถอะ ฉันไม่บอกนายง่าย ๆ หรอก” โอโร่คิดภายในใจด้วยรอยยิ้มอันชั่วร้าย
***************
เนี่ยยยย ปากบอกช่วยทุกอย่างแต่ก็เหลี่ยมใส่ทุกดอกนะโอโร่
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 278
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น